ตอนที่ 139 ตัวแทนหลิน (1)
ปลายเดือนสิงหาคม ณ สนามบิน
หลินเซวียน ซย่าฝาน และซุนเย่าหั่วมาส่งหลินเยวียน ในครั้งนี้ซุนเย่าหั่วไม่ได้สวมหน้ากากอนามัยและแว่นตาดำอีก เขาเปลี่ยนจากความคิดว่าไม่อยากให้ใครจำได้ ไปเป็นอยากให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาจดจำได้
“นั่นดาราใช่มั้ย”
“เหมือนจะใช่จริงด้วย!”
“ชื่ออะไรนะ”
ไกลออกไป จู่ๆ ก็มีเสียงกระซิบกระซาบดังมา
ซุนเย่าหั่วยืดอก ผุดยิ้มหันไปยังกลุ่มคน แต่ชั่วขณะต่อมารอยยิ้มของเขาก็แข็งค้าง เพราะเขาพบว่าคนเหล่านั้นมองไปทางซย่าฝาน บ้างก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป บ้างก็หยิบสมุดขึ้นมาขอลายเซ็น…
“ซย่าฝาน!”
“ซย่าฝาน!”
ในตอนนั้นหลินเยวียนไปขึ้นเครื่องไม่นาน ซุนเย่าหั่วก็สัมผัสได้ถึงความหงอยเหงาเปล่าเปลี่ยวล่วงหน้า ท่ามกลางสนามบินอันกว้างใหญ่ เพียงแต่เขาถูกผู้คนเข้ามาเบียดเสียดห้อมล้อมโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“…”
หลินเยวียนไม่คุ้นเคยกับความรู้สึกยามที่นั่งเครื่องบินสักเท่าไหร่ ไม่ใช่เพราะกลัวความสูงอะไรหรอก เพียงแค่ขณะที่เครื่องบินเพิ่มเพดานบินขึ้นเรื่อยๆ ในหูของเขาก็รู้สึกไม่ดีเอาซะเลย เขาทำได้เพียงพยายามข่มตาหลับ ยังไงซะการเดินทางในครั้งนี้ก็กินเวลานานถึงเจ็ดชั่วโมง
ตั๋วเครื่องบินนั้นพี่สาวเป็นคนจอง
เธอซื้อตั๋วชั้นธุรกิจให้
กว่าหลินเยวียนจะมารู้เรื่องนี้อีกทีก็ไม่ทันเสียแล้ว ทำได้แค่แบกรับความปวดใจ ถึงยังไงราคาของตั๋วชั้นธุรกิจกับชั้นประหยัดก็ต่างกันพอดู ส่วนต่างตรงนี้หลินเยวียนเอาไปซื้อขนมเปี๊ยะไข่แดงได้ไม่รู้ตั้งกี่ชิ้น
ในตอนนั้นกำลังจะถึงกำหนดการส่งมอบวิลล่า
ค่าใช้จ่ายในตกแต่งภายในหลินเยวียนเป็นคนจ่าย
ค่าดำเนินการจิปาถะให้พี่รับผิดชอบก็ได้แล้ว
และหลังจากผ่านการใช้จ่ายในส่วนนี้ไป ในกระเป๋าของหลินเยวียนก็เหลือเงินอยู่ไม่เท่าไหร่ ยังดีที่เดือนกันยายนกำลังใกล้เข้ามาแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะมีค่าต้นฉบับและส่วนแบ่งจากเพลงโอนเข้ามาในบัญชี ดังนั้นหลินเยวียนจึงไม่ได้กังวลแต่อย่างใด…
ผ่านไปเจ็ดชั่วโมง
หลินเยวียนก็เดินทางถึงฉีโจว
ที่ฉีโจวยังสว่างอยู่ หลินเยวียนใช้เวลานอนไปครึ่งหนึ่งของการเดินทาง จนรู้สึกว่าสมองมึนงงขณะที่ลงจากเครื่องบิน เขาไปรับกระเป๋าที่สายพานเรียบร้อยแล้ว จึงตรงไปล้างหน้าในห้องน้ำ ถึงรู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง
เมืองอี้ ฉีโจว
นี่คือเมืองที่หลินเยวียนบินมาลง เป็นหนึ่งในเมืองที่เจริญที่สุดในฉีโจว เวลาของที่นี่ต่างกับเวลาของเมืองซูในฉินโจวทั้งหมดประมาณสี่ชั่วโมง สำหรับหลินเยวียนแล้วนับว่าปรับตัวได้ไม่ยากเท่าไหร่
เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาโทร
นี่เป็นเบอร์ที่เหล่าโจวให้หลินเยวียนมา บอกว่าหลังจากถึงฉีโจวแล้วให้ติดต่อได้ เมื่อถึงตอนนั้นจะมีคนมารับตนไปที่บริษัทย่อย ส่วนที่พักก็ให้คนของทางบริษัทย่อยจัดการไว้ล่วงหน้าแล้วเสร็จสรรพ
เมื่อต่อสายติด
ปลายสายเป็นเสียงของหญิงสาวคนหนึ่ง “ไม่ทราบว่าคุณคืออาจารย์เซี่ยนอวี๋ใช่มั้ยคะ ฉันรอคุณอยู่ที่เกตชั้นหนึ่ง ตอนนี้รถจอดอยู่ที่ลานจอดรถด้านล่างนะคะ คุณออกมาแล้วก็จะเห็นฉัน ฉันใส่เสื้อคลุมสีแดง…”
“เห็นคุณแล้วครับ”
หลินเยวียนมองไปยังหญิงสาวซึ่งอยู่ไกลออกไป
สีหน้าของอีกฝ่ายยามที่เห็นหลินเยวียน เห็นได้ชัดว่าตะลึงงันไปชั่วขณะ จากนั้นเธอก็กดวางสายแล้วเดินมา ใช้น้ำเสียงไม่มั่นใจเอ่ยว่า “ฉันชื่อกู้ตง เป็นเจ้าหน้าที่ที่บริษัทย่อยของสตาร์ไลท์ค่ะ คุณคืออาจารย์เซี่ยนอวี๋ใช่มั้ยคะ”
หลินเยวียนพยักหน้า
กู้ตงนึกตกใจอยู่บ้าง ตัวแทนที่ทางสำนักงานใหญ่ส่งมายังดูเด็กอยู่เลย อันที่จริงเรื่องนี้อยู่เหนือความคาดหมายของกู้ตง อย่างไรก็ดีก่อนหน้านี้กู้ตงก็เคยหาข้อมูลของเซี่ยนอวี๋มาบ้าง รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นนักประพันธ์เพลงที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่งของฉินโจว ฉะนั้นจึงไม่กล้าเพิกเฉยไม่เอาใจใส่หลินเยวียนเพียงเพราะเขาอายุน้อย “ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปที่บริษัทกันก่อน?”
“ครับ”
เซี่ยนอวี๋พูดน้อยจัง
นิสัยค่อนข้างเย็นชา
กู้ตงเริ่มมีทัศนะต่อหลินเยวียนแบบนี้ ออกตัวช่วยหลินเยวียนยกกระเป๋าเดินทาง “คุณนั่งเครื่องมาคงเหนื่อยน่าดู เอากระเป๋าเดินทางให้ฉันก็ได้ค่ะ ลานจอดรถอยู่ชั้นล่าง คุณเดินตามฉันมาก็พอแล้วค่ะ”
หลินเยวียนไม่ได้ปฏิเสธ
รถเดินทางออกจากสนามบิน กู้ตงพูดแนะนำสถานการณ์ต่างๆ กับหลินเยวียน “หลังจากนี้ฉันจะเป็นเลขาในบริษัทย่อยของคุณ ต้องการอะไรคุณบอกฉันได้เลย อีกเรื่องหนึ่งที่ฉันอยากสอบถามเป็นการส่วนตัว ชื่อจริงของคุณคือเซี่ยนอวี๋หรือเปล่าคะ”
“ผมชื่อหลินเยวียน”
กู้ตงพยักหน้า เซี่ยนอวี๋เป็นชื่อในวงการจริงด้วย “งั้นต่อไปฉันจะเรียกคุณว่าตัวแทนหลินก็แล้วกันนะคะ หรือว่าคุณชอบชื่ออาจารย์เซี่ยนอวี๋ก็ได้นะคะ ฉันจะได้แจ้งกับทางบริษัท”
“แล้วแต่เลยครับ”
หลินเยวียนตอบอย่างรวบรัด
กู้ตงหัวเราะแห้ง ไม่ได้พูดอะไรอีก ตั้งหน้าตั้งตาขับรถ ส่วนหลินเยวียนก็หยิบโทรศัพท์ออกมาส่งข้อความหาพี่สาว จากความต่างของเวลาแล้ว การติดต่อสื่อสารระหว่างทั้งสองพื้นที่ก็ไม่ได้มีอุปสรรคอะไร
ส่งข้อความเสร็จ
หลินเยวียนก็ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันสำหรับฟังเพลงซึ่งค่อนข้างเป็นที่นิยมในฉีโจว มีสองแพลตฟอร์มในนั้นที่ได้รับความนิยมในฉินโจวเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าทั้งสองพื้นที่มีสิ่งที่เหมือนกันอยู่ไม่น้อย นั่นทำให้หลินเยวียนรู้สึกคิดถึงบ้านน้อยลง
หลินเยวียนสวมหูฟัง
เปิดเพลงฟัง
เพลงที่เขาฟังล้วนเป็นเพลงที่ค่อนข้างฮิตของฉีโจว มีสไตล์แตกต่างกับทางฉินโจวอยู่พอสมควร คุณภาพโดยภาพรวมนั้นสู้เพลงของฉินโจวไม่ได้ ไม่เสียชื่อที่ฉินโจวถูกขนานนามว่าเป็นมาตุภูมิแห่งดนตรี อีกทั้งที่นี่เพลงภาษาฉีนั้นเป็นที่นิยมมากกว่าจริงๆ ให้หลินเยวียนสุ่มเลือกเปิดเพลงฮิตของฉีโจวมา กว่าร้อยละเจ็ดสิบของผลงานล้วนแต่ใช้ภาษาฉีขับร้อง ที่เหลืออีกร้อยละสามสิบเป็นเพลงภาษากลาง
ไม่รู้ว่าฟังเพลงอยู่นานแค่ไหน
ทั้งสองคนก็เดินทางมาถึงบริษัทย่อย
หลินเยวียนกับกู้ตงลงจากรถพร้อมกัน มาถึงหน้าประตูบริษัทแห่งหนึ่ง บริษัทแห่งนี้มีตัวอักษรขนาดใหญ่เขียนไว้ว่า ‘สตาร์ไลท์มิวสิก’ แต่ว่าขนาดของพื้นที่นั้นเทียบไม่ได้กับสำนักงานใหญ่เลย แม้แต่ชื่อของบริษัทก็ยังสีซีดเซียวขึ้นสนิมเพราะปราศจากการบำรุงรักษามานาน
“บริษัทมีทั้งหมดสามชั้น”
กู้ตงเอ่ยแนะนำ “สตูดิโออัดเสียงและอุปกรณ์ต่างๆ อยู่ชั้นหนึ่ง ชั้นสองส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ทำงาน ชั้นสามเป็นห้องทำงาน คุณเป็นตัวแทนที่สำนักงานใหญ่ส่งมา อยู่ระดับเดียวกับกรรมการผู้จัดการ ดังนั้นพวกเราเลยจัดห้องทำงานของตัวแทนให้คุณแล้ว”
หลินเยวียนพยักหน้า
ตำแหน่งที่ตั้งของบริษัทนี้ออกจะห่างไกลไปหน่อย ทว่าข้อดีของความไกลตัวเมืองก็คือสภาพแวดล้อมโดยรอบไม่เลวเลย พื้นที่โปร่งโล่งโอ่โถง อาคารของบริษัทขนาดสามชั้นเทียบไม่ได้กับสำนักงานใหญ่ แต่ได้ยินว่าบริษัทก็เติบโตได้ไม่มาก หลินเยวียนเองก็เข้าใจได้
บริษัทไม่มีลิฟต์
ทั้งสองคนทำได้เพียงเดินขึ้นบันได
หลินเยวียนไม่ได้รังเกียจรังงอน เดินตามกู้ตงไปสำรวจบริษัทอย่างสนอกสนใจ ขณะที่เดินผ่านพื้นที่ทำงานชั้นสอง พนักงานไม่น้อยก็มองไปยังหลินเยวียนซึ่งอยู่ด้านหลังกู้ตง
“กู้ตงไปรับคนมาแล้ว?”
“นั่นเป็นตัวแทนที่สำนักงานใหญ่ส่งมา?”
“ทำไมรู้สึกว่าดูอายุน้อยมากเลย”
“คงเป็นเพราะอายุน้อยถูกรังแกง่าย เลยถูกส่งมาที่นี่ล่ะมั้ง บริษัทย่อยซอมซ่ออย่างพวกเรา สำนักงานใหญ่ไม่ให้ความสำคัญหรอก ผู้จัดการขอร้องอยู่ตั้งหลายเดือน กว่าทางสำนักงานใหญ่จะส่งคนมา ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าผู้จัดการเห็นคนเขาเป็นฟางช่วยชีวิต[1] แต่ลืมไปว่าฟางเส้นเดียวจะไปช่วยชีวิตคนตกน้ำได้ยังไง…”
“ฉันสงสัยว่าเขาอาจเป็นนักศึกษาอยู่เลย”
“ตอนนี้ฉันเริ่มเป็นห่วงแล้วว่าบริษัทจะต้องปิดเพราะล้มละลายปีนี้แหละ สำนักงานใหญ่ส่งเด็กน้อยมา เห็นได้ชัดว่าไม่ได้สนใจใยดีบริษัทเรา ตอนนี้หางานก็ไม่ง่าย พวกแกหาที่ทำงานใหม่กันได้แล้ว?”
“อย่าพูดเหลวไหลน่ะ ฉันเป็นพนักงานที่จงรักภักดีกับบริษัทเว้ย!”
“มั่นหน้ามากจ้า ก่อนหน้าแกจะมาอยู่บริษัทนี้ก็มีเกียรติประวัติว่าย้ายงานมาห้าครั้ง ถ้าบริษัทเราไม่ได้ขาดคน ตอนนั้นทางHRเขาไม่รับแกหรอกย่ะ”
“…”
หลินเยวียนย่อมไม่ได้ล่วงรู้ถึงการสนทนากันของคนในบริษัท เขาเดินตามกู้ตงเข้าไปยังห้องทำงาน พื้นที่ของห้องทำงานแห่งนี้ไม่นับว่าใหญ่ แต่ทัศนียภาพกลับไม่เลวเลย มองจากหน้าต่างออกไป ก็เห็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ผืนหนึ่งพอดิบพอดี นั่นทำให้หลินเยวียนหวนนึงถึงโต๊ะทำงานของตนที่สำนักงานใหญ่
หน้าโต๊ะมีป้ายวางไว้
ตัวแทนสำนักงานใหญ่: หลินเยวียน
โต๊ะทำงานสีดำ มุมของห้องยังมีไม้ประดับสีเขียวสดตั้งอยู่ เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้มีคนมาปัดกวาดเช็ดถูแล้ว “อีกเดี๋ยวจะมีประชุมนะคะ จะแนะนำคุณกับพนักงานในบริษัทสักหน่อย เย็นนี้ผู้จัดการจัดพิธีต้อนรับให้คุณ เขาให้ความสำคัญกับคุณมากเลยนะคะ!”
กู้ตงเอ่ยพลางยิ้มบาง
ทว่าภายใต้รอยยิ้มของกู้ตงนี้ แท้จริงแล้วกลับเต็มไปด้วยความขมขื่น ‘ความฝันของพ่อคือสำนักงานใหญ่ส่งคนมา ความคาดหวังในอนาคตของทั้งบริษัทล้วนแต่โถมลงมาที่ตัวแทนคนนี้ แต่คนคนเดียวจะมากอบกู้สถานการณ์ของบริษัทย่อยได้ง่ายๆ หรือยังไง’
“ไม่ต้องหรอกครับ”
หลินเยวียนปฏิเสธไปตามตน
เขาไม่ชอบพิธีต้อนรับอะไรเทือกนี้ ในตอนนี้เขามีปัญหาที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่า “ที่พักของผมจัดไว้ยังไงเหรอครับ ห่างจากวิทยาลัยศิลปะฉีโจวไกลไหม ไปเรียนสะดวกหรือเปล่าครับ”
กู้ตง “…”
หัวใจของเธอรู้สึกขมขื่นเสียยิ่งกว่าเดิม
ตัวแทนคนนี้เป็นแค่นักศึกษาคนหนึ่ง ตอนที่สำนักงานใหญ่ส่งคนมาได้แจ้งเอาไว้ชัดเจนแล้ว โจวรุ่ยหมิงก็โทรศัพท์มาเน้นย้ำด้วยตนเอง ‘ภารกิจหลักที่เซี่ยนอวี๋มาฉีโจวก็คือเรียนหนังสือ เขาไปในฐานะนักศึกษาแลกเปลี่ยนจากวิทยาลัยศิลปะฉินโจว’
ความหมายโดยนัยนั้นชัดเจน
อย่ามอบหมายงานให้เซี่ยนอวี๋มากเกินไป
เมื่อตั้งสติได้ กู้ตงก็เค้นรอยยิ้มพูดว่า “ที่พักของคุณไกลจากบริษัทนิดหน่อย แต่ใกล้กับวิทยาลัยมาก
นี่เป็นเรื่องที่ทางสำนักงานใหญ่กำชับมาเป็นพิเศษ ฉันช่วยเช่าห้องให้คุณแล้ว ค่าเช่าทางเราจะรับผิดชอบเอง”
“ขอบคุณครับ”
หลินเยวียนวางใจแล้ว
ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ด้านนอกประตูก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้น เนื้อหาโดยละเอียดฟังไม่ชัดเจน จากในห้องทำงานของหลินเยวียนสามารถฟังได้คร่าวๆ “ถ้าบริษัทของพวกคุณทำงานนี้ไม่ไหวก็ส่งให้สำนักงานใหญ่ ก่อนหน้านี้เซ็นสัญญากับพวกคุณก็เห็นแก่สำนักงานใหญ่ของสตาร์ไลท์ พวกคุณเองก็รับปากกับเราแล้ว…”
เสียงนี้ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
หลินเยวียนได้ยินเสียงของชายวัยกลางคนกล่าวขอโทษขอโพย “ทางพวกเรากำลังจะส่งเพลงไปให้คุณอยู่หลายเพลง ต้องทำให้คุณพึงพอใจได้แน่นอนครับ ก่อนหน้านี้พวกเราก็ร่วมงานกันอย่างราบรื่นใช่มั้ยล่ะครับ เราให้ความสำคัญกับออเดอร์ของบริษัทคุณมาก…”
พูดยังไม่ทันจบ
ผู้ชายซึ่งสวมสูทสามสี่คนก็เดินผ่านห้องทำงานของหลินเยวียน เมื่อเห็นว่าหน้าประตูห้องทำงานมีป้ายติดไว้ก็ชะงักฝีเท้าลง “สำนักงานใหญ่ที่ฉินโจวส่งตัวแทนมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ ไม่เห็นบอกพวกผมสักคำ”
…………………………………………………………………
[1] ฟางช่วยชีวิต หมายถึงความหวังสุดท้าย