เย่เทียนมาถึงสถานที่ก่อสร้างเพื่อเช็คว่าร้านอาหารของเขาสร้างถึงไหนแล้ว.

ผ่านไปแล้ว5วันตั้งแต่ที่เขามาดูงานล่าสุดและร้านก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเร็วมากแล้ว.

ที่มันเร็วอย่างงี้ก็เพราะเย่เทียนจ้างพวกไพร่มาเยอะมากและค่าจ้างเองก็สมราคามากด้วย, ถ้าเทียบกับตลาดก็สูงกว่าเล็กน้อย.

เพราะเขาไม่มีทาสพอในตอนนี้.

จู่ๆ เย่เทียนก็จ้างคนงานมาเยอะขนาดนี้เลยทำให้พวกไพร่ได้มีโอกาสทำงานกัน. เขาเลยเป็นที่รักของพวกไพร่มากๆและก็เริ่มจะเป็นที่นับหน้าถือตาแล้ว.

โรมได้ประกาศศึกหลายครั้งมากในช่วงไม่กี่ปีมานี้และทุกๆศึกนั้นก็ชนะอยู่ร่ำไป.

มันเลยส่งผลให้มีทาสจำนวนมากถูกพากลับมาพร้อมกับกองทัพโรมัน.

ดังนั้น, ครอบครัวที่พอมีฐานะกับพวกอัศวินเลยสามารถหาซื้อพวกทาสให้มาทำงานเป็นกุลีได้ ยิ่งพวกชนชั้นสูง, บ้านใหญ่ๆไม่ก็พ่อค้ารวยๆนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย.

โรมนั้นมีทาสอยู่เยอะมาก, ดังนั้นพวกไพร่เลยมีที่ยืนในสังคมน้อยลงๆแถมพวกเขาเองก็เริ่มหมดกำลังใจที่จะอยู่ต่อทีละน้อยๆ.

เนื่องจากพวกทาสนั้นสามารถเอามาใช้เป็นแรงงานได้ฟรีๆด้วย, ใครมันจะโง่ไปจ้างพวกไพร่ให้มาทำงานล่ะ?

ต่อให้พวกเขามีทาสไม่พอใช้, พวกชั้นสูงก็จะเลือกจ้างทาสกุลีถูกๆดีกว่าไปจ้างพวกไพร่เสมอๆ.

ดังนั้นการที่เย่เทียนได้ไปจ้างพวกไพร่ในโรมมากกว่า200คนนั้น มันก็เหมือนกับการที่พระเจ้ามาโปรดพวกไพร่เลย.

โปรเจ็คร้านอาหารของเย่เทียนนั้นมันใหญ่มากดังนั้นจ้างคนงานมาซัก200คนก็คงไม่หวือหวาอะไร. ในยุคนี้งานทั้งหมดต้องใช้มือทำทั้งนั้น.

เย่เทียนพอใจกับความคืบหน้าของโปรเจ็คมากๆ. เขาคิดว่าอย่างมากแค่2เดือนร้านอาหารก็คงจะเสร็จและพร้อมเปิดบริการแน่ๆ.

ขณะเย่เทียนเดินดูและให้คำแนะนำไป, เขาดูเป็นห่วงเป็นใยกับงานของพวกนั้นมากและก็ได้ใจพวกเขาไปเรียบร้อย. แล้วเย่เทียนก็กลับบ้านไปด้วยความพอใจมากๆ.

“ศัตรูของศัตรูคือพันธมิตรของข้า! แครสซัส, เจ้าผลักไสไล่ส่งเวิร์นเนอร์ไป, ข้าจะให้พวกเขามาเป็นพันธมิตรของข้า!”

เย่เทียนเย้ย.

วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ปอมปีย์จะต้องนำหนี้มาจ่าย.

พอกลับมาถึงบ้าน, เย่เทียนกับเฮร่าก็ขลุกกันอยู่พักหนึ่งจากนั้นเขาก็ไปสอนทาสทำอาหาร, เวลาผ่านไปเร็วมากและพอเย่เทียนรู้ตัว มันก็ถึงตอนบ่ายซะแล้ว.

ในช่วงเวลานี้, เขาได้รับค่าแสตทฟรี40แต้มจากพวกทาสเชฟและจากเชฟหญิงสุดสวย, ค่าความภักดีของมาโก้นั้นไปถึง100%เลยและเขาก็ได้รับแต้มมา6แต้ม.

“เจ้านายคะ, ท่านชายปอมปีย์มาหาและเขาก็นำกล่องบางอย่างมาด้วยแต่เขาดูอารมณ์ไม่ค่อยดีเลยค่ะ……”

ไดอาน่าพบเย่เทียนแล้วรายงานเขาอย่างสุภาพด้วยใบหน้าที่กังวล.

ตระกูลปอมปีย์, เธอไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับพวกนั้นเลย. พวกเขาเป็นตระกูลชั้นสูงเก่าและเหมือนว่าจะไม่ชอบหน้าเจ้านายของเธอนัก.

“ในที่สุดไอ้โง่นั่นมันมาก็แล้วเหรอ?”

เย่เทียนเยาะเย้ยแล้วหยิกแก้มไดอาน่าเบาๆแล้วพูดว่า “อย่าห่วงเลย, มันก็แค่ลูกนกที่ยังหัดบินไม่ได้เลย. เมื่ออยู่ต่อหน้าข้ามันก็ทำได้แค่ทำให้ตัวเองดูโง่. ข้าไม่สนใจมันหรอก, เว้นซะแต่ตาแก่ในบ้านมันจะมาด้วย”

เรื่องปอมปีย์หนุ่มนั้นเย่เทียนไม่มีอะไรต้องกลัวเขาเลย.

แต่แครสซัสนั้นต่างออกไป แผนการของเขานั้นน่ากลัวมาก, เขาสามารถเข้าใจความคิดของคนอื่นๆได้อย่างง่ายดายและยังตัดสินใจได้อย่างแนบเนียนและรัดกุม.

เย่เทียนเดินไปที่ประตูและเห็นปอมปีย์กำลังยืนอยู่ด้วยใบหน้าที่แสยะ. ดูเหมือนว่าเขาไม่ชอบแมนชั่นพังๆของเย่เทียนเลยไม่อยากเข้ามา.

แล้วก็ทหารอารักษ์โหลหนึ่ง, เย่เทียนสังเกตเห็นใบหน้าคุ้นๆ.

หลานชายของสุละ, มาโคเนียหนิ!

เมื่อมาโคเนียเห็นเย่เทียน, ความไม่พอใจก็แสดงให้เห็นชัดเจนในดวงตาของเขา. เพราะเย่เทียนตบไหล่เขาจนทรุดไปกองกับเข่าต่อหน้ายูเลียเมื่อวานนี้.

มันเป็นความอับอายอย่างมากที่ถูกบังคับให้คุกเข่าต่อหน้าผู้หญิง, แถมยังเป็นภรรยาของศัตรูทางการเมืองของปู่ของเขาอีก. มันน่าอายมาก! น่าอายจริงๆ!

ในข่าวร้อนวงในของพวกชนชั้นสูงวันนี้นั้น, นอกจากเรื่องเจ้าสาวของแครสซัสถูกสัตว์ประหลาดลักพาตัวไปและเฮร่าก็เล่นชู้กับสัตว์ประหลาดแล้วนั้น ก็มีเรื่องที่มาโคเนียคุกเข่าให้ยูเลียเมื่อคืน. เพราะมีหลายคนเห็นอยู่.

ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องร้อนของแครสซัสกับเฮร่าแล้วล่ะก็ มาโคเนียคงได้กลายเป็นข่าวหลักไปแล้วแน่ๆ ซึ่งแค่คิดถึงมันเขาก็โกรธตัวสั่นแล้ว.

พวกข่าวร้อนที่กำลังดังในวันนี้นั้นล้วนมาจากการกระทำของเย่เทียนเมื่อคืนทั้งสิ้น แต่เขาก็แค่เฝ้ามองอย่างใจเย็นและทำเหมือนกับว่าเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลย.

“ชายคนโปรดของข้าทั้ง2คนมาจนได้นะ!”

เย่เทียนหรี่ตาลงแกล้งพวกเขา, ปอมปีย์นี่ไม่เท่าไหร่แต่มาโคเนียนี่สิรับมือไม่ได้ง่ายๆเลย.

มันไม่ใช่เพราะพละกำลังของมาโคเนียหรอก.

แต่เป็นเพราะปู่ที่น่ากลัวของเขา —-สุละต่างหาก!

สุละได้รับแต่งตังเป็นผู้ผดุงความยุติธรรมในปี 93 ก่อนคริสต์กาล. เขาเข้าร่วมในสงครามสังคมในปี 90. ในปี 88 ก่อนคริสต์กาลนั้น, เขาได้กลายเป็นกงศุลและแข่งขันกับกาอิอุส มาเรียสเพื่อบัญชาสงครามมิธริดาตี้ครั้งแรก. พอเขาได้รับสิทธิ์บัญชาเขานำกองทหารไปทางตะวันออก. ในปี86ก่อนคริสต์กาลนั้น เขาได้โค่นล้มและบังคับให้มิธริดาเต้ที่หกออกจากกรีซไปและนำไปสู่การเจรจาเพื่อสันติภาพ. ในปี83ก่อนคริสต์กาลนั้น เขาได้นำกองกำลังทหาร40,000นายและกลับสู่อิตาลีไป. ในปีต่อมานั้น เขาก็กำจัดฝ่ายของกาอิอุส มาเรียสไปได้หมดสิ้น, ยึดครองนครแห่งโรม, ประกาศใช้ “ฏีกาศัตรูสาธารณะ” เพื่อฆ่าศัตรูทางการเมืองของเขาและแต่งตั้งตัวเองขึ้นเป็นจอมเผด็จการตลอดชีพ. ในเวลาเดียวกันเขาก็ฟื้นฟูตำแหน่งพิเศษของสภาและจำกัดอำนาจของผู้บริหาร เช่นการชุมนุมของพลเมืองและทริบูน (ประมาณว่า สสปกป้องสิทธิ์ของราษฏร). เขารีไทร์ในปี79ก่อนคริสต์กาลและปีต่อมาก็ตายเพราะโรค. การเผด็จการทางทหารของเขานั้นได้ส่งรับผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสาธารณะรัฐโรมันโบราณ.

สุละรับมือด้วยไม่ได้ง่ายๆจริงๆ. เขาเป็นคนกล้าและสุขุมและเขาก็มีฉายาว่า “กึ่งจิ้งจอกกึ่งราชสีห์” ด้วย.

มันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ที่ปอมปีย์กับมาร์โคเนียมาพร้อมกัน.

ในปี88ก่อนคริสต์กาล, หรือ2ปีให้หลัง เควนดุสปอมปีย์ ตาของปอมปีย์ได้เข้าร่วมเป็นข้าหลวงของสาธารณะรัฐโรมันพร้อมกับสุละ.

ดูก็รู้ว่าพวกเขาอยู่ฝ่ายเดียวกัน.

เย่เทียนคงจะถูกกดดันอย่างหนักจากพวกเขาในอนาคตแน่ๆ.

แต่โชคดีที่กาอิอุส มาเรียส ณ ปัจจุบันก็ไม่ใช่คนกระจอกเช่นกัน แม้เขาจะไม่แข็งแกร่งเท่าเดิมแต่อูฐหิวโซก็ยังตัวใหญ่กว่าม้าอยู่ดี ไม่งั้นแล้วเขาจะยึดอำนาจและทำสำเร็จได้ยังไงล่ะ?

เย่เทียนรู้สึกโล่งอกเมื่อคืนมาถึงจุดนี้. ตราบใดที่กาอิอุสยังมีชีวิตอยู่, แม้ว่าสุละจะมีพันธมิตรแกร่งเพียงใดพวกเขาก็คงไม่กล้าทำอะไรข้ามหน้าข้ามตา.

กาอิอุส มาเรียส ณ ปัจจุบันนั้นเหมือนกับราชสีห์ที่กำลังเลียแผลตัวเองยามแก่อยู่ แล้วเขาก็จะลุกกลับขึ้นมาแล้วก็จะเป่าศัตรูให้กระจุยไป.

“ท่านชายน้อย, ช่างเป็นเกียรติมากๆที่ท่านมาถึงที่นี่, ข้าเชื่อว่าสิ่งที่ท่านนำมาด้วยจะทำให้ข้าโชคดีนะ!”

เย่เทียนทักทายด้วยรอยยิ้ม เขาดูครึกครื้นมาก.

ก็ปอมปีย์มาจ่ายหนี้หนินะเขาจะรู้สึกไม่แฮปปี้ได้ยังไงล่ะ.

“เหอะ, ดูบ้านซอมซ่อนี่สิ, ใครมันจะกล้าเข้าไปวะ, ข้าไม่อยากจะเอาโชคร้ายกลับมาติดตัวหรอกนะ….”

แหงอยู่แล้ว, ท่าทีตื่นเต้นของเย่เทียนไม่ได้ช่วยให้ความโกรธของมาโคเนียเบาลงเลย, เข้าเยาะเย้ยแล้วมองไปทางเย่เทียนอย่างแสยะ.