บทที่ 120 เศรษฐีจิ้งคง

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

กู้เจียวปรายตามองเซียวลิ่วหลัง

จู่ๆ เขาก็รีบแก้ต่าง “ข้าเคยได้ยินเจ้าสำนักพูดถึงน่ะ”

“เจ้าสำนักของเขาเคยอยู่ในเมืองหลวงมาสิบกว่าปีน่ะ” กู้เจียวเอ่ยกับนายหน้าจาง

“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง”

กู้เจียวเอ่ยต่อ “ว่าแต่ มีบ้านพักบริเวณนั้นให้เช่าหรือไม่”

“เอ่อ…มีขอรับ แต่ว่า…” นายหน้าจางปราดตามองหนุ่มสาวคู่นี้ตั้งแต่หัวจรดเท้า คนหนึ่งแม้จะเป็นบัณฑิตกั๋วจื่อเจียนก็จริงแต่ขาเป๋ ส่วนอีกคนดูมาดดีแต่บนหน้ามีรอยปานแดง

ดูเหมือนว่าพวกเขา…จะไม่ค่อยมีเงินเท่าไหร่

นายหน้าจางหัวเราะ พลางเอ่ย “พวกท่านอยากได้เรือนทางเข้าทางเดียว หรือทางเข้าสองทางล่ะ”

กู้เจียวครุ่นคิดสักพัก แล้วบอกความต้องการให้นายหน้าฟัง “อย่างน้อยต้องมีห้าห้องนอน”

“ถ้าเช่นนั้น คงต้องหาเรือนไม่สองก็สามทางเข้าแล้วล่ะท่าน” นายหน้าจางเอ่ยต่อ พลางหัวเราะ “เรือนสองทางเข้าอย่างต่ำก็ต้องจ่ายสิบตำลึงต่อเดือน ส่วนเรือนสามทางเข้าต้องจ่ายยี่สิบตำลึงต่อเดือน”

เงินสิบตำลึงสามารถเลี้ยงพวกเขาให้กินอิ่มได้ปีสองปีเลยนะนั่น

แต่เพราะที่นี่ก็คือเมืองหลวงนี่นา

กู้เจียวจึงตกลงขอนายหน้าเข้าไปชมสถานที่

ดูๆ แล้วพวกเขาก็ไม่น่าจะมีเงินเยอะขนาดนั้น นายหน้าจางกลัวว่าตัวเองจะไปเสียเที่ยว แม้เขาจะเป็นถึงบัณฑิตของกั๋วจื่อเจียนก็ตาม แต่ในเมืองหลวงแห่งนี้มีคนตั้งมากมายที่เป็นบัณฑิตเหมือนกันกับเขา หากเทียบให้เห็นภาพ สมมติมีระเบิดลงที่เมืองหลวง ก็คงไม่แปลกหากมีบัณฑิตไม่ก็ข้าราชสำนักตายไปครึ่งแคว้น สรุปก็คือ นายหน้าจางไม่ได้มองว่าพวกเขาเป็นลูกค้าคนสำคัญเท่าใดนัก

แต่จะว่าไปแล้ว นายหน้าจางก็ไม่ได้มีงานเข้ามาหลายวันแล้ว เลยจำใจต้องพาพวกเขาไปชมเรือน

กู้เจียวกับเซียวลิ่วหลังเข้าไปชมเรือนสิบกว่าหลัง ทั้งเรือนแบบทางเข้าสองทาง และสามทาง แต่กระนั้น พวกเขาก็ยังไม่เจอเรือนที่ถูกใจเสียที

เลยตัดสินใจกลับไปตั้งหลักที่จุดพักม้า

นายหน้าจางเข้ามาถามพวกเขา “ท่านทั้งสองจะจองวันนี้เลยไหมขอรับ หากช้าไปกว่านี้ เกรงว่าจะไม่เหลือเรือนดีๆ ไว้เช่าแล้ว มิหนำซ้ำ อาจไม่ใช่ราคานี้ด้วยขอรับ”

“แต่ละหลังที่ไปดูมา ทั้งเล็ก ทั้งอยู่ไกล” กู้เจียวเอ่ยตอบ

ปากบอกว่าอยู่แถวกั๋วจื่อเจียนก็จริง แต่เรือนที่เขาพาไปดูนั้นกลับอยู่ห่างออกไปตรงสุดถนน แถมยังเดินเข้าไปในตรอกลึกอีก ในนั้นทั้งอับทั้งชื้นก็ว่าแย่แล้ว สภาพแวดล้อมรอบๆ มีแต่ความแออัด เต็มไปด้วยโรงเหล็ก โรงไม้ แถมยังมีโกดังโลงศพอีกด้วย

ช่างไม่เอื้ออำนวยแก่การเรียนเอาเสียเลย

“ราคาที่พวกท่านเสนอมามีแต่เรือนสภาพแบบนั้นแหละขอรับ หากพวกท่านต้องการดีกว่านี้ ก็คงต้องเพิ่มอีกขอรับ” นายหน้าจางเอ่ยพลางทำมือนับเลข

“สามสิบตำลึงงั้นรึ” กู้เจียวถาม

“ได้แค่เรือนทางเข้าทางเดียวขอรับ”

เงินตั้งสามสิบตำลึงกลับเช่าได้แค่เรือนเล็กๆ เท่านั้น เรือนที่ขนาดใหญ่กว่านี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง อย่างที่เขาว่าไว้ไม่มีผิด ไม่ว่าจะยุคไหน ค่าเช่าที่บริเวณรอบๆ สถานศึกษาล้วนราคาสูงทั้งสิ้น

“เฮ้อ” นายหน้าจางถอนหายใจ “เอาละ ข้าขอพูดตรงๆ กับพวกท่านนะ ราคาที่ในเมืองหลวงก็ประมาณนี้ทั้งนั้น บ้านเรือนดีๆ ที่ดินดีๆ น่ะถูกพวกคนรวยกว้านซื้อไปหมดแล้ว แน่นอนว่าพวกเขาต้องเก็บที่ไว้ ไม่ยอมปล่อยเช่าง่ายๆ หรอก! ต่อให้พวกท่านเปลี่ยนนายหน้าร้อยคน ราคาที่พวกท่านจะได้ไปก็ต่างกันไม่มากหรอก”

กู้เจียวถามต่อ “ไหนท่านบอกว่ามีเรือนดีๆ อยู่ไง แต่ต้องเพิ่มเงินใช่หรือไหม”

นายหน้าจางเอ่ย พลางหัวเราะ “มีเรือนสามทางเข้า ค่าเช่าร้อยตำลึงต่อเดือน”

“ทำไมถึงขึ้นไปสูงขนาดนั้นล่ะ” กู้เจียวขมวดคิ้วสงสัย

นายหน้าจางอธิบายพลางยกมือประกอบ “เรือนนั้นตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องกับกั๋วจื่อเจียน เดินแค่ห้าร้อยก้าวก็ถึง! เป็นเรือนที่ท่านโหวน้อยแห่งแคว้นเจาเคยพักอาศัยมาก่อน!”

เซียวลิ่วหลังพอได้ยินดังนั้นก็เริ่มยกมุมปาก “เขาเคยพักที่นั่นเสียเมื่อไหร่กัน”

นายหน้าจางเอ่ยอย่างมั่นใจพลางทุบโต๊ะเบาๆ “แต่เขาเคยอยู่ที่นั่นจริงๆ นะ! พวกท่านไปอยู่อาจเรียนเก่งขึ้นก็เป็นได้!”

“เขาไม่เคยพักที่นั่นสักหน่อย” เซียวลิ่วหลังบ่นอุบอิบ

“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่เคยพักที่นั่น ท่านไม่ใช่เขาสักหน่อย!”

“แต่ราคาที่ท่านบอกมามันสูงเกินไป อย่างดีก็สามสิบตำลึง” เซียวลิ่วหลังเอ่ยตอบ

นายหน้าจางรู้ตัวว่าตนเสนอราคาสูงเกินไป หากเป็นสมัยก่อนสามสิบตำลึงยังพอปล่อยเช่าได้ แต่ในเมื่อกั๋วจื่อเจียนจะกลับมาเปิดอีกครั้ง ทำให้ค่าที่บริเวณรอบๆ เริ่มสูงขึ้น

เขาคำนวณไว้แล้วว่าอย่างต่ำก็ต้องได้ห้าสิบตำลึง หากพวกเขาไม่ยอม เขาก็จะไปหาลูกค้ารายอื่น เขาไม่เชื่อหรอกว่าบริเวณนั้นจะขายไม่ออก

“เจียวเจียว ทำอะไรกันอยู่รึ” จิ้งคงที่เพิ่งตื่นนอนเดินขยี้ตาเข้ามาในวงสนทนา

กู้เจียวอุ้มเขาขึ้นมา แล้วนวดขมับให้เขา กู้เจียวสังเกตเห็นว่าผมของจิ้งคงเริ่มยาวขึ้นแล้ว ไม่ได้เป็นหัวลูกชิ้นแบบเมื่อก่อนแล้ว

“กำลังหาบ้านอยู่น่ะสิ” กู้เจียวตอบ “หลับสบายไหม”

“อือ ข้านอนอิ่มแล้วล่ะ แล้วพวกเราจะได้พักที่ไหนรึ” จิ้งคงเอนตัวพิงอกกู้เจียว เพลิดเพลินกับการให้กู้เจียวลูบหัวของเขา

“ยังไม่รู้เลย”

จิ้งคงน้อยชี้ไปที่กระดาษเอกสารที่อยู่บนโต๊ะ แล้วเอ่ยถาม “นั่นอะไรรึ”

นายหน้าจางยิ้มให้เขา “โฉนดที่ดินยังไงล่ะ”

เขาเกรงว่าเด็กน้อยจะทำโฉนดที่ดินเสียหาย เลยรีบคว้ามาเก็บไว้กับตัว

“ข้าเองก็มีเอกสารแบบนี้เหมือนกัน”

ทั้งสามคนทำหน้าตะลึง

จากนั้นจิ้งคงวิ่งไปที่รถม้า เปิดกล่องสัมภาระของตัวเองแล้วหยิบหีบเล็กออกมา จากนั้นวิ่งกลับมาแล้ววางหีบนั้นลงบนโต๊ะ

โต๊ะนั่นสูงเกินไป จิ้งคงยกหีบขึ้นไปวางได้ก็จริง แต่เขาตัวเตี้ยเกินกว่าจะเปิดหีบนั้นออกได้

“มา ข้าช่วย” กู้เจียวเอ่ย

กู้เจียวเคยเห็นหีบนี้มาก่อนตอนที่นางกำลังทำความสะอาดห้องของเขา

“ไม่! ให้เจียวเจียวเปิด!”จิ้งคงพยักหน้า

กู้เจียวกุลีกุจอเปิดหีบนั้นขึ้นมา มีตราประทับและเอกสารหลายฉบับอยู่ในนั้น และที่สำคัญ ในนั้นมีโฉนดที่ดินด้วย!

ทั้งสามคนทำหน้าตะลึงพรึงเพริด

“ไหนข้าขอดูหน่อย” เซียวลิ่วหลังเอ่ย

“อืม” กู้เจียวยื่นโฉนดที่ดินให้เขาดู

นายหน้าจางเองก็กระเถิบเข้ามาดูด้วย

คุณพระคุณเจ้า! พวกเขาแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้เห็น

โฉนดที่ดินมีทั้งเรือนที่ตั้งอยู่บนถนนฉางอัน ถนนเสวียนอู่ อีกทั้งถนนจูเชว่ด้วย!

กระเถิบไปอีกนิดก็วังหลวงแล้วนะนั่น!

“เป็นโฉนที่ดินจริงๆ ใช่ไหม” กู้เจียวเอ่ยถาม

“เป็นโฉนดที่ดินจริงๆ “ลิ่วหลังตอบ “เป็นชื่อของจิ้งคง จิ้งคงเป็นเจ้าของเรือนพวกนี้ไม่มีผิดแน่นอน”

กู้เจียวหันหน้าไปหาจิ้งคง “เจ้ามีโฉนดที่ดินพวกนี้ได้ยังไง”

จิ้งคงเอ่ยตอบพลางมองไปยังโฉนดที่อยู่ในมือเซียวลิ่วหลัง “ท่านอาจารย์มอบให้ข้าไว้น่ะ เขาจะให้เอกสารพวกนี้ไว้เป็นของขวัญวันเกิดข้าทุกปี ข้าอายุสามขวบ ก็เลยได้มาสามใบ!”

กู้เจียว “……”

เซียวลิ่วหลัง “……”

นายหน้าจาง “……”

ต่อไปนี้กู้เจียงคงมองกล่องประหลาดของจิ้งคงไม่เหมือนเดิมแล้วสินะ…

ตำแหน่งที่ตั้งในโฉนดสามใบนั้นล้วนเป็นทำเลทองทั้งสิ้น เรือนที่นายหน้าจางพูดถึงเมื่อครู่นี้ที่โม้ไว้ว่าเดินห้าร้อยก้าวก็ถึงกั๋วจื่อเจียน ที่จริงแล้วต้องเดินไปพันกว่าก้าวด้วยซ้ำ

เรือนที่อาจารย์ของจิ้งคงมอบให้เป็นของขวัญวันเกิดเขาอยู่ใกล้กั๋วจื่อเจียนกว่าตั้งหลายเท่า พอเดินออกมาจากตรอกแล้วเลี้ยวนิดเดียวก็ถึงแล้ว

นายหน้าจางนึกในใจ เกิดมาสามสิบกว่าปีก็เพิ่งจะเคยเจอกับเหตุการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรก คนพวกนี้ดูภายนอกก็ออกจะธรรมดาทั่วไป แต่ดันมีโฉนดที่ดินในเมืองหลวงตั้งสามที่ไว้ครอบครอง แถมแต่ละที่ล้วนเป็นทำเลทอง เป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าราชนิกุล ปัจจุบันที่ดินเหล่านั้นสูงลิ่วจนแทบประเมินค่าไม่ได้แล้วด้วย

พวกเขาเป็นใครมาจากไหนกันนะ

จิ้งคงไม่รู้ว่าโฉนดที่ดินคืออะไร กู้เจียวเลยอธิบายให้เขาฟังว่าเป็นของมีค่า เป็นหลักฐานที่บ่งบอกว่าเขามีบ้านเป็นของตัวเอง

พอฟังจบ เขาก็รีบคว้าโฉนดทั้งสามใบมาแล้วยื่นให้กู้เจียว “ข้ามอบให้เจียวเจียวหมดเลย!”

ที่ไหนมีเจียวเจียว ที่นั่นก็คือบ้านของเขา!

กู้เจียวไม่อาจรับของของจิ้งคงมาเพิ่มได้อีกแล้ว นางเลยเสนอว่าจะขอเช่าเรือนของจิ้งคง แล้วจะจ่ายค่าเช่าให้สามสิบตำลึงทุกเดือน

“ข้าไม่อยากได้เงินจากเจียวเจียว!” จิ้งคงทำหน้าจริงจัง

“เงินของพี่เขยเจ้าต่างหาก” กู้เจียวลูบหัวจิ้งคงพลางเอ่ย

จิ้งคงนึกในใจ เขาได้เงินจากพี่เขยตัวแสบ แล้วค่อยเอามาให้กู้เจียว ก็ย่อมได้!

พวกเขาเลยลงมือทำสัญญาเช่ากันโดยมีนายหน้าจางเป็นพยาน

จิ้งคงมีกิจการเป็นของตัวเองแล้ว เขาลงนามและลงตราประทับอย่างตั้งอกตั้งใจ

ค่านายหน้าคิดเป็นเงินร้อยละสามสิบของค่าเช่าเดือนแรก ซึ่งเท่ากับเก้าตำลึง ทั้งนี้เพื่อให้แน่ใจว่าหลังจากสิ้นสุดสัญญาเช่าตลอดชีวิต นายหน้าจางต้องมาถึงที่เพื่อยกเลิกสัญญาด้วย

เดิมจะต้องหักครึ่งนึงด้วยซ้ำ แต่ด้วยความใจดีของนายหน้าจาง เขาเลยลดให้เหลือแค่ร้อยละสามสิบ

“ค่านายหน้าออกกันคนละครึ่งดีไหมขอรับ” นายหน้าจางเอ่ยพลางหัวเราะ

“เจ้ามีเงินไหม” เซียวลิ่วหลังหันไปถามคู่สัญญา นั่นก็คือจิ้งคง

จิ้งคงน้อยคิดในใจ แย่แล้ว เขาไม่ได้พกเงินมาเลย น่าอายชะมัด!

แต่จู่ๆ ก็เกิดหัวใสนึกอะไรขึ้นมาได้ “หักจากค่าเช่าเดือนแรกแล้วกัน!”

เซียวลิ่วหลังทั้งขำทั้งหมั่นเขี้ยว เจ้าเณรน้อยมีหัวการค้ากับเขาเหมือนกันแฮะ

เรือนของจิ้งคงเป็นเรือนที่มีทางเข้าสองฝั่ง เดินเข้าไปก็จะเจอกับลานว่างก่อน ที่เรือนปลูกต้นไผ่ไว้ บริเวณแรกจะเป็นห้องว่าง ห้องหนังสือ และห้องครัว พอเดินทะลุเข้าไปก็จะเจอกับลานหลังเรือน มีต้นหอมหมื่นลี้ปลูกไว้ หลังต้นไม้ก็เป็นห้องว่างสามห้อง

โดยรวมแล้วก็คล้ายๆ กับเรือนเดิมที่หมู่บ้านชิงเฉวียน จิ้งคงกับเซียวลิ่วหลังนอนห้องเดียวกัน คนที่เหลือนอนคนละห้อง

แม้ห้องจะไม่ใหญ่มาก แต่มีแสงเข้า

และที่สำคัญเลย นอกจากจะอยู่ใกล้กั๋วจื่อเจียนแล้ว ยังมีโรงเรียนเอกชนที่ตั้งอยู่บริเวณรอบๆ ด้วย

พอได้ยินคำว่าเข้าเรียน กู้เหยี่ยนกับกู้เสี่ยวซุ่นก็เริ่มผวา

“เอ๋ ก็ไหนให้ลาออกแล้วมิใช่รึ” ทั้งสองเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน

กู้เจียวที่กำลังกุลีกุจอเปิดกล่องสัมภาระอยู่ก็เอ่ยขึ้น “ลาออกจากโรงเรียนที่ตำบลน่ะใช่ แต่ตอนนี้เรามาอยู่ที่เมืองหลวงแล้ว ก็ต้องมาเข้าเรียนที่นี่ พวกเจ้ายังเด็กนัก ไม่เรียนหนังสือแล้วจะทำอะไรล่ะ”

ทั้งคู่ทำหน้าห่อเหี่ยว พลางนึกในใจ อุตส่าห์นึกดีใจว่าจะไม่ได้เรียนหนังสือแล้ว มาบอกพวกเรายังเด็กได้ไงกัน เจ้าไม่เด็กเลยเนอะพี่สาว!

ข้าวของในบ้านใกล้จัดแจงเสร็จสมบูรณ์แล้ว แต่เพราะที่เรือนแห่งนี้ไม่ได้มีคนเข้าพักเลย จึงเต็มไปด้วยฝุ่น ทุกคนจึงช่วยกันทำความสะอาดห้องนอนของตัวเองกันไปก่อน ส่วนห้องอื่นวันหลังค่อยมาทำต่อ

อาหารเย็นวันนี้เลยหนีไม่พ้นต้องซื้อจากข้างนอกเข้ามา กินกับผักดองที่กู้เจียวทำตุนไว้พอประทังชีวิตกันไปก่อน

เมืองหลวงอุณหภูมิต่ำกว่าที่ชิงเฉวียนเยอะ เพิ่งจะเข้าเดือนสิบก็รู้สึกเหมือนอยู่ในฤดูหนาวแล้ว

พวกเชื้อเพลิงต่างๆ ก็ไม่เหมือนกับตอนอยู่ที่ชิงเฉวียนที่ต้องไปเก็บบนภูเขา อยู่ที่นี่ต้องออกไปตลาดเพื่อซื้อเชื้อเพลิงมาใช้

หลังการเดินทางอันเหน็ดเหนื่อยและยาวนาน ต่างคนต่างรีบกลับห้องตัวเองแล้วล้มตัวลงนอน

เซียวลิ่วหลังหันไปมองจิ้งคงที่นอนแอ้งแม้งและส่งเสียงกรนดังขึ้นเป็นทอดๆ

เวลานี้ เซียวลิ่วหลังกลับไม่อยากหลับ

สุดท้ายเขาก็ได้กลับมาเยือนที่นี่อีกครั้ง

“อาหัง พวกเราออกไปเล่นข้างนอกกันไหม คาบอาจารย์จวงยากไป ข้าไม่อยากเรียน”

“อาหัง ดูเจ้ากระต่ายนี่สิ มันบาดเจ็บล่ะ พามันกลับไปรักษาที่บ้านดีไหม”

“อาหัง ข้าอยากกินพุทรา ไปเด็ดมาให้ข้าที”

“อาหัง ซื้อขนมกุ้ยฮวามาให้หน่อยสิ”

“อาหัง เจ้าตายเพื่อข้าได้ไหม”