บทที่ 119 ย้ายเข้าเมืองหลวง

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

พี่เขยตัวแสบปกติสอบได้ที่รองโหล่ของชั้นมิใช่รึ สอบได้ที่หนึ่งคงไม่ง่ายเลย จิ้งคงคิดไว้แล้วว่าพอกลับบ้านไป เขาจะเอ่ยชมพี่เขยตัวแสบเสียหน่อย

พอกลับไปถึงบ้าน พบว่ามีคนมากมายเข้ามาแสดงความยินดีกับเซียวลิ่วหลัง!

ดูสิ เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ไม่ผิด พี่เขยตัวแสบปกติก็ไม่ได้เรียนเก่งอะไร พอได้ที่หนึ่งปุ๊บ ไม่แปลกที่จะรู้สึกเหนือความคาดหมาย!

จิ้งคงผู้ไม่รู้เรื่องว่าการเป็นเจี้ยหยวนมีมูลค่ามากเพียงใดนั้นตัดสินใจเก็บคำชมไว้ไม่บอกเขาจะดีกว่า

หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันแล้ว เสี่ยวจิ้งคงเดินเข้าไปหาเซียวลิ่วหลังที่กำลังยืนเก็บของอยู่ในห้อง

พอเห็นเด็กน้อยเดินเข้ามา ทำท่าเอามือพาดหลังราวกับผู้ใหญ่ ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยทัก “มีเรื่องจะพูดกับข้ารึ”

“อืม” จิ้งคงพยักหน้า เอามือประสานไว้ด้านหลังราวกับอาจารย์หน้าชั้นเรียน แม้แต่น้ำเสียงที่พูดออกมาก็เหมือนด้วย “เจ้าคงฟังคำชมมาเยอะแล้ว งั้นข้าก็คงไม่ต้องพูดเยอะ เจ้าอย่าได้เหลิงกับคำพูดพวกนั้นไปล่ะ เจ้าต้องรู้จักถ่อมตัว ต้องขยันให้มากขึ้น ไม่เช่นนั้นครั้งหน้าหากเจ้าสอบไม่ได้อันดับหนึ่งละก็คนเขาจะหัวเราะเยาะเจ้านะ!”

“ใครจะมาหัวเราะเยาะข้า เจ้ารึ”

จิ้งคงเบะปาก “ข้าไม่ใช่คนน่าเบื่อแบบนั้นสักหน่อย! ถ้าเจ้าสอบไม่ได้ที่หนึ่ง เจ้าก็ดูแลครอบครัวไม่ได้ แล้วข้าก็ยังไม่โตด้วย!”

“ไหนเจ้าเคยบอกไงว่าสอบได้หรือไม่ได้ก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย” เซียวลิ่วหลังเอ่ยกับจิ้งคงอย่างทีเล่นทีจริง

จิ้งคงพอได้ยินดังนั้นก็ชะงักไป

“นึกออกแล้วล่ะสิ” เซียวลิ่วหลังหัวเรา

“ไม่ใช่หรอก เจ้าจำผิดแล้ว! ข้าไม่เคยพูดอะไรแบบนั้นมาก่อน!” จิ้งคงงัดไม้ตายเด็กน้อยออกมาใช้ นั่นก็คือ ตีเนียน!

วิธีนี้เขาได้เรียนรู้มาจากตอนที่อยู่ในห้องเรียน โดยมีเพื่อนนักเรียนโต๊ะข้างๆ เป็นคนสอนเขาเอง!

เสี่ยวจิ้งคงไม่รอช้า รีบพุ่งตัวไปหากู้เจียวในทันควัน!

พอถึงเวลาข้าวเย็น กู้เจียวเริ่มเปิดประเด็นเรื่องที่เซียวลิ่วหลังจะได้ไปกั๋วจื่อเจียน

“เจ้าไม่ไปด้วยรึ” หญิงชราเอ่ยถาม

กู้เจียวทำหน้านิ่ง พลางตอบ “ทำไมข้าต้องไป ข้าอ่านหนังสือไม่ออก แล้วข้าก็ไม่ได้อยากไปเมืองหลวงด้วย ไม่อยากไป!”

ทุกคนมองมาทางกู้เจียวด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ หึๆๆ แล้วใครหน้าไหนที่คืนก่อนยังร้องไห้วอแวว่าอยากไปเมืองหลวงใจจะขาด

ทุกคนในเรือนต้องพึ่งพากู้เจียว นางไม่อยู่วันสองวันยังพอให้เซวียหนิงเซียงมาช่วยได้ แต่หากนานกว่านั้นมีหวังได้อดตายกันหมดแน่

ดังนั้น ทุกคนจึงตัดสินใจว่า จะเดินทางไปเมืองหลวงด้วยกัน

“แต่ว่า จะไหวรึถ้าให้คนนำทางคนเดียวพาพวกเราทั้งหมดนี่ไปเมืองหลวง” กู้เจียวไม่อยากให้ใครคลาดสายตาไปแม้แต่คนเดียว

“ไม่พอหรอก” เซียวลิ่วหลังเอ่ย “แต่พวกเรายังมีเฝิงหลินนี่ ให้เขาเดินทางไปกับพวกเราด้วยน่าจะพอไหว”

ผู้ดูแลหลิวคงนึกว่าตัวเองวางแผนมาดีแล้ว กระนั้นก็ยังช้ากว่าเซียวลิ่วหลังไปก้าวหนึ่งอยู่ดี ถ้าไม่คิดจ้องเล่นงานเซียวลิ่วหลังแต่แรก เขาคงไม่รู้สึกสะใจขนาดนี้หรอก

กั๋วจื่อเจียนจะเปิดเรียนในช่วงปลายเดือนสิบ ตอนนี้ก็เดือนเก้าแล้ว พวกเขาต้องเร่งมือเพื่อไปให้ทัน

กู้เจียวไหว้วานให้อากรหลัวช่วยดูแลเรื่องพื้นที่เพาะปลูกบนภูเขา แม้เขาจะเรียนไม่สูง แต่ก็พออ่านหนังสือออก แถมลูกชายของเขาสอบถงเซิงได้แล้ว แปลนและเอกสารต่างๆ ที่กู้เจียวฝากไว้เขาน่าจะพออ่านรู้เรื่องบ้าง

ส่วนข้าวของที่ทิ้งไว้ในเรือน ก็ไม่ได้มีอะไรต้องห่วงมาก เซวียหนิงเซียงรับปากไว้แล้วว่าจะช่วยดูเรือนให้ระหว่างที่พวกเขาไม่อยู่

“ลุงรองของข้าอยู่ที่เมืองหลวง ฝากไปแวะไปเยี่ยมเยียนเขาด้วยล่ะ จะได้เอาของไปให้เขาด้วย!”

“ได้เลย”

กู้เจียวรับปาก

เซียวลิ่วหลังเดินทางไปยังสำนักบัณฑิตและโรงเรียนเอกชนเพื่อทำเรื่องลาออก

กู้เหยี่ยนไม่ชอบเรียนหนังสือ เลยรู้สึกโล่งใจมากที่ได้มายื่นลาออก!

ส่วนกู้เสี่ยวซุ่น ที่เขายอมเรียนหนังสือก็เพราะจะได้เอาศัพท์มาใช้ในการแกะสลักเท่านั้น แต่ที่จริงเขาเรียนเรื่องพวกนี้กับจิ้งคงก็ได้

ตัดภาพมาที่จิ้งคง ระดับสติปัญญาของเขาสูงเกินจนไม่มีชั้นเรียนไหนรองรับได้แล้ว ถึงขั้นว่าสามารถเข้าชั้นเรียนสำหรับเคอจวี่ได้เลย

ที่จริง กั๋วจื่อเจียนเองก็มีชั้นเรียนสำหรับชั้นปฐมวัยเช่นกัน เต็มไปด้วยบัณฑิตตัวน้อยๆ ที่ล้วนแต่เป็นระดับหัวกะทิของแคว้นเจา เซียวลิ่วหลังมองว่าจิ้งคงน่าจะเหมาะกับที่นั่นมากกว่า

จากนั้นเซียวลิ่วหลังได้เข้าไปทักทายเจ้าสำนักหลี

เจ้าสำนักหลีรอคอยวันนี้มาตลอด แต่เอาเข้าจริง ก็เกิดรู้สึกเสียดายขึ้นมาที่ศิษย์เอกของเขากำลังจะจากไป

เขาถอนหายใจยาว พลางเอ่ย “เอาละ ไม่ว่าอยู่ที่ไหน เจ้าก็จะเป็นศิษย์เอกของข้าตลอดไป”

เซียวลิ่วหลังครั้นจะพูดอะไรต่อ แต่ก็คิดว่าไม่พูดดีกว่า

ศิษย์เอกอะไรกัน ท่านอย่าได้หวังไปเลย

“จะว่าไปแล้ว เดิมทีข้ามีศิษย์น้องอยู่ที่เมืองหลวงคนหนึ่ง” เจ้าสำนักหลีจู่ๆ ก็โพล่งขึ้น “น่าเสียดาย ยังไม่ทันจะได้เจอหน้ากันเลย ดันด่วนจากไปเสียก่อน”

เซียวลิ่วหลังหันไปเหล่มองเจ้าสำนักปราดนึง ก่อนจะ

ฮัดเช้ย!

กู้เจียวพาจิ้งคงเดินทางไปที่วัด

เพื่อจะให้เขาได้ร่ำลากับเจ้าอาวาสและผองเพื่อนเณรน้อยทั้งหลาย

แต่ว่า พวกเขาไม่เจอเจ้าอาวาสที่นั่น

เสี่ยวจิ้งคงชินแล้ว เพราะนานน้านที ท่านเจ้าอาวาสจะกลับมาที่วัด

“เจ้าก็จะเดินทางไกลด้วยเหมือนกันรึ” เณรน้อยจิ้งฝานเอ่ยถามขึ้น

เณรน้อยสี่รูปกำลังนั่งกินลูกชิ้นมังสวิรัติที่กู้เจียวทำมาให้

จิ้งคงกัดลูกชิ้นไปหนึ่งคำ ก่อนจะเอ่ยตอบ “ใช่แล้ว พี่เขยตัวแสบได้เข้าไปเรียนต่อที่กั๋วจื่อเจียน พวกเราก็เลยต้องยกโขยงไปเมืองหลวงกันทั้งหมด ว่าแต่ เหตุใดเจ้าถึงถามว่าเดินทางไกลด้วยเหมือนกัน เหมือนกันที่ว่านี้หมายถึงใคร”

จิ้งฝานหัวเราะคิกคัก “ก็เพราะพวกเราจะเดินทางไกลเหมือนกันน่ะสิ! ท่านเจ้าอาวาสจะพาพวกเราไปงานปาฐกธรรมใหญ่ล่ะ!”

“อ้อ” จิ้งคงพอได้ยินดังนั้นก็รู้สึกตื่นเต้นอยากไปร่วมด้วยบ้าง แต่นี่ก็เป็นผลที่ตามมาจากการที่เขาไม่ได้อยู่ที่วัด ในเมื่อเขาเลือกอยู่กับเจียวเจียวแล้ว ก็ย่อมไม่ได้มีส่วนกับเรื่องพวกนี้อีก

และแน่นอนว่า สำหรับจิ้งคงแล้ว เจียวเจียวสำคัญที่สุด!

กู้เจียวทำอาหารมาให้พวกเขาเยอะเลย ทั้งลูกชิ้นมังสวิรัติ เป็ดย่างมังสวิรัติ ขาหมูมังสวิรัติ แถมยังมีขนมกุ้ยฮวาจากร้านหลี่จี้อีกด้วย

เณรน้อยทั้งสี่กินข้าวกันอย่างอิ่มหมีพีมัน

กู้เจียวเองก็ไปที่โรงหมอเพื่ออำลาเถ้าแก่รอง แต่ผิดคาด เถ้าแก่รองไม่อยู่ที่นั่น ผู้ดูแลหวังบอกกับนางว่าที่บ้านของเถ้าแก่รองเกิดเรื่องขึ้น เลยกลับไปที่เมืองหลวงแล้ว

ถ้าเช่นนั้น นางอาจได้เจอเขาที่เมืองหลวงสินะ

จากนั้นกู้เจียวไปที่เรือนของเจ้าสำนักหลี นำของป่ากับขนมเซียงจาไปฝากฮูหยินหลี แม้ฮูหยินหลีจะยังมีอาการบ้านหมุนอยู่ แต่สีหน้าของนางถือว่าดูดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนเลยทีเดียว

บ่าวของฮูหยินบอกว่า ทุกเช้านางจะตื่นมาแล้วพูดว่าดีใจที่มีหลานแล้ว!

ตัดภาพมาที่หมู่บ้านเวินเฉวียน

ท่านโหวกู้ใช้เวลารักษาแผลที่ใบหน้าอยู่นาน พอเริ่มดีขึ้น ก็รีบไปหาแม่นางเหยาที่เรือน

แม่นางเหยากำลังสั่งให้บ่าวช่วยเก็บกระเป๋า

ท่านโหวกู้ตกใจกับภาพที่เห็น “ฮูหยิน จะทำอะไรน่ะ ไม่อยู่ที่นี่แล้วหรือ”

“ใช่แล้ว ข้าจะไป” แม่นางเหยาพยักหน้า

“ข้าผิดไปแล้ว! ข้าสัญญาว่าจะไม่กลั่นแกล้งนางอีก! ข้าจะไม่พยายามไปแทรกแซงพวกเขาอีก! เจ้าอย่าโกรธข้าเลย!”

คราวนี้เป็นฝ่ายแม่นางเหยาที่เริ่มร้อนรน “ท่านโหวว่าอย่างไรนะ ท่านแกล้งใคร เจียวเจียวรึ อย่าบอกนะว่าท่าน…ไปขู่ให้พวกเขาแยกทางกันอีกแล้วสินะ”

ท่านโหวกู้ถึงกับพูดไม่ออก

“ท่านโหว!” แม่นางเหยาเริ่มกำหมัด

“ข้าเปล่าเสียหน่อย! ก็แค่คิดไว้เฉยๆ น่ะ!”

“ท่าน ยังกล้าที่จะคิดอีกรึ”

ท่านโหวกู้ส่ายหัวรัวๆ จนแก้มเหี่ยวๆ ของเขากระเพรื่อมตาม “ข้า…ไม่เอาแล้ว ข้าไม่ทำแล้ว ข้าจะเชื่อฟังเจ้า เจ้าอย่าไปเลย!”

แม่นางเหยาพยายามทำใจให้นิ่ง พลางเอ่ย “ถ้าข้าไม่ออกไป แล้วจะกลับเมืองหลวงยังไง”

“เอ๋ เจ้าจะกลับเมืองหลวงแล้วรึ แล้วเหยี่ยนเอ๋อร์กับ…เอ่อ กับเจียวเจียวล่ะ”

แม่นางเหยาเอาแต่อมยิ้มไม่พูดอะไร

แม่นมฝางที่ยืนอยู่ด้านข้างจึงให้ความกระจ่าง “ท่านโหวยังไม่รู้สินะเจ้าคะ ลูกเขยของท่านสอบได้ที่หนึ่ง ได้เป็นเจี้ยหยวน กำลังจะไปเรียนต่อที่กั๋วจื่อเจียนแล้ว นายน้อยกับคุณหนูเลยต้องย้ายไปที่เมืองหลวงด้วยเจ้าค่ะ”

นี่เขาไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม เจ้าหนุ่มขาเป๋นั่น สอบได้เจี้ยหยวนงั้นรึ

แต่ก่อนเขายังเคยสบประมาทเซียวลิ่วหลังอยู่เลยว่าเป็นเด็กไร้อนาคต เผลอแปปเดียว ดันได้เป็นเจี้ยหยวนเสียแล้ว

นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย

ท่านโหวกู้ทำท่าเบะปากมองบน พลางนึกในใจ ชิ ก็แค่เจี้ยหยวนเท่านั้นแหละ ในแคว้นเจามีคนอีกตั้งมากมายที่ได้เป็นเจี้ยหยวน และแน่นอนว่าเจ้าขาเป๋นั่นคงเป็นเจี้ยหยวนที่อ่อนหัดที่สุดในบรรดาเจี้ยหยวนทั้งหมด!

แต่กระนั้นแล้ว นี่ก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน

เพราะถ้าเขายังไม่กลับเมืองหลวงอีกล่ะก็คงได้รู้สึกผิดต่อกู้จิ่นอวี้เป็นแน่แท้!

พอกู้จิ่นอวี้รู้เรื่องที่แม่นางเหยาจะกลับเมืองหลวง ก็ดีใจจนเนื้อเต้นรีบเก็บข้าวของจัดกระเป๋าเตรียมย้ายสำมะโนครัว

แต่หลังจากนั้น พอกู้จิ่นอวี้รู้เข้าว่าเหตุผลคือกู้เหยี่ยนกับกู้เจียว…

ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมา

แม้แม่นางเหยาปากบอกว่ายังคงรักนางเหมือนเดิม แต่นางรู้อยู่เต็มอกว่าคนที่แม่นางเหยารักมากที่สุด ก็คือลูกในไส้ของนาง

“อ้อ จริงด้วย” ท่านโหวกู้นึกขึ้นได้ว่าลูกชายตระกูลกู้ปีนี้ก็เข้าสอบระดับมณฑลด้วยเหมือนกัน

เอ เขาชื่อว่าอะไรนะ กู้ กู้ซุ่นเฟิง ไม่สิ กู้เฟิงจื่อ ไม่สิ

อ้อ กู้ต้าซุ่น!

“กู้ต้าซุ่นสอบได้ไหม”

แม่นางเหยาไปดูรายชื่อที่ศาลาว่าการด้วยตัวเอง นางจำรายชื่อเหล่านั้นได้แม่น แน่นอนว่าไม่มีชื่อของกู้ต้าซุ่นบนนั้น

แม่นมฝางหัวเราะแห้งๆ พลางเอ่ย “นายท่านพูดถึงลูกชายบ้านนั้นรึ ข้าน้อยได้ยินมาว่าเขาไปสอบก็จริง แต่เหมือนจะตกรอบไปตั้งแต่จวี่เหรินแล้วนะเจ้าคะ! เทียบลูกเขยของท่านไม่ติดฝุ่นหรอกเจ้าค่ะ! โบราณกล่าวไว้ หว่านอะไรก็ได้พืชผลตามนั้น! ตระกูลนั้นแทบไม่มีอะไรดีเหลือเลยนอกจากคุณชายกู้ซานหลังที่ตายไปแล้ว ริอาจคิดใฝ่สูง หึ! ชาติหน้าตอนบ่ายๆ นู่น! “

แม่นมฝางก็พูดแรงเกินไป ต่อหน้าเจ้านาย นางไม่สมควรจะเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมา แต่คนของตระกูลกู้เคยทำเจ็บแสบไว้กับกู้เจียวมาเยอะ แม้แต่แม่นางเหยาเองก็เห็นด้วยกับที่แม่นมฝางพูดมาทั้งหมด

แม้ท่านโหวกู้จะไม่เห็นงามที่แม่นมฝางเอ่ยยอเจ้าขาเป๋ แต่ประโยคที่เหลือเขาเองก็เห็นด้วย คนพวกนั้นทำกันเกินไปจริงๆ

ท่านโหวกู้ไม่ได้มองว่ากู้จิ่นอวี้เป็นคนของพวกนั้น เลยไม่ได้มองว่ากำลังด่าต้นตระกูลของนางแต่อย่างใด

แม่นมฝางเองก็ไม่ได้หมายความเช่นนั้น

ทว่า คนพูดดันไม่คิด คนคิดดันไม่พูดนี่สิ

กู้จิ่นอวี้พอได้ยินดังนั้น ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง นางรู้สึกอับอายเสียยิ่งกว่าตอนโดนกู้เจียวตบหน้าเสียอีก

สุดท้ายกู้จิ่นอวี้ขอปลีกตัวเดินกลับไปที่ห้องพร้อมกับดวงตาอันแดงก่ำ

“แม่นม วันหลังอย่าพูดจาแบบนี้อีก กู้จิ่นอวี้เป็นเด็กอ่อนไหวง่าย เกรงว่านางจะคิดมากเกินไป”

“เจ้าค่ะ ฮูหยิน” แม่นมฝางโค้งตัวรับปาก

แม่นางเหยามองดูชุดที่เตรียมไว้สามชุด นางเย็บเองกับมือ ตั้งแต่ที่นางได้เจอกับเจียวเจียว ก็ดันทิ้งจิ่นอวี้ไว้ข้างหลัง

ชุดสามชุดที่ว่า แม่นางเหยาเตรียมจะมอบให้จิ่นอวี้

แม่นางเหยารู้อยู่แล้วว่าพวกกู้เจียวคงไม่ยอมเดินทางไปกับนาง ก็เลยเตรียมรถม้าดีๆ ไว้ให้พวกเขาแทน

ท่านโหวกู้มองว่าก็ดีเหมือนกัน เพราะกู้เหยี่ยนเป็นเด็กไม่ทนลมทนแดด ให้เขานั่งรถม้าดีๆ เวลาเดินทางจะได้ไม่กระทบกระเทือนร่างกายของเขามาก

ส่วนกู้จิ่นอวี้ที่นั่งอยู่บนรถม้าที่เอาแต่สั่นโคลงไปมา ยิ่งรู้สึกตัวเองไร้ค่าเข้าไปทุกที

แม่นางเหยาให้รถม้าชั้นดีกับกู้เจียว ในขณะที่ตัวเองได้แค่ชุดสามชุดเนี่ยนะ!

กู้จิ่นอวี้มองออกไปนอกหน้าต่าง พลางนึกคิดตนช่างอับโชคนัก

และในวันที่ท้องฟ้าสดใส กู้เจียว เซียวลิ่วหลัง และคนอื่นๆ ก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวง เทพสวรรค์ช่างเป็นใจยิ่งนัก พวกเขาใช้เวลาเดือนกว่าก็เดินทางมาถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัย

ส่วนเฝิงหลินไม่ได้ออกเดินทางกับพวกเขา แต่เลือกกลับไปที่บ้านเกิดก่อน แล้วค่อยตามมาโดยใช้ทางเรือ

เซียวลิ่วหลังยื่นเอกสารเข้าเรียนของกั๋วจื่อเจียนเพื่อผ่านเข้าประตูเมือง เซียวลิ่วหลังใช้เอกสารของเฝิงหลินพาจิ้งคงและหญิงชราเข้าเมือง

เอกสารเข้าเมืองของบัณฑิตต่างจากเอกสารทั่วไป พวกเขาสามารถพาสมาชิกในบ้านเข้ามาได้สองคนต่อหนึ่งใบ กู้เจียวและกู้เสี่ยวซุ่นใช้เอกสารของเซียวลิ่วหลังเข้าเมือง

ส่วนกู้เหยี่ยนและสารถีเป็นคนเมืองหลวงอยู่แล้ว จึงไม่ต้องใช้เอกสาร

พวกเขาเดินทางมาถึงที่เมืองหลวงตอนเช้าตรู่ เลยแวะที่จุดพักม้าเพื่อให้อาหารม้า อีกทั้งแวะพักเพื่อสำรวจลาดเลาเรื่องที่พักด้วย

ระหว่างทาง พวกเขาปรึกษากันแล้วว่าจะพักแถวๆ กั๋วจื่อเจียน จะได้เดินทางสะดวก

เงินติดตัวของพวกเขาเหลืออยู่หนึ่งพันตำลึง เงินจำนวนนี้ใช้ซื้อที่อยู่อาศัยดีๆ ในตำบลได้เลย แต่สำหรับเมืองหลวงนั้น เงินเท่านี้ยังไม่เพียงพอ

พวกเขาจึงตัดสินใจเช่าบ้านพักไปก่อน

โชคดีที่พวกเขาบังเอิญเจอหยาเป่าที่จุดพักรถพอดี

หยาเป่า หรือที่ชาติก่อนของกู้เจียวเรียกว่านายหน้า ซึ่งพวกเขาเป็นนายหน้าที่ถูกกฎหมาย เป็นตัวกลางในการซื้อขายต่างๆ

นายหน้าคนนี้ที่พวกเขาเจอมาจากตระกูลจาง อายุราวๆ สามสิบปี

นายหน้าจางพอรู้ว่าพวกเขามาเข้าเรียนที่กั๋วจื่อเจียน ก็รีบยกมือคำนับแสดงความยินดี “ที่แท้ก็เป็นบัณฑิตของกั๋วจื่อเจียนนี่เอง ข้ายินดีอย่างยิ่งที่จะเป็นธุระให้ท่าน! โปรดวางใจเถิด พวกเจ้าถูกใจที่ไหน ข้าต่อรองจนกว่าจะได้ราคาที่ดีที่สุดให้พวกท่าน!”

กู้เจียวยังไม่คุ้นเคยกับเมืองหลวงดี

เซียวลิ่วหลังอธิบายให้กู้เจียวฟังว่ากั๋วจื่อเจียนตั้งอยู่บนถนนฉางอันตัดกับถนนเสวียนอู่บริเวณทิศตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ถนนบริเวณนั้นเป็นย่านการค้า ค่อนข้างวุ่นวาย

นายหน้าจางเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย “บัณฑิตผู้นี้ดูจะคุ้นเคยกับเมืองหลวงเป็นอย่างดีสินะ”