โรงเตี๊ยมเยว่หรงปลายเดือนหนึ่งเป็นช่วงกิจการไม่คึกคักที่สุดในรอบปี หนึ่ง เพราะเดือนหนึ่ง แขกส่วนใหญ่ไม่ออกจากบ้าน สอง แม้ว่าเทศกาลบัวลอยจะผ่านพ้นไป แต่ฤดูกาลทำนายังมาไม่ถึง เป็นช่วงเวลาพักผ่อนจากการงาน
ดังนั้นเสี่ยวเอ้อร์ที่กำลังสัปหงกอยู่ พอได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็รีบลุกขึ้นมาทักทายต้อนรับอย่างตื่นเต้น “นายท่าน! กินอาหารหรือว่าเข้าพัก” เห็นคนที่มาเป็นคู่สามีภรรยาชายรูปหล่อหญิงโฉมงาม สีหน้าแย้มยิ้มของเสี่ยวเอ้อร์ก็ยิ่งเด่นชัด
“ห้องดีที่สุดหนึ่งห้อง” หลินซือเย่าโยนก้อนเงินให้พร้อมสั่งการ
“ได้เลย! ข้าน้อยจะพาท่านทั้งสองขึ้นไปชั้นบน” เสี่ยวเอ้อร์รับก็เงินไปก็ยิ้มแก้มปริ จากนั้นไม่ลืมที่จะตะโกนไปทางโต๊ะเก็บเงินว่า “ห้องดีที่สุดหนึ่งห้อง”
“ทั้งสองท่านมาเขาฉีอวิ๋นซานของเราชมพระอาทิตย์ขึ้น ชมเจดีย์วัดกระมัง” เสี่ยวเอ้อร์ กล่าวแนะนำทิวทัศน์เมืองฉีอวิ๋นไม่หยุด
“ขอบคุณพี่เสี่ยวเอ้อร์” พอเข้ามาในห้อง ซูสุ่ยเลี่ยนก็หันไปยิ้มขอบคุณเสี่ยวเอ้อร์ “พวกเราไม่ได้มากันครั้งแรก ยังไม่ต้องการคำแนะนำจากโรงเตี๊ยม” นางกล่าวปฏิเสธอ้อมๆ กับคำแนะนำของเสี่ยวเอ้อร์ที่แนะนำพวกเขาให้ขึ้นเขาเพื่อหวังจะขึ้นไปเป็นเพื่อนและได้เงินพิเศษ ซูสุ่ยเลี่ยนปิดประตูห้อง แอบขำพลางส่ายหน้า “โรงเตี๊ยมตอนนี้เข้าใจทำการค้าแล้วนะ”
“มีแต่เจ้าที่จะสนใจเขา” หลินซือเย่าวางห่อผ้าสองห่อในมือลง ก่อนจะหยิบผ้าแห้งสะอาดชิ้นหนึ่งออกมา กวักมือเรียกนางให้มานั่งที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง พร้อมกับแกะมวยผมนางออก เช็ดและหวีผมดำที่โดนละอองฝนให้นาง
หากไม่ใช่ว่าฝนยิ่งตกหนักขึ้น เขาก็จะพานางขึ้นเขาไปพบเจี้ยซิวแล้ว
หลังเดินทางออกจากต้าซื่อ ก็ผ่านมาครึ่งเดือนแล้ว จุดหมายที่แรกของพวกเขาที่ตั้งไว้ก็คือเขาฉีอวิ๋นซาน
ระหว่างนี้ได้พบกับทิวทัศน์น่าหลงใหลและประเพณีน่าสนใจมากมาย พวกเขาจึงหยุดพักเป็นระยะ อย่างไรในเวลาปีหนึ่ง ก็ค่อยๆ ชมให้ทั่วแผ่นดินต้าหุ้ยและแผ่นดินรอบๆ อย่างไม่รีบไม่ร้อนได้
ซูสุ่ยเลี่ยนคิดถึงเหลียงเอินไจ่สองสามีภรรยา พอได้ยินว่าเขาและนางจากนี้ไปหนึ่งปีจะออกท่องเที่ยว ก็นิ่งงันราวกับไก่ไม้ไร้ความรู้สึก พอนึกถึงภาพนั้นก็อดขำไม่ได้
ดีที่หลินซือเย่าได้หารือกับนางตอนเทศกาลตวนอู่ปีก่อนไว้แล้ว ก็เลยได้เตรียมคนมารับช่วงงานต่อจากนางและเขาเอาไว้แล้ว หลังเทศกาลบัวลอยก็แค่แจ้งให้เหลียงเอินไจ่รู้ ไม่รอให้เขาตั้งสติทัน ก็พานางออกจากต้าซื่อมาแล้ว
“พี่ใหญ่คงโมโหมากแน่” ซูสุ่ยเลี่ยนถอนหายใจหัวเราะเบาๆ
หลินซือเย่าเลิกคิ้ว “โมโหอะไร เรื่องอื่นเราก็จัดการเรียบร้อยแล้ว ปลายปีพวกเราก็กลับแล้ว เขาควรดีใจที่พวกเราไม่ได้ไปโดยไม่ลา” ช้าไปสิบปีกว่าจะได้พานางออกท่องเที่ยว ก็ถือว่าไว้หน้าเขาแล้ว
“เขาย่อมโมโหที่ทำไมเขาไม่อาจมากับพวกเราได้” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มอธิบาย “จิ้งจือหวังไว้นานแล้วว่าสักวันหนึ่งนางจะได้ท่องเที่ยวไปยังห้าทวีปทั่วใต้หล้า เก็บสมุนไพรต่างๆ พี่ใหญ่ก็เคยรับปากนาง แต่ตอนนี้สิบปีมาแล้ว ไม่เพียงไม่ได้ดังหวัง พวกเขาสองคนยังยุ่งยิ่งกว่าเดิม”
คนหนึ่งยุ่งอยู่กับการวางแผนบริหารต้าซื่อ คนหนึ่งยุ่งอยู่กับการรักษา ไหนเลยจะมีเวลาให้พวกเขาได้พักผ่อนกันสบาย?!
“เขาหาเรื่องใส่ตัวเอง” หลินซือเย่าแค่นเสียงฮึในลำคอเบาๆ หากไม่ใช่ว่าเหลียงเอินไจ่สร้างแผ่นดินยิ่งใหญ่เช่นนี้ แล้วยังจะพัฒนาอีก เขากับสุ่ยเลี่ยนก็คงไม่ต้องยุ่งเช่นนี้ แผนการท่องเที่ยวก็ผัดผ่อนมาเรื่อย หากไม่ใช่ว่าเขาตัดสินใจเด็ดขาด ด้วยนิสัยสุ่ยเลี่ยน คิดว่าคงต้องมีชีวิตที่ไม่มีทางได้พักผ่อนสบายๆ แน่
“ไปพบเจ้าอาวาสแล้ว ที่ต่อไปคือที่ใด” ซูสุ่ยเลี่ยนเงยหน้ายิ้มถาม
“เจ้าอยากไปไหนเป็นพิเศษไหม” เขาวางผ้าลง เอียงหน้าจุมพิตริมฝีปากนางทีหนึ่งพลางถามน้ำเสียงแหบพร่า เขาจัดแผนการเดินทาง ล้วนเป็นที่ที่เขาเคยออกปฏิบัติภารกิจแล้วเห็นว่างดงามไม่เลว เพราะอยากใช้เวลาส่วนตัวกับนางเพียงลำพัง ทำให้เขาตัดสินใจพานางออกท่องเที่ยวทั่วใต้หล้า แน่นอนหากนางยินดี เขาย่อมไม่ถือสาสักนิดหากสองคนจะพัวพันกันร้อนแรงในห้องชั้นดีของโรงเตี๊ยมโดยไม่ไปไหนทั้งนั้น
“ได้หมด” นางตอบอย่างเริ่มเลื่อนลอย ไม่ว่าไปเที่ยวที่ไหน ไปเดินเล่นที่ไหน ใต้หล้ากว้างใหญ่เพียงใด นางขอแค่ข้างกายมีเขาอยู่ ทุกอย่างล้วนได้หมด…
ได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ เขาก็หัวเราะเบาๆ อุ้มนางขึ้นเตียง ถอดเสื้อตัวนอกเขาและนางออก ขึ้นทาบทับนางไว้
“อาเย่า…” ตอนที่เขาแทรกเข้าสู่กายนาง นางก็ครางชื่อเขาออกมา การเคลื่อนไหวของเขาก็ยิ่งโหมทะยาน
ตั้งแต่ออกจากต้าซื่อมาก็ไม่ค่อยมีคนมารบกวนพวกเขา ความปรารถนาที่เขามีต่อนางก็ยิ่งไม่อาจระงับ ขอเพียงเข้าพักโรงเตี๊ยม เขาก็จะเข้าพัวพันนาง ครั้งเดียวไม่พอก็สอง สองครั้งไม่พอก็สาม…จนนางหมดแรงหลับไปในอ้อมกอดเขา จึงยอมปล่อยนาง…
……
“ชมพระอาทิตย์ขึ้น?” เจี้ยซิวมองสองสามีภรรยาตรงหน้าที่แต่งกายเรียบง่ายไม่สะดุดตา พลางถามน้ำเสียงแปลกใจ สุดท้ายประนมมือกล่าว “ผู้มีพระคุณทำไมไม่พักที่วัดสักคืน? ปลายยามอิ๋นเดินไปที่หน้าผาก็จะได้ชมพระอาทิตย์ขึ้น” ไยต้องมาจากโรงเตี๊ยมเชิงเขา รีบร้อนขึ้นมาแต่เช้าเช่นนี้
ข้อเสนอเจี้ยซิวทำเอาซูสุ่ยเลี่ยนหูแดงลามไปถึงลำคอ สวรรค์ หากให้พระอาจารย์เจี้ยซิวรู้ว่านางกับอาเย่าครึ่งค่อนคืนทำอะไรกันที่โรงเตี๊ยม ยังจะกล้าเสนอเช่นนี้ไหม เขตอารามวัด…นางไม่รับรองว่าอาเย่าจะยอมเป็นคนสงบจิตในเขตวัด
หลินซือเย่ามองภรรยาที่กำลังเขินอาย ก็หรี่ตามองเจี้ยซิวเหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้มกล่าวว่า “ที่นี่ไม่เหมาะ”
“อมิตาภพุทธ ที่นี่เดิมก็เป็นที่ของผู้มีพระคุณ เป็นเจี้ยซิวที่แอบมาครอง” เจี้ยซิวประนมมือ ค่อยๆ กล่าวสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นความจริงที่ยิ่งกว่าจริง แต่กลับทำให้หลินซือเย่าเบือนหน้าหนี “หลายปีมาแล้ว ยังเอ่ยถึงเรื่องพวกนี้ ท่านไม่เบื่อหรือไรนะ?!” แต่เขาเบื่อแล้ว
“พวกเราไปเดินเล่นกัน” เขาดึงซูสุ่ยเลี่ยนลุกขึ้น ไม่อยากสนทนากับเจี้ยซิวอีก เดินไปลานด้านหลัง
ซูสุ่ยเลี่ยนส่งยิ้มบางให้เจี้ยซิว “พระอาจารย์ไม่ต้องไปเป็นเพื่อนพวกเรา ไปทำธุระของท่านเถิด”
เจี้ยซิวท่องคำว่า ‘อมิตาภพุทธ’ จากนั้นก็มองส่งพวกเขาสองคนออกจากประตูวัดไป เห็นเทพสังหารเย็นเยียบในวันวาน ตอนนี้กลายเป็นคนที่ดูแลภรรยาอ่อนโยน เจี้ยซิวแอบตื้นตันใจ ดูท่าใจเขาพ้นจากมารครอบงำแล้ว อาตมาก็นับว่าบรรลุผลสำเร็จแล้ว…
“คิดไม่ถึงพระอาจารย์เจี้ยซิวเชี่ยวชาญงานเพาะปลูกด้วย” ซูสุ่ยเลี่ยนมองแปลงผักด้านหลัง ยิ้มกล่าวว่า “ตอนนี้มีคนมาไหว้พระกันมาก เขาคนเดียวดูแลไหวหรือ”
“เขาต้องการเพียงแค่ทำให้วัดสะอาดเงียบสงบ สำหรับเรื่องอื่น แต่ไรมาเขาไม่สนใจ ดีที่ตั้งแต่พรรคพวกเซวี่ยอิงถูกท่านพ่อขจัดสิ้นซากแล้ว ที่นี่ก็สงบ เจ้าเมืองหลงเฉิงกับเจ้าเมืองกานหมิงเปลี่ยนคนแล้ว มีราชวงศ์คอยกำราบ ก็ไม่มีคนกล้าขึ้นเขามาก่อเรื่อง” หลินซือเย่ารั้งนางค่อยๆ เดินไปยังป่าผลไม้เขียวชอุ่ม เล่าการเปลี่ยนแปลงวัดอวิ๋นหลัวสิบปีมานี้ไม่หยุด ก่อนจะเดินมาหยุดหน้าบ้านกองฟางสุดชายป่า ก็คือหน้าผาแล้ว จากที่นี่แทบจะมองเห็นภาพเมืองหลงเฉิงทั้งหมด หน้าผามีศิลาจารึกตั้งอยู่ ก็คือป้ายหลุมศพอดีตเจ้าอาวาสในตอนนั้น
ซูสุ่ยเลี่ยนมองไปยังหลุมศพที่ไม่มีหญ้าขึ้นรกอย่างเงียบๆ ในใจแอบคิดไปร้อยพัน
หากว่าตอนนั้นอาเย่าไม่ได้อดีตเจ้าอาวาสช่วยไว้ เช่นนั้นทุกอย่างตอนนี้คงไม่ใช่เช่นนี้ไหม
“คิดอะไรอยู่” เขาส่งสายตาวาวมองจ้องนาง กุมมือนางไว้แน่นอย่างเคร่งเครียด
“ข้ากำลังขอบคุณเจ้าอาวาส ขอบคุณที่เขาช่วยเจ้าไว้” นางตอบกลับด้วยแววตาอ่อนโยน กุมมือเขากลับ
“ใช่ ข้าเองก็ควรขอบคุณเจ้าที่ช่วยข้า” เขายิ้มมุมปาก รอยยิ้มที่ทำให้คนหลงใหลของเขาปรากฏตรงหน้านางอีกครั้ง ทำให้หัวใจนางเต้นแรง แม้ผ่านมาสิบปี แต่นางยังคงไม่อาจต้านทานรอยยิ้มของเขาได้
“แท้จริงแล้ว…ตอนแรกข้าก็แอบคิดเห็นแก่ตัว” นางหลุบตา แอบยอมรับอย่างละอายใจ “ก่อนหน้านี้ข้าเคยลองหลายครั้ง แต่อย่างไรก็ออกจากเขาต้าซื่อไม่ได้ ตอนเก็บเจ้ามา แวบหนึ่งในใจข้าไม่ได้คิดว่าช่วยชีวิตคนเหมือนสร้างเจดีย์เจ็ดชั้นอะไรนั่นหรอก แต่ช่วยเจ้าไว้ เพราะข้าจะได้ถามเจ้าว่าออกจากเขาอย่างไร…หาก…หากตอนนั้นข้าออกจากเขาไปได้…ไม่แน่…ไม่แน่…ข้า…ขอโทษ…ข้า…ข้าไม่ใช่คนดี…อมิตาภพุทธ…ขอพุทธองค์โปรดอภัย…” ซูสุ่ยเลี่ยนก้มหน้าสองมือประนมนิ่ง พลางก้มลงคำนับไปยังที่ไกลออกไป
“ฮา ฮา ฮา…” หลินซือเย่าแหงนหน้าหัวเราะดังลั่น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้หัวเราะดังอย่างสะใจเช่นนี้ นางถึงกับกำลังสำนึกผิดกับเขา
“อาเย่า…” ซูสุ่ยเลี่ยนหน้าแดง จ้องมองเขาเขม็ง นางกำลังทบทวนความผิดตนเอง เขาถึงกับหัวเราะความรู้สึกผิดของนาง
“ขออภัย…” เขาหุบยิ้ม เช็ดน้ำตาที่หางตาอันเกิดจาการหัวเราะ จ้องมองนางอย่างเป็นการเป็นงาน น้ำเสียงอ่อนโยนกล่าวว่า “ข้าโชคดีมากใช่ไหม” เขารั้งนางเข้ามา ในใจรู้สึกสบายใจเหมือนได้ปลดปล่อย เหมือนจากนี้ไป เขาก็จะได้เป็นหลินซือเย่าแท้จริงแล้ว
ยืนอยู่สุสานเจ้าอาวาส มองไปยังพระอาทิตย์ที่ไกลออกไป ความอัดอั้นในใจหลายปีมานี้ ตอนนี้มลายหายไปสิ้น
“ไปกันเถอะ ไปบอกกับเจี้ยซิวสักคำ แล้วพวกเราควรลงเขาได้แล้ว จุดหมายต่อไป ข้าพาเจ้าไปเมืองกานหมิง” หลินซือเย่าถอนหายใจ หันไปยิ้มให้ซูสุ่ยเลี่ยน ก่อนจะแอบจุมพิตนางทีหนึ่ง รั้งนางเดินไปในวัดอวิ๋นหลัว
“ได้ อาเย่า ตอนขากลับ ข้าอยากไปเขาต้าซื่อสักครั้ง ไปดูถ้ำหมาป่า เยี่ยมลูกๆ เสี่ยวฉุนกับเสี่ยวเสวี่ย…”
……
“ได้รับจดหมายพวกเขาอีกแล้วหรือ บอกไหมว่าจะกลับมาตอนไหน” หยางจิ้งจือจัดการงานที่โรงหมอเสร็จก็กลับมาจวน เห็นสามีสุดที่รักกำลังอ่านจดหมายอย่างอารมณ์เสีย ก็เดาได้ว่าเป็นจดหมายจากสุ่ยเลี่ยนและสามี สองสามีภรรยาคู่นี้ทำทีออกจากบ้านไปเงียบๆ ที่แท้ไม่ได้ไปแค่ไม่กี่เดือนก็กลับ คิดไม่ถึงไปทีก็ครึ่งปีแล้ว ทุกครั้งที่ไปถึงเมืองไหนก็จะฝากหอกว่างชื่อโหลวในพื้นที่ ไม่ก็สำนักคุ้มกันภัยหอเฟิงเหยาส่งข่าวกลับมา นอกจากอิจฉาแล้วก็มีแต่ชื่นชม ทำอย่างไรได้ นางยุ่งกับงานในโรงหมอ เอินไจ่ก็ยุ่งกับงานจัดการต้าซื่อ
“คืนวันสิ้นปี พวกเขาว่าจะกลับมาคืนวันสิ้นปีแน่ ให้พวกเราไม่ต้องคิดถึงพวกเขา” เหลียงเอินไจ่เบ้ปาก แทบจะกัดฟันกล่าวออกมาทีละคำ ควรตาย เขาไม่คิดถึงพวกตนสักนิด ที่เขาคิดถึงก็คือ เหอหยวน กิจการและซีโหลวที่พวกเขาสะบัดตูดทิ้งไปเฉย…แม้ว่าพวกเขามอบให้ผู้ช่วยรับหน้าที่ดูแลได้อย่างไร้ปัญหา แม้ว่าผู้ช่วยพวกเขาแต่ละคนล้วนจัดการได้อย่างไม่ต้องให้ตนมาพลอยหนักใจไปด้วยในหนึ่งปีมานี้ แต่พวกเขาถือสิทธิ์อะไรออกท่องเที่ยวได้อย่างสบายอารมณ์เช่นนี้ ถือสิทธิ์อะไรมาทิ้งให้ตนเฝ้าต้าซื่อไว้ ทั้งวันยุ่งไม่ได้หยุดพัก ถือสิทธิ์อะไร!
“คืนวันสิ้นปีค่อยกลับมาจริงหรือ” หยางจิ้งจือส่ายหน้าถอนหายใจเบาๆ “ท่านพี่ พวกเราจะเลียนแบบพวกเขาได้เมื่อไร” นางนั่งอยู่บนตักเขา ซุกใบหน้าลงบนแผ่นอกหนาของเขา พลางกระซิบออดอ้อนเบาๆ
“รออีกสองปี ซีเอ๋อร์อายุสิบห้าเต็ม พวกเราก็ไปกัน เชอะ ให้ลูกชายพวกเขาเหนื่อยตายไปเลย” เหลียงเอินไจ่แค่นสบถเสียง ทำเอาหยางจิ้งจือหัวเราะทุบหน้าอกเขาเบาๆ “เขาก็หลานเจ้านะ”
“นั่นก็คนหนึ่งเป็นน้องสาวข้า คนหนึ่งเป็นน้องเขยนะ…” เหลียงเอินไจ่แค้นใจบ่นไม่หยุด พลางแหวกสาบเสื้อนางออก ซุกใบหน้าลงบนความอวบอิ่มของนาง “ภรรยาข้า พวกเราไม่ได้อย่างนั้นกันมาหลายวันแล้ว คืนนี้ไม่อนุญาตอ้างเหตุมาขัดข้า…”
“ได้…” นางยิ้มหวาน นางใช่ว่าไม่ได้คิดเช่นนี้?!
(จบบริบูรณ์)