สงครามระหว่างตระกูลของเจ้าบ่าวและตระกูลเจ้าสาวงั้นหรอ?

เย่เทียนตกใจมากๆ, ครั้งนี้โรมจะต้องครึกครื้นแน่.

แม้ว่าตระกูลเวิร์นเนอร์จะไม่ยิ่งใหญ่เท่าตระกูลแครสซัส แต่ถึงอย่างงั้นมันก็เป็นหนึ่งในตระกูลราชวงศ์และพวกเขาก็เป็นพันธิมิตรกันมาเนิ่นนานแล้ว แต่ตอนนี้กลับจะก่อสงครามกัน.

เย่เทียนอยากสอดมากๆ.

แต่เขาก็รู้อยู่แล้วว่าไอ้สงครามนี่มันก็แค่เรื่องทะเลาะกันเท่านั้น. ถ้าพวกเขากล้าจะก่อสงครามกันจริงๆ, ทางสภาจะต้องเนรเทศพวกเขาออกไปแน่ยิ่งเวลาแบบนี้ด้วย.

แต่ทว่าเย่เทียนก็พอใจกับผลงานของเขามาก. เขาไม่เพียงแต่ตัดพันธมิตรของแครสซัสเท่านั้น แต่สามารถทำให้หันมาเป็นศัตรูกันได้ด้วย.

“เจ้าหน้าหนวดนั่งลงไวๆซิ, ให้ข้าเลี้ยงเจ้าซักแก้วนะแล้วบอกพวกเราว่าเกิดอะไรขึ้น?”

ชายหนวดเฟิ้มบรรลุเป้าหมายของตัวเองแล้ว. เสียงตะโกนเขาทำให้ทุกคนหันมาสนใจและได้คนอื่นเลี้ยงด้วย.

เรื่องอื้อฉาวของชนชั้นสูงทำให้พวกไพร่ต่อมเผือกสั่นจริงๆ.

“พระเจ้า, อย่าเล่นตัวนักเลยน่า. รีบนั่งลงสิ! เจ้าพูดแล้วก็ดื่มไปด้วย, เราจะรอฟัง…”

มีคนชงเขาอีกรอบ.

“ไอ้พวกขี้เหนียวเอ้ย, ข่าวสำคัญแบบนี้มีค่าแค่ไวน์กากๆ12แก้วเองหรอวะ?”

ชายหนวดเฟิ้มบ่นแต่เขาก็นั่งลงแล้วรับแก้วมาดื่ม. เขาค่อยๆดื่มแล้วพูด “เรื่องแม่มมีอยู่ว่าเราไม่สามารถเข้าใจความคิดของไอ้พวกกินเลือดกินเนื้อนั่นหรอก แต่ดูเหมือนว่าตระกูลแครสซัสนั้นจะไม่ยอมทนความอับอายขนาดนี้และไอ่คุณชายมาคัสก็ไม่ยอมงอมืองอเท้าด้วย. วันนี้คุณชายมาคัสมันเลยมีประกาศออกมา….”

“แล้วไอ้ประกาศเชี่ยนั่นมันว่าไงล่ะ ไอ้เคราดกเอ๊ย นี่มึงพูดให้จบก่อนกรึ่บได้ปะวะ?”

พอชายหนวดเฟิ้มพูดจุดสำคัญที่สุดของเรื่องเสร็จ เขาก็จิบไวน์ช้าๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นความอยากเผือกของคนอื่นๆจนเขารู้สึกทนไม่ไหวแล้วตะโกนใส่เขาด้วยความตื่นเต้นไป.

“ประกาศเหรอ……เอ้อใช่, เวรเอ้ย, ข้าเกือบจะลืมที่ตัวเองพูดไปเลย. มันมีอยู่ว่าลูกสาวของตระกูลเวิร์นเนอร์ไม่ซื่อสัตย์ต่อแครสซัส, นางเสียพรหมจรรย์ก่อนจะแต่งกับเขา และเธอก็เสียมั้นให้กับสัตว์ประหลาดดุร้ายที่น่ากลัว. เจ้าสัตว์ประหลาดโหดนั้นเลยมาฆ่าคนในงานแต่งนางแล้วหนีตามกันไป! และเพราะเรื่องนี้ตระกูลแครสซัสจึงเสียหน้าและอับอาย. มันยังสร้างความเสียหายใหญ่หลวงและความบอบช้ำให้กับแขกทุกคนตอนนั้นด้วยและเพื่อจะชดใช้ทุกๆคน….สิ่งที่สำคัญเหนืออื่นใดก็คือ แครสซัสไปสอบถามคนเพื่อหาคำอธิบายแบบตัวๆไปเลย….”

รอบนี้ชายหนวดเฟิ้มก็พูดจบได้ในทีเดียว.

“หน้าด้าน! หน้าด้านโว้ยแครสซัส!!”

พอได้ยินดังนั้น เย่เทียนก็อดสบถออกมาเบาๆไม่ได้.

ก็จริงอยู่ว่าเขาไม่มีพลังพอจะปกป้องเจ้าสาวทำให้เจ้าสาวถูกขโมยไปในวันงานแต่ง. แต่ทว่าแทนที่จะหาคำอธิบายดีๆให้ตระกูลของเจ้าสาว, มันดันผลักความรับผิดชอบทั้งหมดไปให้ตระกูลเจ้าสาวเฉยเลย. มันยังมีหน้าเพิกเฉยเกียรติอันสูงสุดของเจ้าสาวแล้วกล่าวหาว่านางไม่ซื่อสัตย์มีชู้กับสัตว์ประหลาดซะนี่.

นี่มันโคตรหน้าหมาชัดๆ!

ถ้ามาแนวนี้นอกจากชื่อเสียงของเจ้าสาวจะป่นปี้แล้วตระกูลของนางเองก็จะอับอายอีกด้วยแถมความอับอายนี้มันร้ายแรงยิ่งกว่าตระกูลแครสซัสซะอีก.

ถ้าเฮร่ารู้เข้าล่ะก็ นางก็คงจะอับอายและโกรธสุดขีดถึงขนาดต้องฆ่าตัวตายแน่.

แต่ทว่าก็พูดได้นะว่าแผนใส่ร้ายและโยนความผิดทั้งหมดไปที่เจ้าสาวของแครสซัสนั้นถึงจะหน้าด้านแต่ก็ฉลาดมาก.

แต่การกระทำของเขานั้นก็ทำให้ตระกูลแครสซัสและเวิร์นเนอร์เป็นศัตรูกัน ในขณะเดียวกันนั้นเขาก็ได้ลดความอายของตัวเองและตระกูลแครสซัสไปได้สุดขีดเลย. ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็จะได้รับบทเหยื่อผู้น่าสงสารและได้รับความเห็นใจจากคนอื่นเพราะพวกเขาจะรู้สึกเห็นใจมากกว่า.

เมื่อพวกนั้นได้ยินแบบนี้ พวกเขาก็เลิกหัวเราะใส่เขาแล้วเห็นใจแทน.

ส่วนตระกูลเวิร์นเนอร์นั้นพวกเขาก็จะถูกเพ่งเล็ง. พวกเขาจะถูกรังแก, ถูกมองว่าเป็นความอับอายและกลายเป็นโคตรตัวตลกของโรม.

หน้าไม่อาย!

ไร้ยางอายมาก!

ทำร้ายความบริสุทธิ์ของเจ้าสาวเพื่อชื่อเสียงของตัวเอง.

ถ้าเย่เทียนไม่ได้เห็นเลือดหยดแรกของเฮร่าล่ะก็ เขาเองก็คงจะสงสัยเหมือนกันแน่.

“ไอ้ตระกูลเวิร์นเนอร์ชั่วนั่น! พวกมันกล้าดียังไงมาทำเรื่องบัดสีเช่นนี้!”

“ท่านชายแครสซัสผู้น่าสงสาร ถึงแม้ว่าอะไรๆจะเปลี่ยนไม่ได้แต่พวกเราก็เห็นใจท่านเหลือเกิน ท่านเป็นแค่เหยื่อที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลย….”

“ข้าบอกเจ้าแล้ว, ท่านชายแครสซัสผู้ยิ่งใหญ่และเมตตาจะมาทำอะไรอุจาดแบบนั้นได้อย่างไร, ทั้งหมดต้องโทษนังตัวแสบของเวิร์นเนอร์นั่นที่กล้าทำเรื่องบัดสีจนทำให้แครสซัสไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว…”

….

แหงอยู่แล้วสิ, เพราะแครสซัสมีชื่อเสียงดีๆกับคนพวกนี้แล้ว, เขาเลยสามารถพลิกดำเป็นขาวให้ตัวเองแล้วเปลี่ยนเรื่องน่าหัวเราะของตัวเองให้กลายเป็นเรื่องน่าเวทนาได้.

ถ้าทั้งหมดนี่มาจากหัวเขาคนเดียวล่ะก็, มันก็น่ากลัวมากๆเลยแหละ.

“แล้วไงต่อ? พวกแครสซัสกับตระกูลของนังแพศยานั่นจะก่อสงครามกันจริงๆรึ?”

บางคนยังกังวลกับสิ่งที่จะตามมาอยู่แต่ความเห็นใจนั้นแครสซัสได้ไปเต็มๆ.

“สงครามเหรอ? คงไม่เกิดขึ้นหรอกแต่ข้าได้ยินมาว่าแครสซัสโดนยำซะเละเลยและตระกูลเวิร์นเนอร์เองจะมายอมรับเรื่องอับอายนี่ได้อย่างไร, ต่อให้มันเป็นจริง พวกเขาก็คงไม่ยอมรับง่ายๆแน่ ฉะนั้นเมื่อแครสซัสไปขอคำอธิบาย, เขาเลยถูกยำซะเละ แต่ตอนนี้ทางสภาได้เข้ามาจัดการแล้วไม่งั้นก็คงจะได้เกิดสงครามจริงๆแน่!”

ชายหนวดเฟิ้มพูดอย่างภาคภูมิ.

“ตระกูลแพศยาเอ๊ย!”

…..

พวกนั้นเริ่มด่าอีกแล้ว.

“เอาล่ะ, พวกเจ้าควรกลับบ้านไปปลูกผัก ให้อาหารหมูดีกว่านะ. ความจริงมันยังไม่ปรากฏเลย. พวกเจ้าน่าจะรู้นะ, การด่าชนชั้นสูงเป็นโทษมหันต์! เจ้าควรจะพูดแต่ความจริงนะไม่งั้นแล้วเตรียมหนีออกจากโรมได้เลย!”

เย่เทียนลุกขึ้นแล้วค่อยๆพูด.

“เจ้า….”

เสียงของเย่เทียนทำให้พวกเขาไม่พอใจแต่พอพวกเขาเห็นชุดที่หรูหราของเย่เทียน, พวกเขาก็รีบหุบปากแล้วเริ่มกลัวทันที. แน่นอนอยู่แล้วถ้าความจริงยังไม่ปรากฏออกมา มันคงเป็นการกระทำที่โง่มากแน่ถ้าพวกเขาด่าตระกูลราชวงศ์. ถ้าตระกูลเวิร์นเนอร์ต้องการจะเอาเรื่องพวกเขาแล้วล่ะก็ พวกเขาคงตกที่นั่งลำบากจริงๆแน่.

“ขออภัย….”

พวกคนในร้านอยากจะขอโทษแต่เย่เทียนก็ได้ออกไปจากร้านซอมซ่อนี่ไปแล้ว.

เขารู้สึกเครียดมากๆ. เขานึกว่าแครสซัสจะสิ้นหวังไปพักใหญ่ๆตอนแรก แต่ก็ไม่นึกว่าแครสซัสมันจะโต้กลับได้เร็วขนาดนี้.

อาจพูดได้เลยว่า ในร้านนั้นเย่เทียนได้ยินข่าวร้ายที่สุดเลย.

“แครสซัส, แกคิดว่าจะพลิกคดีได้ง่ายๆแบบนี้เหรอ? ถ้ารอบนี้ชั้นไม่กระทืบแกให้จมคาตีนล่ะก็ ชั้นก็ไม่มีสิทธิ์จะเป็นนายทาสที่แข็งแกร่งที่สุดสิวะ!”

ไม่นานนักเย่เทียนก็โยนความรู้สึกเครียดนั่นทิ้งไปแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ, เขาเองก็วางแผนจะเข้าร่วมสงครามนี้เช่นกัน.