นที่ 52 ไวรัสโรตาและเด็กที่ถูกทอดทิ้ง
คทาขององค์จักรพรรดินีได้ถูกโยนขึ้นไปบนท้องฟ้าที่สดใส
“เพลิงพิโรธ”
สิ้นคำร่ายนั้นก็ได้ปรากฏทะเลเพลิงขึ้นมารอบๆ ที่ราบ ซึ่งอยู่ใกล้บริเวณเมืองหลวงของจักรวรรดิ
เปลวเพลิงขนาดยักษ์ได้ทำการแผดเผาไปยังทุกหย่อมหญ้าของเขตไร้ผู้อาศัยอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ดังกล่าว บางคนถึงกับรู้สึกหายใจไม่ออกอันเนื่องมาจากสภาวะออกซิเจนถูกเผาไหม้จากเปลวเพลิงเป็นจำนวนมาก ขณะที่ผู้ร่ายมนตร์ดังกล่าวนั้นไม่ได้รับผลกระทบจากควันที่เกิดขึ้นเนื่องจากเส้นทางของมันได้ถูกควบคุมเอาไว้แล้ว แต่หากคิดว่ามีใครต้องไปติดอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงนั้นแล้วก็คงจะไม่เหลือแม้แต่เงาของกระดูก
“นี่มันน่าสะพรึงจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ดินแดนอันกว้างใหญ่ได้กลางเป็นเพียงพื้นเกรียมในช่วงเวลาอันสั้นเพียงนี้…”
ซาโลม่อนผู้รับตำแหน่งที่ปรึกษาเชิงพิธีกรรมและศาสนาได้มาเป็นพยานต่อเหตุการณ์ที่ผืนดินแห่งนี้กลายเป็นดินแดนแห่งความตาย เปลวเพลิงนี้รุนแรงพอที่จะสามารถแผดเผาได้กระทั่งเสื้อผ้าของเขา แม้ตนจะร่ายมนตร์กำแพงน้ำแข็งขึ้นมารอบตัวก็ตามที
หลังจากจักรพรรดินีร่ายเปลวเพลิงนรกนี้เสร็จแล้ว ก็ไม่พบถึงสิ่งมีชีวิต หรือพืชหลงเหลืออยู่บริเวณดังกล่าวอีกเลย นอกเสียจากเศษเสี้ยวพลังแห่งเทพที่ตกค้างตามผืนดินเล็กน้อย ไม่ต้องสงสัยเลยที่จักรพรรดินีนั้นมีพลังแห่งเทพที่แข็งแกร่งที่สุดในปัจจุบัน โดยเป็นรองเพียงฟาร์มาที่ตอนนี้กลายเป็นร่างสถิตของเทพโอสถ
“หื้มมม เราชักเหนื่อยแล้วสิ”
ตัวเธอที่สัมผัสกับอากาศร้อนนั้นโดยตรงเริ่มมีเหงื่อออกเล็กน้อยที่หน้าผาก ก่อนเธอจะดื่มน้ำอย่างพึงพอใจ แล้วจัดระเบียบผมของเธอ จากนั้นจึงนำเสื้อคลุมมาสวม ที่ปรึกษาคนใหม่ของเธอซาโลม่อนก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความชื่นชมในพลังและความสามารถของเธอ
พลังของเธอนั้นไม่ได้ลดน้อยลงเลยขณะดำรงตำแหน่งนี้อยู่ แล้วจะมีผู้ใดกันที่สามารถอาจหาญต่อต้านจักรวรรดิได้ หรือแม้แต่มองจักรพรรดินีเป็นศัตรู หากเกิดสงครามขึ้นมาจริงๆ แล้วประเทศศัตรูก็คงจะได้กลายเป็นทะเลเพลิงอย่างแน่นอน อีกทั้งในช่วงเวลานี้มันยังถูกขัดเกลาและเพิ่มพูนพลังให้มากขึ้นโดยการแนะนำของซาโลม่อนอย่างละเอียด แน่นอนว่านั่นไม่ใช่เพื่อการสร้างสงครามนองเลือดกับประเทศรอบข้างแต่อย่างใด
“ขอบพระทัยฝ่าบาท ที่สร้างเปลวเพลิงขึ้นมาแผดเผาบริเวณนี้!”
“เราก็หวังว่าสิ่งนี้จะช่วยสร้างหญ้าที่ดีในอนาคตได้นะ พวกปศุสัตว์คงจะดีใจน่าดูหากมาพวกหญ้าอ่อนให้มันกินกันมากขึ้น!”
ทางด้านเจ้าของฟาร์มดังกล่าวก็ได้แต่รู้สึกประทับใจกับการได้เห็นพลังของเธอใกล้ๆ
“จริงสิ พยายามเอาพวกวัวออกห่างๆ ควันหน่อยก็ดีนะ”
นี่เป็นงานประจำปีสำหรับองค์จักรพรรดินี ที่จะทำการเผาทุ่งเลี้ยงสัตว์ของจักรวรรดิปีละหนึ่งหน ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าการฝึกฝนพลังของเธอระดับนี้ถูกจำกัดให้ใช้เป็นบริเวณแคบ นั่นคือ ทะเลทราย ทะเล และ ทุ่งเลี้ยงสัตว์นี้ เพราะมันทรงพลังเกินไปในช่วงที่สงบสุขเช่นนี้
“ไม่ทราบว่าหลังจากที่ฝ่าบาทใช้พลังไปในตอนนี้พลังแห่งเทพท่านเหลืออยู่ที่ประมาณเท่าไหร่หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ซาโลม่อนถาม ก่อนที่เธอจะมองไปยังคทาของตัวเองซึ่งแถบพลังที่แสดงภายในนั้นมันมีระดับถึงสองเท่าของมาตรฐานคนทั่วไป
“ก็คงราวๆ 70% ได้แหละนะ ถือว่าเป็นการออกกำลังที่ดีเลย”
ซาโลม่อนยิ้มอย่างแห้งๆ ออกมา ขณะที่เธอตอบมาเยี่ยงเด็กสาวไร้เดียงสา ก่อนที่เธอจะถามเขากลับ
“ยังไงก็เถอะ เราได้ยินมาว่าฟาร์มาเอาแต่ยุ่งอยู่กับร้านขายยาของเขาจนไม่มีเวลาไปฝึกเลย ปล่อยร่างกายให้ทื่ออยู่แบบนี้จะไม่เป็นไรหรือ”
“หากเป็นในกรณีของท่านฟาร์มาแล้ว หากเขาใช้พลังเพียงแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ จักรวรรดิคงได้ล่มสลายเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”
ซาโลม่อนถอนหายใจออกมาเพราะเข้าใจดีว่าการฝึกฝนศาสตร์ในทุกๆ วันนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำ
“แล้วเหตุใดเจ้าถึงต้องการจะเข้าใจพลังของฟาร์มาถึงขนาดนั้นกันเล่า?”
“ฝ่าบาทจะทราบได้ทันทีหากเปรียบเทียบกับพลังเทพผู้พิทักษ์องค์อื่นที่ตกทอดมาจากพระคัมภีร์”
ในสายตาของเธอแล้วซาโลม่อนถือเป็นผู้ใฝ่รู้พอสมควร
“หากเป็นเช่นนั้น เราก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกันนะว่า ที่นครศักดิ์สิทธิ์จะยังคงเหลือพลังศักดิ์สิทธิ์ของผู้พิทักษ์องค์อื่นอยู่หรือเปล่า”
ฟาร์มากล่าวว่าตัวเขานั้นจะกลับไปยังมหาวิหารที่นครศักดิ์สิทธิ์ จักรพรรดินีจึงได้ทำการเดินหมากไปก่อนโดยการแจ้งเรื่องนี้ไปยังมหาวิหาร และกล่าวถึงจุดประสงค์ของฟาร์มาที่มีต่อซาโลม่อน
“ดูเหมือนเขาต้องการจะนำคทาแห่งเทพโอสถไปคืนด้วยสิ แต่ถึงจะบอกแบบนั้นตัวเขาก็เป็นถึงชนชั้นสูงของจักรวรรดิอีกทั้งยังเป็นแพทย์โอสถหลวงของเราด้วย ดังนั้นไม่มีทางเสียหรอกที่เราจะส่งเขาไปที่นั่น และถ้าเขาจะนำคทาไปคืนให้ได้ก็แค่ให้คนส่งของทางเราไปแทนก็ยังได้ บอกไว้ก่อนเลยนะหากตัวเขาอยู่ดีๆ เกิดหายตัวไป หรือ มีอันตรายขึ้นมา เราจะประกาศสงครามกับทางนครศักดิ์สิทธิ์ในวันเดียวกันนั้นเลย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านอกจากนครศักดิ์สิทธิ์แล้วคงไม่มีใครสามารถกักขังเขาได้อีกแค่นั้นก็เป็นหลักฐานที่แน่นหนาพอแล้ว หากพวกนั้นอยากจะเจอกับฟาร์มาจริงๆ ก็ต้องให้พบต่อหน้าเราด้วย”
เนื่องจากตัวของฟาร์มามีเป้าหมายอยู่ที่นครศักดิ์สิทธิ์ ในฐานะพลเมืองจักรวรรดิยังไงก็ต้องได้รับความยินยอมจากทางนี้เสียก่อน สารที่ส่งกลับมานั้นกล่าวว่า ตัวของฟาร์มานั้นไม่มีความจำเป็นที่จะต้องคืนคทาดังกล่าวให้กับนครศักดิ์สิทธิ์ในขณะที่ตัวเขาอยู่ภายใต้การดูแลของจักรพรรดินีในฐานะแพทย์โอสถประจำพระองค์
ฟาร์มาถึงกับตกใจเมื่อได้ทราบจากจักรพรรดินี ด้วยพลังของจักรพรรดินีแล้วมันมากพอที่จะสามารถหยุดการเคลื่อนไหวของทางศาสนจักรได้ ด้วยความที่ตัวฟาร์มาเองก็ไม่สามารถเสียซาโลม่อนไปได้ด้วยซาโลม่อนควรจะได้อยู่อย่างปลอดภัยจึงเป็นเรื่องดี ส่วนเรื่องต่อมาคือการที่จักรพรรดินีสงสัยในตัวหนังสือประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เธอคิดว่าสมควรที่มันจะถูกสะสางในเร็ววันนี้ เนื่องจากทางมหาวิหารได้ตัดขาดการติดต่อกับฟาร์มาการจะหาข้อมูลๆต่างๆก็เป็นเรื่องยากยิ่งขึ้น รวมไปถึงการค้นหาบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์
( ห้องปฏิบัติการ ) ที่ทางด้านจักรพรรดินีก็ได้ส่งผู้ช่วยของเธอให้ไปสืบแทน อย่างไรก็ตามเหล่านักบวชของศาสนจักรที่ประจำการอยู่ภายในเมืองหลวงจักรวรรดิก็เริ่มจะมาซื้อยาที่ร้านของเขาบ้างแล้ว…
━━… ━━… ━━
ปัจจุบัน คือเดือนเมษา ปี 1147
เป็นช่วงระหว่างการรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวของปาลเล่ ซึ่งเขาได้ขอคำปรึกษาเพิ่มเติมจากฟาร์มาเรื่องการป้องกันอาการกำเริบของโรค และผลลัพธ์ที่ได้ก็ทำให้เขาพึงพอใจ ปาลเล่ได้เดินทางไปหาบรูโนในวันที่อาการของเขาไม่รุนแรงนัก แม้ว่าจะเล็กน้อยแต่เขาก็เริ่มพยายามที่จะฝึกทำงานในฐานะว่าที่แพทย์โอสถหลวงโดยการดูแลคนไข้ของบรูโนและฟาร์มา บรูโนในตอนนี้ได้พยายามโฟกัสอยู่กับการบริหารวิทยาลัยยาจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟ ส่วนฟาร์มาก็ยังมีงานที่ต้องบริหารในส่วนต่างๆ ของทางร้านขายยาต่างโลก หากจะพูดตัวของปาลเล่ในตอนนี้คือผู้สืบทอดที่เหมาะสมที่สุดแล้ว
ปาลเล่นั้นค่อนข้างเป็นคนที่มีความสามารถ ความรู้ และการสื่อสารที่ยอดเยี่ยม ไม่ได้มีชื่อเสียคล้ายกับบรูโน อีกทั้งเขายังเริ่มสะสมผลงานในการวินิจฉัยโรคต่างๆ ที่ไม่สามารถรักษาได้ด้วยการตรวจของบรูโน อันเนื่องมาจากตัวยาของทางฟาร์มา ดังนั้นการจะเห็นเขาที่ร้านขายยาต่างโลกเพื่อซื้อยาเป็นประจำนั้นถือเป็นเรื่องไม่แปลกแต่อย่างใด
“ผมคิดว่าผู้ป่วยที่มีอาการแบบนี้…บางทีใช้ยาตัวนี้แทนน่าจะดีกว่านะครับ”
และนั่นก็คือการเรียนรู้กันระหว่างฟาร์มาและปาลเล่ ฟาร์มานั้นได้ทำการยืนยันอาการและผลการทดสอบที่ปาลเล่สังเกตมาได้ ก่อนที่เขาจะทำการยืนยันว่านั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เขาก็จะมอบยาให้กับปาลเล่ ปาลเล่ที่ใช้กล้องถ่ายรูปอาการของผู้ป่วยมาด้วยนั้นถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมากในการอธิบายอาการ และหากมีการวินิจฉัยที่ผิดพลาดเกิดขึ้นเขาก็สามารถตรงไปหาผู้ป่วยโดยตรงได้โดยมีปาลเล่ติดตามไป ตัวปาลเล่ในตอนนี้กล่าวได้ว่ายังคงก้าวตามหลังฟาร์มาอยู่ถึงสองปีได้ในฐานะแพทย์โอสถขั้นหนึ่ง แต่เขาก็ได้เริ่มฝึกฝนต่อไปกับผู้ป่วยที่เขาได้พบเจอ ทำให้ชีวิตของเขาในตอนนี้ค่อนข้างบอกได้ว่าถูกเติมเต็ม
ปาลเล่ได้เดินทางมาที่ร้านขายยาของฟาร์มาในช่วงบ่าย แถมยังเป็นทางเข้าหลังร้านพร้อมกับท่าทางที่ดูผิดปกติ
เพราะหากเป็นปกติเขาจะเข้ามาทางประตูหน้าแต่ดูท่าเรื่องนี้คงจะมีอะไรสักอย่างก่อนที่เขาจะทำการกระซิบถามพวกพนักงานร้าน
“ฟาร์มาอยู่หรือเปล่า”
“เดี๋ยวนะเด็กคนนั้นใครกันน่ะลูกลับๆ ของนายหรือไงกัน”
เอเลนถามปาลเล่ขณะจ้องไปที่ทารกที่อายุเหมือนจะไม่ถึงเดือนในแขนของปาลเล่ทารกดูจะไม่ได้ร้องไห้ออกมาอย่างเป็นปกติเหมือนกับทารกทั่วไปราวกับร่างกายในตอนนี้กำลังอ่อนแอนอกจากนั้นใบหน้าและเส้นผมยังเต็มไปด้วยสิ่งสกปรก
“ดูเหมือนจะเป็นเด็กที่ถูกทิ้งและมีอาการขาดน้ำน่ะ”
เมื่อปาลเล่ตรวจอาการดูบริเวณใบหน้าก็พบเห็นร่องรอยการอาเจียนรอบๆ ปาก ดูเหมือนผิวหนังจะไม่มีความเต่งตึง รอบดวงตาเป็นร่องลึกลงไป พอเขาใช้มือบีบผิวหนังหลังมือทารกเบาๆ ก็มันกลับไม่มีความยืดหยุ่นเช่นที่ควรเป็น และค้างเป็นรูปบั้งไว้เช่นนั้น ถือว่าเป็นการพิสูจน์เรื่องอาการขาดน้ำได้ดี
ลมหายใจทารกดูเบาและอัตราการเต้นของหัวใจก็ต่ำ ในขณะเดียวกันฟาร์มาได้ทำการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินอยู่ ก่อนจะส่งพวกใบสั่งยาต่างๆ ไปให้กับเหล่าพนักงานพาทไทม์ของทางร้าน
“ผมเตรียมยาไว้เสร็จแล้วนะครับฝากคุณช่วยเอาไปส่งให้ที และหากมีปัญหาอะไรให้รอผมสักครู่หนึ่งนะครับ”
“ได้เลยจ้า คุณเจ้าของร้าน”
เซเลส รับใบสั่งยามาเป็นจำนวนมากพร้อมกับพยักหน้าให้
“ขอโทษที่ให้รอสำหรับลูกอมยานะ ช่วยเอาไปให้พวกเขาที”
“รับทราบค่ะ”
ลอตเต้ได้ทำการแจกจ่ายลูกอมยาให้กับผู้ป่วย โดยที่พวกเขาก็ไม่ได้บ่นเลยแม้จะรอมานานขนาดไหน ก่อนที่จะพูดกับฟาร์มาต่อ
“ตอนนี้พี่ชายของท่านอยู่ที่ชั้นบนค่ะ”
พอไปถึง ฟาร์มาก็ตัดสินใจว่า ทารกนั้นอาจจะติดเชื้อได้ก่อนจะนำทางให้
ปาลเล่กับทารก ไปที่ห้องแยกโรค บริเวณชั้นสอง ฟาร์มา ปาลเล่ เอเลนทั้งสามที่เดินเข้าไปในห้องนั้นก็ได้เริ่มทำการตรวจอาการและพูดคุยกัน
“น่าตกใจเหมือนกันนะที่นายเอาเด็กโดนทิ้งมาด้วยแบบนี้”
“ก็ปล่อยไปแบบนั้นไม่ได้นี่นา บางทีนี่อาจจะเป็นลูกของพวกชนชั้นสูงก็ได้แต่ก็นะ แต่ตอนนี้ก็คงจะเรียกได้ว่าเป็นแค่สามัญชนสินะ”
ปาลเล่ได้วางทารกไว้ที่เตียงแล้วห่อผ้าห่มให้ ก่อนจะมองเธอด้วยความสงสาร
“นั่นสินะ….ชีพจรพลังแห่งเทพไม่ได้ถูกเปิด…พ่อแม่ของเด็กคนนี้คงจะไม่ค่อยยินดีกับมันเท่าไหร่นัก”
เอเลนรู้สึกเห็นใจทารกคนนี้ เมื่อลูกของเหล่าชนชั้นสูงไม่สามารถใช้พลังแห่งเทพได้ พวกเขาก็ไม่อาจจะกลายเป็นชนชั้นสูงได้โดยดูได้จากชีพจรแห่งเทพไม่ถูกเปิดขึ้นมา แน่นอนว่าในสังคมชั้นสูงเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่น่าอับอายสำหรับตระกูลเป็นอย่างมาก ทำให้เด็กถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ไร้ค่าและพร้อมจะถูกทิ้งอย่างง่ายดาย เด็กคนนี้ก็เป็นอีกหนึ่งในความน่าผิดหวังซึ่งถูกทอดทิ้งไว้บริเวณหน้าโบสถ์ก่อนที่เขาจะถูกนำตัวไปอยู่ภายใต้ศาสนจักรและส่งต่อไปยังสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่เนื่องจากเมืองหลวงของจักรวรรดินั้นมีประชากรมากจนเกินไปทำให้บางที ก็มีเด็กถูกทิ้งไว้ตามชายคาบ้านบ้างก็มีให้พบเห็น
ลูกของเหล่าชนชั้นสูงนั้นสามารถตรวจวัดพลังแห่งเทพได้ด้วยมาตราวัด และตัวเครื่องดังกล่าวนั้นแน่นอนว่าไม่สามารถใช้ได้กับผู้ที่ไม่มีพลังแห่งเทพหรือชีพจรแห่งเทพไม่ถูกเปิดขึ้นมา เอเลนได้นำมาตราวัดพลังแห่งเทพออกมาตรวจสอบเพื่อความแน่ใจอีกที ก็พบว่ามันไม่ขยับ
“่น่าเสียดายจริงๆ …..หากเราจะช่วยเด็กคนนี้ได้ บางทีเราน่าจะจ้างเธอให้มาเป็นคนรับใช้ทีหลังน่าจะได้นะ จุดนี้น่าจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ด้วย เพราะฉันรู้สึกว่าตอนนี้ไม่ค่อยเหมาะที่จะพาตัวเด็กไปส่งให้กับทางโบสถ์ด้วยสิ”
เอเลนเริ่มพิจารณาถึงการที่จะพาตัวเด็กไปยังบ้านของเธอ
“หืมมม แต่ผมว่าเด็กคนนี้ดูเหมือนจะมีพลังแห่งเทพอยู่นะ”
ตรงกันข้ามกับมุมมองคนอื่น ฟาร์มาบอกกับทุกคนว่า เขาสามารถมองเห็นประกายไฟจางๆ ที่ด้านหลังของร่างเด็กคนนั้นได้ ก่อนที่เขาจะยืนยันว่านั่นคือแหล่งพลังแห่งเทพอย่างแน่นอน
“อย่างงั้นก็มาเริ่มการรักษากันเลย”
ฟาร์มาเตรียมน้ำสะอาดด้วยพลังของเขาก่อนจะทำความสะอาดตัวเด็กและเปลี่ยนชุดให้ โดยนำผ้าอ้อมสำหรับเด็กที่เขาพึ่งพัฒนามาใช้กับทารกคนนี้
“โอ้ พอดีเลยแฮะ”
ทารกมีอาการท้องร่วงอ่อนๆ เนื่องจากอาการขาดน้ำรุนแรง ดูท่าน้ำในตัวคงจะแทบไม่มีเหลือเลย แบบนี้อาจจะส่งผลให้ร่างกายติดเชื้อร้ายแรงได้ เพราะทารกไม่มีทั้งน้ำตาและเหงื่อออกมาเลย
“ของเสียที่เธออาเจียนออกมานั้นมีสีขาวแถมมีอาการไข้เล็กน้อย ฉันว่าน่าจะติดเชื้อไวรัสโรตา”
ปาลเล่พูดตามอาการที่เห็น เพราะการติดเชื้อดังกล่าวจะทำให้สีของน้ำดี
(สีน้ำตาล) นั้นหายไปจากของเสีย โดยเขาโฟกัสกับจุดนี้เป็นสำคัญ
“นายรักษาเธอได้หรือเปล่า?”
ปาลเล่ถามฟาร์มา และฟาร์มาก็เริ่มสงสัยถึงความเป็นไปได้ที่ปาลเล่ซึ่งมีร่างกายอ่อนแอจะติดเชื้อมาด้วยก็เป็นได้จากการทำเคมีบำบัด โดยมีสาเหตุมาจากการนำทารกที่ติดเชื้อมากับตัวด้วยเช่นนี้ แน่นอนว่านี่ถือว่าเป็นเรื่องถึงขั้นชีวิตของปาลเล่และตัวเด็กด้วย ในฐานะผู้ป่วยปาลเล่ถือว่าสอบตก แต่ในฐานะคนๆ หนึ่งฟาร์มาก็ให้การยอมรับเป็นอย่างมาก
“มันกลายเป็นสีขาวไหม?”
(ปาลเล่รู้ว่าฟาร์มามีดวงตาวินิจฉัยและความสามารถในการทำงานของมันตั้งแต่ช่วงที่ฟาร์มารักษาเขา)
ฟาร์มาไม่ได้ใช้ดวงตาวินิจฉัยในตอนแรก แต่ขณะที่เขากำลังใช้มันนั้น ทุกคนก็ทำการสวมถุงมือและหน้ากากไวนิลเพื่อป้องกันเชื่อ ทางด้านปาลเล่ซึ่งเป็นผู้พาเด็กมาด้วยนั้นก็ไม่เว้น ตัวเขานั้นต้องถอดชุดที่สวมมาทิ้งทั้งหมดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ก่อนฟาร์มาจะนำชุดคลุมของพนักงานร้านมาให้เขาใส่แทน
“ของเสียสีขาวแบบนี้อาจจะไม่ได้การติดเชื้อที่ถุงน้ำดีก็ได้นะ ฉันว่าบางทีอาจจะเป็นอาการของท่อน้ำดีตีบตันแต่กำเนิดก็ได้”
เอเลนเสนอความเป็นไปได้อีกอย่างขึ้นมา เพราะการที่ของเสียสีขาวนั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุไม่จำเป็นต้องเป็นแค่อาการของไวรัส ฟาร์มาก็ได้เสริมว่ากลิ่นของอุจจาระเด็กคนนี้มีกลิ่นแปลกๆ
“เอเลนลองดมดูสิ”
เอเลนค่อยๆ ปาดอุจจาระขึ้นมาดมเพื่อจับกลิ่นก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย แน่นอนว่าฟาร์มาพิจารณาถึงความเสี่ยงในการติดเชื้อได้จึงไม่ได้ให้ปาลเล่เข้าร่วมการตรวจนี้
“มีกลิ่นเปรี้ยวออกมา”
“หากมีกลิ่นคาวนั่นหมายถึงมีแบคทีเรียเป็นสาเหตุของท้องร่วง แต่ถ้ามีกลิ่นเปรี้ยวนั่นหมายถึงมีไวรัสเป็นสาเหตุ ดังนั้นไวรัสโรตาน่าจะเป็นสาเหตุ”
พูดได้ว่าปาลเล่ค่อนข้างจะแม่นยำในการวินิจฉัยเลยทีเดียว จนฟาร์มาพยักหน้าให้และพูดต่อ
“ครับ สรุปได้ว่ามีความเป็นไปได้สูงว่านี่คือไวรัสโรตาครับ”
ก่อนเขาจะใช้ดวงตาวินิจฉัยส่องอีกครั้ง เนื่องจากมันมีขนาดเล็กมากจนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยกล้องกล้องจุลทรรศน์เหมือนแบคทีเรีย เมื่อลองเพ่งสายตาอย่างละเอียดดูแล้วก็ทำให้ทราบว่าทารกนั้นติดเชื้อหนักมาก และแสงส่วนใหญ่ก็ไปกระจุกตัวกันที่ทางเดินอาหาร แสงที่ส่งผ่านสายตา มานั้นคือสีม่วงที่เกือบจะไปทางแดง นั่นหมายความว่าสามารถรักษาได้แต่ก็มีความเสี่ยงที่สูงพอสมควร ไม่ควรปล่อยละเลยได้ง่ายๆ
โรต้าไว้รัสหรือที่ถูกเรียกกันว่าอหิวาตกโรคในเด็ก
แม้ญี่ปุ่นในยุคปัจจุบันก็เป็นไวรัสที่แพร่ไปยังทารกส่วนใหญ่อยู่แล้วแต่กรณีที่มีความรุนแรงถึงขึ้นชีวิตนั้นหาได้ยาก อัตราการเสียชีวิตของโรคนั้นต่ำมากเนื่องจากได้รับการรักษาสมัยใหม่ได้อย่างเหมาะสม ฟาร์มานึกถึงมันก่อนจะรู้สึกเจ็บปวดกับฝันหวานนั้นที่ยังคงห่างไกลอีกมากกับตอนนี้
ในประเทศที่พัฒนาแล้วแทบจะไม่มีการเสียชีวิตจากโรคนี้เลย แต่ยังไงก็ตาม กว่า40 เปอร์เซ็นต์ของประเทศที่ยังไม่พัฒนาทั่วโลกมีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบเสียชีวิตด้วยอาการท้องร่วงอันเนื่องมาจากไวรัสดังกล่าวกว่า 5 แสนคนต่อปี เรียกได้ว่านี่คือสาเหตุต้นๆ ของการเสียชีวิตในทารกเลยก็ว่าได้ เนื่องจากอาการที่รุนแรงที่สุดของเชื้อนี้คือการอาเจียนและท้องร่วงอย่างรุนแรงซึ่งตรงกับอาการของเด็กคนนี้ที่เป็นอยู่ โดยท้ายที่สุดมันจะนำพาไปสู่อาการโรคไข้สมองอักเสบเฉียบพลันและอวัยวะภายในทำงานล้มเหลว
แน่นอนว่าตอนนี้ไม่มีกระสุนเงินสำหรับไวรัสโรตาตัวนี้……
————–
Note : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913