หวังซีไม่เข้าใจ
คุณหนูพานเม้มปากหัวเราะ กล่าวว่า “ข้าเห็นเจ้ารังเกียจตระกูลหวงเหลือเกิน คล้ายสลัดอะไรบางอย่าง อยากจะสลัดพวกเขาทิ้งในคราวเดียวให้ได้ก็ไม่ปาน”
หวังซีนั่งลงมากัดลูกไหนไปคำหนึ่ง กล่าวอย่างไม่ใส่ใจนักว่า “พวกเขายังไม่น่ารังเกียจอีกหรือ? ต่อให้ถูกใจฉังเหยียน แต่ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างฉังเคอกับฉังเหยียนก็ไม่ควรมาสู่ขอถึงจะถูก แต่พวกเขาไม่เพียงมาสู่ขอเท่านั้น ยังมาด้วยความมั่นใจในความถูกต้องของตัวเองด้วย ต้องเป็นเพราะคุณชายหวงเคยเจอฉังเหยียนเป็นการส่วนตัวมาก่อน และมีความรู้สึกบางอย่างต่อฉังเหยียนเป็นแน่ ตระกูลหวงถึงได้เปลี่ยนใจมาสู่ขอฉังเหยียนแทนอย่างกะทันหัน เห็นได้ชัดว่าคุณชายหวงก็มิใช่คนดีอะไร ในเมื่อมีคนเห็นมูลสุนัขเป็นทองคำ ข้าก็ไม่ควรไปขัดขวาง เจ้าว่าเหตุผลนี้ถูกต้องหรือไม่”
คุณหนูพานหัวเราะเสียงดัง รู้สึกว่าหวังซีช่างน่าสนใจยิ่งนัก กล่าวว่า “เมื่อก่อนข้ารู้แค่ว่าเจ้ารู้จักหลอกล่อให้ฮูหยินผู้เฒ่าดีใจ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะด่าคนเป็นด้วย”
หวังซีกำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่พอดี พอได้พูดก็ยิ่งไร้ความระแวดระวังมากขึ้น ได้ยินแล้วยักไหล่ โยนเมล็ดลูกไหนที่กินเนื้อสองสามคำจนหมดเกลี้ยงทิ้งลงในถังขยะที่อยู่ไม่ไกล หยิบผ้าสะอาดบนจานกระเบื้องขาวนวลวาดลายสีทองที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาเช็ดมือ ถึงได้กล่าวขึ้นว่า “นี่เจ้ากำลังชมว่าข้าพูดเก่งมิใช่หรือ ข้าเองก็รู้สึกว่าตัวเองพูดเก่งมากเช่นกัน”
คุณหนูพานมองแล้ว ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกคำรบหนึ่ง
หวังซีนึกถึงความบาดหมางระหว่างตระกูลว่าที่สามีของนางกับครอบครัวของหลิวจ้ง อยากจะเตือนนางสักสองประโยคเหมือนกัน แต่ก็คิดได้ว่าถ้าคุณหนูพานเป็นคนมองอะไรทะลุปรุโปร่ง ก็น่าจะทราบความไม่เหมาะสมของตระกูลหลิวดี แต่เรื่องสมรสนี้ ขึ้นอยู่กับการควบคุมของบิดามารหรือไม่ก็สถานะทางสังคม บางทีนี่อาจเป็นงานแต่งงานที่ดีที่สุดที่นางหาได้แล้วก็เป็นได้ จึงจำเป็นต้องเลือกและยอมรับมัน นางทอดถอนใจอยู่ในใจนับครั้งไม่ถ้วน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใด
คุณหนูพานเข้าใจว่านางกำลังเป็นห่วงเรื่องฉังเคออยู่ จึงไม่ได้กล่าวอะไรมากเช่นกัน กล่าวเสนอความช่วยเหลือขึ้นก่อนว่า “หรือข้าไปหยั่งเชิงดูท่าทีของท่านอาหญิงของข้าดูดีหรือไม่ แม้นไม่อาจทำให้นางไปขัดขวางการแต่งงานครั้งนี้อย่างโจ่งแจ้งได้ แต่อย่างน้อยก็ทำให้นางทำพอเป็นพิธี ไม่ถึงกับปล่อยให้บ้านรองกินอ้อยแล้วยังคายชานอ้อยทิ้งอีก”
นี่ก็ดีเหมือนกัน!
หวังซีอดกล่าวไม่ได้ว่า “โหวฮูหยินเป็นคนดีเกินไป”
คุณหนูพานกล่าว “มิใช่เพราะท่านอาหญิงของข้าเป็นคนดีหรอก แต่เพราะท่านอาเขยดีเกินไปต่างหาก ท่านอาหญิงของข้าจึงเอาชนะท่านอาเขยไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น นอกเหนือจากญาติผู้พี่คนโตของข้าแล้ว ก็นับว่าคุณชายสามของบ้านรองมีหน้าที่การงานดีที่สุดในบรรดาพี่น้อง ท่านอาหญิงของข้าเองก็มีเรื่องให้ต้องระมัดระวังเช่นกัน”
นึกถึงคนที่รับอนุและสาวอุ่นเตียงเหล่านั้น มีภรรยาเอกหลายคนที่ชอบรับอนุและสาวอุ่นเตียงเหล่านี้อยู่จริงๆ ที่อดทนไว้ก็เพราะไม่อยากมีปัญหากับสามี ถึงเวลาจะได้ไม่กระทบต่อผลประโยชน์ของบุตรชายหญิงแท้ๆ ของตัวเองก็เท่านั้น
หวังซีกล่าว “สามียังคงสำคัญกว่าแม่สามี นอกเสียจากว่าสามีจะเชื่อฟังแม่สามีทุกอย่าง”
คุณหนูพานกล่าวยิ้มๆ ว่า “เพราะฉะนั้นเรื่องเช่นนี้ต้องดูวาสนาด้วย ไม่อาจคิดว่าแม่สามีสำคัญกว่าเพียงอย่างเดียว แล้วก็ไม่อาจคิดว่าสามีสำคัญกว่าเพียงอย่างเดียว”
ทั้งสองคนเจ้าคุยประโยคหนึ่งข้าคุยประโยคหนึ่ง เปิดใจคุยกันกว่าครึ่งชั่วยาม ความประทับใจที่มีต่อกันดีกว่าเมื่อหลายเดือนก่อนมากโข หากมิใช่เพราะมีคนมาแจ้งข่าว เกรงว่าทั้งสองคงคุยต่อไปเรื่อยๆ
“เช่นนั้นทางด้านของโหวฮูหยินคงต้องรบกวนเจ้าแล้ว” หวังซีไปส่งคุณหนูพานที่ประตูด้วยตัวเอง
คุณหนูพานก็ไม่สงวนมารยาทกับนาง กล่าวว่า “หากข้าได้ข่าวอะไรที่เป็นประโยชน์ จะเอามาบอกเจ้าทันที”
หวังซีกล่าวขอบคุณอีกครั้ง ถึงได้เดินกลับห้องโถงไปพร้อมกับอาหนานที่มาพบนาง
อาหนานขมวดคิ้วมุ่นกระซิบกล่าวว่า “นายหญิงรองโน้มน้าวฮูหยินผู้เฒ่าสำเร็จ ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นด้วยกับการแต่งงานระหว่างตระกูลหวงกับคุณหนูสาม ได้ยินว่าเพราะกลัวจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ก็เลยจะมาวางของหมั้นเล็กในอีกสามวันให้หลังนี้แล้ว จากความหมายของฮูหยินผู้เฒ่าคือให้โหวฮูหยินไปช่วยบ้านรอง โหวฮูหยินไม่ค่อยพอใจนัก แต่ก็ไม่ปฏิเสธอย่างโจ่งแจ้ง”
ก่อนหน้านี้หวังซีก็คาดการณ์เอาไว้เหมือนกันว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นนี้
ถ้าฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกว่าไม่ดีจริงๆ ก็คงไม่ทำแค่โมโหเพียงครั้งหนึ่งเท่านั้น
นางรู้สึกดีใจอีกครั้งที่ปีนั้นจวนหย่งเฉิงโหวไม่ยอมรับมารดาของนาง
ไม่อย่างนั้นนางอาจได้เป็นฉังเคอคนที่สองแล้วก็ได้
นี่ทำให้นางพลันบังเกิดความรู้สึกมีศัตรูร่วมกันขึ้นมา
นางกระวีกระวาดออกไปหาฉังเคอ
นายหญิงสามยังไม่จากไป นั่งเคียงคู่กับฉังเคออยู่บนแหย่งหลัวฮั่น กำลังโน้มน้าวบางอย่างกับฉังเคออยู่ เมื่อเห็นหวังซีเข้ามา นางรีบลุกขึ้น พลางเอ่ยเรียกหวังซี “รีบมานั่งเร็วเข้า!”
ยังรินชาให้หวังซีด้วยตัวเองอีกด้วย
หวังซีลุกขึ้นมารับถ้วยชาด้วยความนอบน้อม ไม่ได้หลบเลี่ยงนายหญิงสาม เล่าเรื่องที่ได้ยินมาเมื่อครู่ให้นายหญิงสามฟัง
นายหญิงสามพลันร้องไห้ออกมา
ฉังเคอกัดริมฝีปากแน่นจนปากแดงช้ำ ทว่าสีหน้ากลับเยือกเย็นยิ่งนัก
หวังซีรู้สึกว่ายามพานพบเรื่องเสียใจ การร้องไห้ออกมาช่วยปลดปล่อยความรู้สึกไม่ดีออกไปได้ แต่การร้องไห้ก็ต้องดูเวลาด้วย ร้องก่อนและหลังเกิดปัญหาได้ ทว่าไม่ควรร้องระหว่างที่กำลังมีปัญหา
เพราะการร้องไห้ช่วยแก้ปัญหาอะไรไม่ได้
การที่ฉังเคอเป็นเช่นนี้ กลับทำให้หวังซีนับถือนางมากขึ้น กระทั่งรู้สึกว่าตัวเองยินดีช่วยเหลือนางอย่างเต็มกำลังอีกด้วย
“เจ้าคิดเห็นเช่นไร” หวังซีถามฉังเคอ
ฉังเคอเห็นหวังซีเป็นดั่งพี่น้องแท้ๆ ทั้งไม่ปิดบังและไม่อ้อมค้อม กล่าวตามตรงว่า “ตอนนี้ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรทำเช่นไร แต่ข้ารู้สึกว่าข้าไม่อาจปล่อยให้เรื่องนี้จบไปง่ายๆ เช่นนี้ได้ ทว่าข้าก็กังวลว่าหากข้าไปคิดบัญชีกับคนบ้านรอง คนบ้านรองจะเข้าใจผิดคิดว่าข้าหวงแหนงานแต่งงานกับตระกูลหวงครั้งนี้ ถ้าเกิดพวกเขารู้สึกว่างานแต่งไม่ดีขึ้นมาด้วยอีกคน ผลักตระกูลหวงมาให้ข้า มิเท่ากับว่าข้าต้องเสียเปรียบแย่หรอกหรือ!”
หวังซีได้ยินแล้วหัวเราะออกมา กล่าวว่า “ตระกูลหวงยังไม่ได้หน้าหนาถึงเพียงนั้น ที่แต่งฉังเหยียนไม่สำเร็จแล้วยังกลับมาหาเจ้า”
ยังพูดไม่จบนางก็รู้สึกว่าถ้อยคำนี้ไม่ถูกต้องนัก ให้ความหมายเหมือนกำลังช่วยฟอกขาวให้ตระกูลหวงอยู่ ตอนนี้คนที่นางชังน้ำหน้าที่สุดคือบ้านรอง ทว่าคนที่เกลียดชังที่สุดคือตระกูลหวง นางไม่อาจปล่อยให้ตระกูลหวงมาหยามเกียรติฉังเคอได้อีก กล่าวว่า “แน่นอน ตระกูลหวงนั่นก็ไม่ใช่คนดีอะไร หาไม่คงทำเรื่องเช่นนี้ออกมาไม่ได้ ตามหลัก ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางทำเรื่องที่กลืนคำพูดตัวเอง แต่ผู้ใดจะกล้าตบอกแล้วพูดว่าพวกเขาทำไม่ได้บ้าง! ที่เจ้ากังวลก็นับว่ามีเหตุผล”
สีหน้าของฉังเคอดูดีขึ้นมาก
หวังซีโล่งใจเล็กน้อย เสนอความคิดให้ฉังเคอต่อว่า “หากเป็นข้า ข้าก็คงไม่ไปทะเลาะอะไรกับบ้านรองเหมือนกัน เนื่องจากเรื่องนี้ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนอนุญาต ข้าคงไปหาแค่ฮูหยินผู้เฒ่าเท่านั้น”
ที่สำคัญที่สุดคือ ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นดั่งยอดหญ้าบนกำแพง ลมฝั่งไหนพัดแรงกว่านางก็เอนเอียงไปฝั่งนั้น
เพียงแต่ว่านางไม่อาจพูดถ้อยคำดังกล่าวต่อหน้าคนเป็นหลานสาวอย่างฉังเคอได้
ฉังเคอตะลึงพรึงเพริด กล่าวว่า “ไปหานางทำไม นางเองก็ไม่ยินดีเหมือนกันนี่นา!”
“แต่นางเป็นคนอนุญาต” น้ำเสียงของหวังซีนุ่มเบาสบาย ทว่าถ้อยคำที่เปล่งออกมากลับหนักหน่วงประหนึ่งหนักพันชั่ง “นางกับโหวฮูหยินเป็นคนปกครองบ้านหลังนี้มิใช่หรือ หากนางไม่อนุญาต ตระกูลหวงจะมาวางของหมั้นได้อย่างไร”
ฉังเคอก้มหน้าลงครุ่นคิดตาม
หวังซีกล่าว “พวกเราไม่อาจโวยวายอย่างเปิดเผย โวยวายไปก็มีแต่จะทำให้ผู้อื่นเห็นเป็นเรื่องตลกขบขันเท่านั้น แต่ของที่สูญเสียไปอย่างเปิดเผย หากภายในไม่ได้รับการชดเชย มิเท่ากับว่ายิ่งเสียเปรียบหรอกหรือ”
ฉังเคอพลันเข้าใจเรื่องราวขึ้นมา เพียงแต่ว่านางยังไม่ทันได้พูดอะไร นายหญิงสามที่ไม่รู้ว่าหยุดร้องไห้ไปตั้งแต่ตอนไหนขยับเข้ามาเบียดอยู่ตรงกลางระหว่างฉังเคอกับหวังซี กล่าวเสียงดังขึ้นว่า “ยังคงเป็นคุณหนูต่างสกุลที่เฉลียวฉลาด บางเรื่องไม่ต้องชี้แนะก็เข้าใจถ่องแท้ ความคิดนี้ดี พวกเราต้องไปหาฮูหยินผู้เฒ่า ต้องให้นางชดเชยด้วยงานแต่งที่ไม่ต่างจากตระกูลหวง ไม่สิ ต้องดีกว่าตระกูลหวงถึงจะใช้ได้”
หวังซีนวดขมับ กล่าวว่า “ถ้าฮูหยินผู้เฒ่ามีความสามารถหางานแต่งที่ดีกว่าตระกูลหวงได้ บ้านรองคงไม่ต้องมาขโมยงานแต่งของพี่สาวสี่แล้ว”
นายหญิงสามมองหวังซี ถามอย่างจริงใจว่า “เช่น.. เช่นนั้นควรทำอย่างไรดี”
“พูดต่อหน้าบ้านรองกับบ้านสามให้ชัดเจนว่าจะทำอย่างไรกับสินเจ้าสาวของพี่สาวสี่ หรือไม่ก็ดูว่านายท่านสามคิดเห็นเช่นไร ให้ฮูหยินผู้เฒ่าชดเชยด้วยสิ่งของที่พวกเจ้าได้ใช้จริงๆ” ขณะที่หวังซีพูดอยู่นั้น ในใจกลับคิดว่า หากเป็นนาง คงถือโอกาสนี้ย้ายออกจากจวนไปใช้ชีวิตเอง กล่าวคือ ตอนแรกที่ยอมติดอยู่ในจวนหย่งเฉิงโหว ก็มิใช่เพราะอยากได้ผลตอบแทนดีๆ หรอกหรือ ตอนนี้เรื่องดีไม่มี เรื่องร้ายยังมาเรื่องแล้วเรื่องเล่าอย่างไม่ขาดสายอีก ด้วยนิสัยของนาง ธงผืนใหญ่ของจวนหย่งเฉิงโหวกำลังจะขาด แต่บ้านหลังนี้ก็ต้องแบ่งด้วยถึงจะถูกต้อง
น่าเสียดายที่นายหญิงสามไม่เคยคิดเรื่องแยกบ้านมาก่อน
ดวงตาทั้งคู่ของนางระยิบระยับ กล่าวกับหวังซีอย่างซาบซึ้งใจว่า “คุณหนูต่างสกุลกล่าวได้ถูกต้องที่สุด ข้าจะไปหาฮูหยินผู้เฒ่าเดี๋ยวนี้ ถือโอกาสตอนที่ตระกูลหวงยังไม่มาวางของหมั้นเล็ก ให้ฮูหยินผู้เฒ่าช่วยชดเชยสินเจ้าสาวให้อาเคอของพวกข้าสักเล็กน้อย”
จวนหย่งเฉิงโหวถูกท่านโหวผู้เฒ่าถลุงเงินไปไม่น้อย ทุกวันนี้ความเป็นอยู่ก็ไม่ค่อยดีนัก หลานชายถือเป็นคนของตัวเอง หลานสาวนับเป็นสะใภ้ที่ช่วยเลี้ยงให้ผู้อื่น เงินสำหรับออกเรือนของหลานสาวจึงไม่มากนัก นายหญิงสามเองก็ไม่ได้มีสินติดตัวมากมายอะไร นี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่เวลาพูดคุยเรื่องงานแต่งของฉังเคอไม่ราบรื่นเท่าของฉังเหยียน
นางพูดลมเป็นฝน ลุกขึ้นหมายจะเดินจากไป
“ท่านรอก่อน” หวังซีหยุดนายหญิงสามเอาไว้อย่างรู้สึกปวดศีรษะ มองฉังเคอครั้งหนึ่ง
ช่วยแต่พอดีเป็นคุณ ช่วยมากไปเป็นโทษ นางไม่อยากช่วยคนแล้วยังช่วยจนเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นมาด้วย
เรื่องนี้คงต้องให้พวกนางสองแม่ลูกตัดสินใจกันเอง
ฉังเคอรีบเรียกมารดาเอาไว้ กล่าวว่า “ท่านไม่ต้องรีบร้อน พวกเราจะไปพบฮูหยินผู้เฒ่า ก่อนไปต้องมีการวางแผนก่อนกระมัง! ยกตัวอย่างเช่น ต้องการเงินจากฮูหยินผู้เฒ่าจำนวนเท่าไร เงินก้อนนี้เอามาจากเงินส่วนตัวของฮูหยินผู้เฒ่าทั้งหมดหรือว่านายหญิงรองต้องเอามาให้ส่วนหนึ่งด้วย หรือไม่ก็แบ่งสินเจ้าสาวของพี่สาวสามมาให้ข้าหนึ่งส่วน ถัดจากนั้นเมื่อพบฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว พวกเราควรจะเจ้าอารมณ์หรือแสดงเป็นคนอ่อนแอดี? เรื่องพวกนี้หากไม่หารือกันให้ดี ตอนไปขอการชดเชยจากฮูหยินผู้เฒ่า นอกจากจะเป็นการตักน้ำด้วยตะกร้าไม้ไผ่แล้ว อาจกลายเป็นตัวตลกให้บ้านรองเอาไปเล่าให้ตระกูลหวงฟังด้วย!”
นายหญิงสามไม่รู้ว่าบุตรสาวของตัวเองกลายเป็นคนเก่งกาจเช่นนี้ไปตั้งแต่เมื่อใด
อาจเป็นเพราะได้พานพบกับเรื่องของตระกูลหวงกระมัง
นางทั้งปวดใจทั้งพึงพอใจ เป็นครั้งแรกที่มองบุตรสาวอย่างเที่ยงตรง ให้บุตรสาวเป็นคนที่ปรึกษาหารือด้วยได้ผู้หนึ่ง กล่าวว่า “ดี ดี ดี พวกเราคุยกันให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไปหาฮูหยินผู้เฒ่า”
หวังซีเห็นว่าไม่มีเรื่องของตัวเองแล้ว จึงเอ่ยถึงคุณหนูพานแล้วขอตัวอำลา
นายหญิงสามอดทอดถอนใจไม่ได้ “ยังคงมีคนดีอยู่มากมาย! ดวงตาของทุกคนต่างมองเห็นกระจ่างแจ้งดี”
ฉังเคอเองก็ประหลาดใจมากเช่นกัน
นางกับคุณหนูพานไม่ได้สนิทสนมกันมากมาย คุณหนูพานกลับใจกว้างและกล้าหาญ เห็นได้ชัดว่าประโยคที่บอกว่ารู้คนรู้หน้าไม่รู้ใจนั้นมีเหตุผลมากจริงๆ
ตกกลางคืน หวังซีได้รับข่าวแจ้งว่านายหญิงสามกับฉังเคอไปร่ำไห้อย่างร้าวรานใจต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่าทนไม่ได้ นอกจากรับปากว่าจะสมทบเบี้ยรายเดือนให้คุณชายแปดฉัง น้องชายร่วมอุทรของฉังเคอเป็นเงินสิบตำลึงทุกเดือนแล้ว ยังรับปากว่าจะชดเชยสินเจ้าสาวให้ฉังเคอเป็นเงินสามพันตำลึงอีกด้วย แน่นอนว่าเงินสามพันตำลึงนี้ บ้านรองเป็นคนออกให้สองพันตำลึง
ต้องรู้ว่า สินเจ้าสาวยามออกเรือนของสตรีจวนหย่งเฉิงโหวนั้นมีแค่ห้าร้อยตำลึง
ใครเห็นใจสงสารบุตรสาว ก็ต้องเอาเงินส่วนตัวสมทบเข้าไป
หวังซีรีบถามหวังหมัวมัวคนที่มาแจ้งเรื่องนี้ให้นางทราบว่า “เช่นนั้นเงินห้าร้อยตำลึงของกองกลางนับรวมอยู่ในจำนวนนี้ด้วยหรือไม่ ให้ตอนนี้เลยหรือต้องรอตอนที่พี่สาวสี่ออกเรือนก่อนถึงจะให้?”
ตามความคิดของนางแล้ว เงินจำนวนสองพันตำลึงก้อนนี้บ้านรองต้องให้อย่างไม่เต็มใจแน่ หากต้องรอจนฉังเคอออกเรือนถึงจะให้ เงินของบ้านรองก้อนนี้คงต้องยื้อยุดกันอีกอย่างแน่นอน
หวังหมัวมัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “ในที่สุดนายหญิงสามก็ฉลาดขึ้นมาแล้ว ส่วนของฮูหยินผู้เฒ่ากับส่วนของกลางจำนวนห้าร้อยตำลึงนั้นจะมอบให้ตอนคุณหนูสี่ออกเรือน แต่ส่วนของบ้านรองจำนวนสองพันตำลึงก้อนนั้นจะต้องมอบให้วันพรุ่งนี้กับวันมะรืนเจ้าค่ะ”
……………………………………………………………………….
ตอนต่อไป