บทที่ 119 อันธพาลเฉาฮุย

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 119 อันธพาลเฉาฮุย

บทที่ 119 อันธพาลเฉาฮุย

อย่างไรก็ตาม นางได้ยินจากคุณย่าว่าตราบใดที่มีแขกมาที่บ้าน คุณปู่ก็บอกแขกอย่างภาคภูมิใจว่าถ้วยรางวัลนี้เป็นของหลานสาวของเขา ส่วนเขาก็ดูตื่นเต้นกับรางวัลที่หนึ่งในการแข่งขันคัดลายมือระดับชาติราวกับได้รับรางวัลเสียเอง

กู้เสี่ยวหวานเขียนคำว่ากู้หนิงอันและกู้หนิงผิงบนกระดาษสองแผ่นตามลำดับ จากนั้นจึงแจกให้แต่ละคน “พวกเจ้าคัดลอกสิ่งที่ข้าเขียน ถ้าคัดคล้ายกับข้าเมื่อใด ข้าจะเปลี่ยนคำใหม่”

ทั้งสองคนตอบรับ กู้เสี่ยวหวานจึงแก้ไขท่าทางการจับพู่กันของพวกเขา หลังจากดูพวกเขาเขียนสองสามครั้งและเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติจึงไปที่ครัวเพื่อต้มน้ำล้างหน้า

หลังจากที่ฉือโถวกลับบ้าน เขามอบของที่เขาซื้อให้ท่านป้าจางและบอกพ่อแม่ของเขาอย่างตรงไปตรงมาว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองวันนี้

หลังจากฟังจบ ท่านป้าจางก็ถอนหายใจหนัก “ดูเหมือนสาวน้อยเสี่ยวหวานคนนี้จะรู้แจ้งจริง ๆ หมู่บ้านของเรามีเด็กชายและเด็กหญิงมากมายที่ไม่ได้เรียน และทุกคนก็มีพ่อแม่ แต่สาวน้อยคนนี้ที่มีอายุเพียงแค่แปดขวบกลับพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อให้น้องชายสองคนได้เรียนหนังสือ……”

“ใช่แล้ว การนึกถึงสาวน้อยเสี่ยวหวานทำให้เรารู้สึกละอายใจ! ถ้าไม่ใช่เพราะข้า…” ท่านลุงจางถอนหายใจ “ถ้าไม่ใช่เพราะข้า ฉือโถวของพวกเราก็คงได้ไปโรงเรียนในเวลานี้”

“ท่านพ่ออย่าพูดเช่นนั้น หนิงอันชอบอ่านหนังสือ แต่ข้าไม่ชอบอ่าน ต่อให้ไปเรียนได้จริงก็คงเป็นการฟุ่มเฟือย” ฉือโถวรีบพูด

“ในอนาคตหมู่บ้านอู๋ซีแห่งนี้คงไม่สามารถรักษาพี่น้องกู้ไว้ได้” ท่านป้าจางถอนหายใจ กึ่งมีความสุขกึ่งลังเล

“อย่าว่าแต่หมู่บ้านอู๋ซีเลย เกรงว่าเมืองหลิวเจียแห่งนี้จะรักษาพวกเขาไว้ไม่ได้” ท่านลุงจางกล่าว

ในชั่วพริบตาก็เข้าวันที่สามสิบแล้ว กู้เสี่ยวหวานปลุกน้องทั้งสามคนของนางแต่เช้าตรู่ในวันส่งท้ายปีเก่า นางต้องแต่งตัวทำความสะอาดห้องหลักแล้วเตรียมอาหาร พวกเขาต่างก็ยุ่ง กู้เสี่ยวหวานไม่ได้วางแผนที่จะแบกรับสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวเอง ตามคำกล่าวที่ว่าเด็กยากจนต้องดูแลครอบครัวตั้งแต่เด็ก และในบางครั้งเด็กเหล่านี้ต้องถูกบังคับให้ทำงานและไม่เช่นนั้นจะเสียนิสัยได้ หลังอาหารเช้า กู้เสี่ยวหวานก็แบ่งงานที่ต้องทำในวันนี้อย่างชัดเจน กู้หนิงอันและกู้หนิงผิงรับผิดชอบในการติดกลอนคู่ กู้เสี่ยวอี้กวาดพื้น และกู้เสี่ยวหวานก็จัดการอาหารในวันนี้

การติดกลอนคู่นั้นง่ายมาก หลังจากที่พวกกู้หนิงอันติดเสร็จแล้ว พวกเขาก็เห็นว่าไม่มีน้ำในถังเก็บน้ำในห้องครัว จึงหยิบถังแล้วไปที่แม่น้ำเพื่อตักน้ำ

ระหว่างทางไปตักน้ำ พี่น้องทั้งสองกลับไม่คิดว่าจะเจอคนผู้หนึ่ง นั่นก็คือเฉาฮุย น้องชายของเฉาซื่อ

เฉาฮุยคนนี้ไม่ทำงานทำการ ทั้งวันเอาแต่กินและดื่มอย่างสนุกสนาน ตราบใดที่ปีใหม่ใกล้เข้ามาจะสามารถพบเฉาฮุยได้ในหมู่บ้านอู๋ซี และทุกคนจะเรียกเฉาฮุยลับหลังว่าตัวดูดเลือด

ดูดเลือดใคร? แน่นอนว่าดูดเลือดของเฉาซื่อ เฉาฮุยคนนี้เป็นจักรพรรดิในบ้าน แม้แต่พ่อแม่ของเขายังหวาดกลัวเขาเล็กน้อย นับประสาอะไรกับเฉาซื่อ เฉาฮุยมาที่นี่ทันทีที่วันปีใหม่มาถึง ราวกับว่ามันกลายเป็นประเพณี เขานั่งที่บ้านของเฉาซื่อเป็นเวลานานจากนั้นก็หัวเราะคิกคักและกลับไป

มันเป็นแบบนี้มาสองสามปีแล้ว ผู้คนจึงไม่แปลกใจ

กู้หนิงอันเคยได้ยินจากการสนทนาของชาวบ้านเช่นกัน แต่นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาเห็นเฉาฮุยมาที่หมู่บ้านอู๋ซี ครั้งแรกคือตอนที่พ่อแม่ของเขาเสียชีวิตและถูกฝัง และเฉาฮุยก็เคยมาที่นี่ครั้งเดียว เขาหยาบคายและน่าขยะแขยงมาก

กู้หนิงอันไม่ชอบคนแบบนี้ การมองคนผู้นี้ทำให้เขาคิดถึงสิ่งที่น่ารังเกียจ กู้หนิงอันวางแผนที่จะเลี่ยงผ่านเฉาฮุย แต่เขาไม่คิดว่าเฉาฮุยจะหยุดตนเองเอาไว้

“โอ้ พี่น้องสองคนนี้มาจากบ้านรองกู้ไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงออกมาตักน้ำเร็วนักล่ะ? ไอ้หยา ทำไมพวกเจ้าถึงใส่เสื้อผ้าใหม่ล่ะ เกรงว่าจะเสียเงินจำนวนมากเลยนะ ครอบครัวของพวกเจ้ามีเงินหรือ?” เฉาฮุยยิ้ม ท่าทางอันธพาลของเขามันดูน่าขยะแขยงจริง ๆ

กู้หนิงอันขมวดคิ้ว

กู้หนิงอันไม่อยากมีปฏิสัมพันธ์กับคนประเภทนี้ และต้องขอบคุณความอดทนของเฉาซื่อจริง ๆ เหมือนคำโบราณว่าไว้ว่าไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันอยู่ด้วยกันไม่ได้ เฉาซื่อคนนี้ช่างใจดำและใจร้าย และน้องชายของนางก็เป็นคนโกงและอันธพาล เป็นครอบครัวที่เข้ากันได้ดีจริง ๆ

ถ้าเขามีพี่ชายแบบนี้ จะดีกว่าถ้าจะส่งเขาไปโดยเร็วที่สุด

กู้หนิงอันเงียบไม่มองและไม่ตอบคำถามของเฉาฮุยพลางดึงกู้หนิงผิงไปทางอื่น เฉาฮุยเป็นเหมือนกอเอี๊ยะหนังสุนัขไม่สามารถดึงออกได้เมื่อติดบนร่างกายของเขา ดังนั้น เขาไม่มีทางปล่อยให้พวกกู้หนิงอันเดินจากไป

ราวกับว่าเขาไม่สนใจท่าทางเฉยเมยของกู้หนิงอันเลย เฉาฮุยก้มตัวไปข้างหน้าอีกครั้งด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา “เฮ้ อย่าไปเลยน้องชาย มาคุยกันก่อน!”

ทันทีที่เฉาฮุยเข้าใกล้ สองพี่น้องกู้หนิงอันก็ได้กลิ่นเหล้าเหม็นหึ่งจากตัวของเขา เฉาฮุยคนนี้ดื่มมากเกินไป จึงไม่แปลกใจที่เขาพูดต่างไปจากเดิมและยังเรียกพวกกู้หนิงอัน เมื่อมองไปที่เฉาฮุยอีกครั้ง ดวงตาของเขาก็ดูหรี่ปรือเพราะความเมา และมีกลิ่นเหล้าออกจากตัวเขา แสดงให้เห็นว่าเขาเมามายตั้งแต่ย่ำรุ่ง

“ท่านพูดว่าอะไรนะ ใครเป็นน้องชายของท่าน?” กู้หนิงผิงค่อนข้างอารมณ์เสีย เมื่อเห็นว่าอันธพาลคนนี้เรียกตนเองว่าน้องชาย เขาอดไม่ได้ที่จะกังวลและก่นด่า

“หืม? อย่าดุนักเลย? พวกเราเป็นพี่น้องกันนะ! ไม่ใช่……” เฉาฮุยยังมีขวดเหล้าที่แกว่งไปมาอยู่ในมือ แปดส่วนของอาการเขาในเวลาที่เขาดื่มมากเกินไปก็จะเดินเซและไม่สามารถยืนนิ่งได้

เฉาฮุยแสร้งทำเป็นคิดหนักและพูดว่า “อ๋อ เข้าใจแล้ว พี่สาวข้าเป็นพี่สะใภ้ของพ่อแม่พวกเจ้า ดังนั้น พวกเจ้าจึงควรเรียกข้าว่าท่านอา”

“หืม ท่านอาหรือ? พวกเราไม่มีท่านอา!” กู้หนิงผิงพูดด้วยน้ำเสียงย่ำแย่

“หืม? เจ้าเด็กผี กำลังพูดถึงเรื่องอะไร? พี่เขยของข้าไม่ใช่อาของพวกเจ้าหรอกหรือ?” เมื่อเฉาฮุยเห็นว่าสองพี่น้องกู้หนิงอันเมินเฉยต่อเขา เขาจึงใช้สายเลือดผู้อาวุโสของเขา “พวกเจ้าสองพี่น้องไม่เข้าใจกฎหรือ ท่านอาอยู่นี่ เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่เคารพข้าและดูถูกพี่เขยของข้า! พ่อแม่ของพวกเจ้าสั่งสอนมาอย่างไร”

กู้หนิงอันเห็นว่าเฉาฮุยพูดลามปามถึงพ่อแม่ที่เสียชีวิตของเขา จึงจ้องเฉาฮุยอย่างโกรธเคือง เฉาฮุยอยากจะดุพี่น้องกู้หนิงอันทั้งสองอีกครั้ง แต่เมื่อเห็นดวงตาที่หยาบคายของกู้หนิงอัน เขารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย แต่กระนั้นก็ยังคงพูดอย่างเอาแต่ใจว่า “เจ้ามองอะไร? ”

“พ่อแม่เราตายไปแล้ว เราเลยไม่มีใครสอน ท่านไม่รู้หรือ?” กู้หนิงอันจ้องไปที่เฉาฮุยอย่างโกรธเคืองและพูดเสียงดังด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตร

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

คนครอบครัวเดียวกันสันดานย่อมไม่ทิ้งห่างกันมากหรอก น่ารังเกียจทั้งบ้านเฉาเลย

ไหหม่า(海馬)