ตอนที่ 138 การจากลา
“น่าเสียดาย…”
เมื่อกินข้าวเสร็จและกำลังจะแยกย้ายกัน ซุ่นเย่าหัวก็เอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกเสียดาย “ไม่นานมานี้ฉันกู้เงินมาเปิดร้านหม้อไฟ เดิมทีอยากเชิญรุ่นน้องไปลองชิมตอนเปิดร้าน แต่นายจะไปฉีโจวไปเดือนนี้แล้วใช่มั้ย”
“ยังมีฉันนะ!”
หลินเซวียนพลันดวงตาเป็นประกาย
ซุนเย่าหั่วพยักหน้ารัว “พี่จะมาตอนไหนก็ได้เลยครับ ผมจะแจ้งกับผู้จัดการไว้ ให้พี่กินฟรีตลอดชีพ ตราบใดที่พี่ยินดีมากิน เดี๋ยวผมจะส่งที่อยู่ไปให้ สิ้นเดือนหน้าเปิดกิจการ พอถึงตอนนั้นก็มาได้เลยนะครับ!”
“นายพูดแล้วนะ”
หลินเซวียนดีอกดีใจ ถึงขั้นที่เมื่อซุนเย่าหั่วเรียกเธอว่าพี่ เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธ ถึงแม้อายุของซุนเย่าหั่วอาจจะมากกว่าเธอ แต่เรียกว่าพี่ก็แลดูจะไม่ได้มีปัญหาอะไร ถึงอย่างไรตนก็ไม่ได้ดูมีอายุ จะกลัวอะไรกับแค่คำเรียกขาน
“อีกอย่าง…”
ซุนเย่าหั่วกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ยังมีร้านชานมกับร้านอาหารเช้าในชื่อของผมอีกนะ เอาไว้ผมจะพาพี่ไปลองชิมดู หลังจากนี้พี่พาคนมาก็ไม่มีปัญหาครับ ให้กินฟรีทุกคนเลย ใครให้ผมสนิทกับรุ่นน้องขนาดนี้ล่ะเนอะ!”
“เอาไว้ผมค่อยกลับมากิน”
หลินเยวียนพยักหน้า รู้สึกสะเทือนใจอยู่บ้าง อดกินหม้อไฟสักระยะ เชื่อว่าร้านหม้อไฟของรุ่นพี่ซุนต้องอร่อยมากแน่ๆ เพราะรุ่นพี่ซุนเป็นคนหนึ่งที่พิถีพิถันกับอาหาร เขามักจะเจอร้านอาหารที่อร่อยที่สุดในฉินโจวอยู่เสมอ
ซุนเย่าหั่วรู้สึกตื่นเต้น
หลินเยวียนไม่ได้ปฏิเสธสิ่งที่เขาพูด เห็นได้ชัดว่าหลินเยวียนก็คิดว่าความสัมพันธ์ของตนกับเขาไม่เลวเลย ตอนที่รุ่นน้องออกเดินทางจะต้องไปส่งรุ่นน้องที่สนามบิน เพื่อเป็นการกระชับมิตรภาพกับทุกคน!
ไม่ต้องพูดถึงเลย
ยามที่บอกลากับรุ่นพี่ซุนเย่าหั่วก่อนกลับที่พัก หลินเยวียนก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกของการจากลาจริงๆ
ทุกคนรู้จักมักคุ้นกันมานานขนาดนี้ อยู่ๆ จะต้องแยกจากกันไปเป็นปี พลอยให้รู้สึกไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง
ช่วงเวลาหลังจากนี้
ความรู้สึกของการจากลาก็อบอวลขึ้นเรื่อยๆ
ซย่าฝานเองก็แวะมาหาหลินเยวียนหลังจากไปๆ มาๆ งานอีเวนต์ทุกวัน
ตอนนี้เธอกำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของอาชีพในวงการ ไม่ง่ายเลยที่จะหาเวลามาได้เช่นนี้
นอกจากนั้นแล้ว
ในฐานะศิลปินของสตาร์ไลท์ เจียงขุยก็รู้ข่าวว่าเซี่ยนอวี๋จะไปฉีโจวมาจากคนในบริษัท
มีเพียงเจียงขุยกับซุนเย่าหั่ว ที่เคยร่วมงานกับหลินเยวียนสองครั้ง
ถึงขั้นที่เจียงขุยยังได้ร่วมงานกับหลินเยวียนเป็นครั้งที่สองเร็วกว่าซุนเย่าหั่วไปหนึ่งก้าว
จะมีครั้งที่สามหรือไม่ ไม่มีใครล่วงรู้ได้
แต่เมื่อได้ยินว่าเซี่ยนอวี๋จะไปฉีโจว เจียงขุยก็รีบไปเลี้ยงข้าวหลินเยวียนสักมื้อ หนำซ้ำยังตั้งอกตั้งใจเตรียมของขวัญเป็นอย่างดี
“คืออะไรเหรอครับ”
หลินเยวียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย
เจียงขุยตอบอย่างกระดากอายเล็กน้อย “ช่วงนี้ฉันเรียนทำขนมมานิดหน่อย นี่เป็นขนมเปี๊ยะไข่แดงที่ฉันทำเสร็จก่อนออกมาค่ะ”
หลินเยวียนแววตาพลันเป็นประกาย
ไอศกรีมกับเยลลีพุดดิ้งเป็นของที่หลินเยวียนชอบที่สุด
แต่ว่า ขนมเปี๊ยะไข่แดงก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย!
ปั้นขนมได้กลมดิก มองปราดเดียวก็รู้ว่าพิถีพิถันมาก
เขารับของขวัญมาด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะกล่าวขอบคุณอย่างจริงจัง
“ในนี้มีไข่แดงใช่มั้ยครับ”
“ใช่ค่ะ ฉันใส่ไข่แดงเค็มเข้าไป ไม่รู้ว่าจะถูกปากคุณมั้ย”
“ผมชอบกินไข่แดงมาก ทั้งไข่เป็ดไข่ไก่ รู้สึกว่าอร่อยทุกอย่างเลยครับ”
เมื่อก่อนหลินเยวียนกินขนมไหว้พระจันทร์ ก็จะเลือกแต่ไส้ไข่เค็ม และจะแย่งกับน้องสาวทุกครั้งไป ทว่าโดยมากก็จะจบลงที่ทั้งสองแบ่งกันคนละครึ่ง
น้องสาวกินไข่เค็ม
หลินเยวียนกินส่วนที่เหลือ
ในวันนี้ได้กินไข่แดงเค็มคนเดียวอย่างเต็มที่ จะมีอะไรที่สุขสมไปมากกว่านี้อีกล่ะ
“ชอบก็ดีแล้วค่ะ”
เมื่อเห็นว่าหลินเยวียนมีท่าทางดีใจ เจียงขุยก็ลอบกำหมัด
ความสัมพันธ์ของเธอกับหลินเยวียน ไม่ได้สนิทสนมกันเฉกเช่นซุนเย่าหั่ว ฉะนั้นเธอจึงยังกังวลว่าการพบกันในครั้งนี้จะเสียมารยาทหรือเปล่า
ของขวัญนี้ เป็นสิ่งที่เธอขบคิดอยู่นานกว่าจะนึกขึ้นมาได้
เพลงของอาจารย์เซี่ยนอวี๋โด่งดังทุกเพลง ดังนั้นเขาไม่มีทางเงินขาดมือ
และคนที่มีเงิน ก็มักจะไม่ได้สนใจเงินสักเท่าไหร่ ย่อมไม่ได้แสวงหาความเป็นวัตถุนิยมสูงนัก
ต่อให้ตนซื้อของขวัญราคาหลักพันหลักหมื่น อย่างเช่นพวกใบชา ก็ใช่ว่าอาจารย์เซี่ยนอวี๋จะดีใจ
ถึงขั้นที่อาจคิดว่าตนนั้นตื้นเขิน ไม่ได้ต่างอะไรจากคนอื่นๆ ที่มาเลียแข้งเลียขาเขา
ตัวอย่างเช่นซุนเย่าหั่ว
ทว่าขนมเปี๊ยะไข่แดงเค็มนั้นต่างออกไป!
แม้ราคาจะถูก แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความจริงใจ อาจารย์เซี่ยนอวี๋ย่อมมองออกอย่างแน่นอนว่าตนทำมาจากใจ!
ซุนเย่าหั่ว!
ขอโทษด้วย แต่ครั้งนี้ฉันชนะอีกแล้ว!
เจียงขุยอดรู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่องไม่ได้ ขณะเดียวกันในใจก็รู้สึกเสียใจอยู่บ้าง
เดิมทีเธอคิดว่าจะค่อยๆ ทำความรู้จักกับอาจารย์เซี่ยนอวี๋ นึกไม่ถึงว่าเป็นเพราะเธอเคลื่อนไหวช้าไป พริบตาเดียวอาจารย์เซี่ยนอวี๋ก็จะไปฉีโจวแล้ว เมื่อไปแล้วตนก็จะไม่ได้เจอกับอีกฝ่ายอีกนาน
แบบนี้ไม่ดีแน่
กว่าเซี่ยนอวี๋จะกลับมา ตนจะต้องคิดหาวิธีเข้าหาอีกฝ่ายให้ได้ จะปล่อยให้ซุนเย่าหั่วแซงหน้าไม่ได้
หมอนั่นความคิดตื้นเขินเกินไป ไม่มีทางรู้ว่าแท้จริงแล้วอาจารย์เซี่ยนอวี๋ต้องการอะไร!
……
ความเศร้าของการจากลา ทำให้ผู้คนอารมณ์อ่อนไหว หลินเยวียนรู้สึกว่าตนอารมณ์อ่อนไหวอยู่บ้าง เพราะในวันต่อมา เขาก็โดดงานอีกครั้ง
ไม่ใช่เพื่ออะไร
ก็เพื่อไปเล่นเปียโนอีกสักครั้งที่ห้องเปียโนของวิทยาลัยศิลปะฉินโจว
ยังไม่ทันถึงวิทยาลัย หลินเยวียนก็ได้รับสายจากเหล่าโจว “ทำไมวันนี้ไม่มาทำงานอีกแล้วล่ะ”
หลินเยวียนพูด “ออกมาหาแรงบันดาลใจครับ”
เหล่าโจวถอนหายใจ “นายจะเอาแต่พูดแบบนี้ไม่ได้ ถ้าเกิดวันที่คนที่เช็กชื่อไม่ใช่ฉัน ข้ออ้างแบบนี้อาจใช้ไม่ได้”
หลินเยวียนเปลี่ยนเหตุผล “ออกมาหาข้อมูลครับ”
เหล่าโจวเงียบไปนาน ก่อนจะเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ก็เหมือนกับเหตุผลก่อนหน้านี้ไม่ใช่หรือไง”
หลินเยวียนตอบ “คำไม่เหมือนกันครับ”
เหล่าโจว “…”
ขี้เกียจจะเถียงกับนายแล้ว ถึงยังไงถ้าเปลี่ยนคนเช็กชื่อคนเข้างาน สุดท้ายแล้วก็ต้องมารายงานฉันอยู่ดี
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว เหล่าโจวจึงตอบไปอย่างจนปัญญา “เอาเถอะ ฉันเข้าใจแล้ว”
“ขอบคุณครับ”
หลินเยวียนวางสาย
เขามาถึงหน้าประตูวิทยาลัยในที่สุด
แม้ว่าวิทยาลัยจะปิดเทอมแล้ว แต่ประตูใหญ่ก็ยังไม่ปิด เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหน้าประตูก็อยู่ หลินเยวียนเจรจาอยู่สามสี่ประโยค หลังจากยืนยันตัวตนว่าเป็นนักศึกษาแล้ว อีกฝ่ายก็ปล่อยให้เข้ามาได้อย่างง่ายดาย
เมื่อเดินมาถึงระเบียงทางเดินหน้าห้องเปียโน
หลินเยวียนยังไม่ทันได้เลือกห้อง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจมาแต่ไกล “เพื่อนนักเรียนหลิน!”
หลินเยวียนหันไปมอง กู้ซีเองเหรอ?
เจอกับกู้ซีนั้นไม่ใช่เรื่องดี
ทว่าครั้งก่อนกู้ซีให้ความช่วยเหลือสาขาการประพันธ์เพลงไว้มาก ฉะนั้นหลินเยวียนถึงไม่ได้เบือนหน้าหนีเดินจากไป เพียงแต่พยักหน้าเอ่ย “สวัสดีครับ”
กู้ซีรีบขยับเข้ามาใกล้ “มาเล่นเปียโนเหรอคะ”
หลินเยวียนพูด “เทอมหน้าไม่มีโอกาสได้เล่นเปียโนที่นี่แล้ว”
กู้ซีชะงักไปชั่วขณะ กว่าจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง “คุณจะไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยน!”
หลินเยวียนไม่ได้ปฏิเสธ
กู้ซีแทบสติหลุดอยู่ตรงนั้น!
เดิมทีเธอเองก็ได้โควตานักศึกษาแลกเปลี่ยนตรงนั้น แต่เธอปฏิเสธไป เพราะกลัวว่าถ้าไปฉีโจวแล้วจะไม่ได้เจอหลินเยวียน นึกไม่ถึงว่าหลินเยวียนจะไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนด้วย!
ถ้ารู้แต่แรก ก็คงไปฉีโจวเหมือนกัน!
เธอร้อนรนจนไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี ยืนลังเลอยู่นานกว่าจะบอกว่า “คุณจะเล่นเปียโนที่นี่นานแค่ไหนเหรอ”
“ไม่รู้ครับ”
“งั้นรบกวนรอฉันแป๊บนึงได้มั้ยคะ เดี๋ยวฉันกลับมา อย่าเพิ่งไปไหนนะคะ!”
“เร็วหน่อยนะครับ”
หลินเยวียนไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงอยากให้ตัวเองรอ แต่เขาก็ไม่ได้ถาม เดินตรงเข้าไปเล่นเปียโนในห้อง
กู้ซีหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา
กระวีกระวาดออกไปเร็วฉิวราวติดปีกบิน
หลังจากออกมา เธอก็กดโทรศัพท์ต่อสาย “คิดวิธีเร็ว ลองดูให้หน่อยว่าฉันย้ายไปเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่ฉีโจวได้มั้ย…ใช่ ฉันเปลี่ยนใจแล้ว…ขอร้องล่ะ…”
เมื่อคุยโทรศัพท์เสร็จ
กู้ซีก็รีบรุดลงไปชั้นล่าง
ยี่สิบนาทีผ่านไป เธอก็กลับมา ในมือมีกล่องของขวัญแลดูประณีตสวยหรูชิ้นหนึ่ง
รอให้หลินเยวียนเล่นเปียโนเสร็จ
เมื่อเธอแน่ใจแล้วว่าหลินเยวียนจะไม่เล่นต่อ จึงเดินเข้าไป พูดว่า “ไม่รู้ว่าเพื่อนนักเรียนหลินจะไปแล้ว ฉันเลยไม่ได้เตรียมของมาล่วงหน้า เมื่อกี้ไปซื้อของขวัญชิ้นหนึ่งมาให้คุณ!”
“ขอบคุณครับ”
หลินเยวียนรับของขวัญมา หลังจากที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ถึงอย่างไรจะรับของขวัญมาชิ้นเดียวหรือสองชิ้นก็คือรับเหมือนกัน
กู้ซีเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “ลองเปิดดูสิ”
หลินเยวียนเห็นด้วย เขาเองก็สงสัยเหมือนกันว่าข้างในมีอะไร
ทันทีที่เปิดออกดู ก็เห็นลูกบอลทรงกลมหนึ่งลูก
“นี่เป็นบลูสตาร์จำลองสามมิติ” กู้ซียิ้มพลางกล่าวแนะนำ
เธอคิดว่าของขวัญชิ้นนี้มีความหมายมาก ความหมายโดยนัยก็คือไม่ว่าจะอยู่ที่ใด เราทุกคนก็ยังอยู่บนโลกใบเดียวกัน จะให้ของขวัญทั้งทีก็ต้องให้สิ่งที่มีความหมาย เธอละนับถือสมองอันปราดเปรื่องของตัวเองจริงๆ
เชื่อว่าหลินเยวียนก็น่าจะเข้าใจเจตนาของตน
หลินเยวียนมองไปยังบลูสตาร์ขนาดพกพา ขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ถามคำถามหนึ่งซึ่งกู้ซีคาดไม่ถึงมาก่อนในชีวิต
“ข้างในมีไข่แดงมั้ยครับ”
……………………………………………..