บทที่ 161 แข่งขัน

บทที่ 161 แข่งขัน

อู๋ฝานรับชมด้วยอาการเบื่อหน่าย เพราะกำลังรอคอยผลงานภาพคัดลายมือขึ้นประมูล

หวังจื่อหมิงเองก็กำลังรอคอย เพียงแต่ไม่เหมือนกับชายหนุ่ม บางครั้งเขาจะเสนอราคา แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะพบเจออะไรที่ต้องตาต้องใจ แต่เสนอราคาเพื่อจุดประสงค์การมีส่วนร่วมในงาน ไม่ใช่คิดซื้อหาแต่อย่างใด

เพียงแต่สถานการณ์กลับเปลี่ยนไป ในตอนที่พบเห็นภาพวาดน้ำหมึกผลงานหนึ่ง ความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้น

ตอนที่ผลงานภาพวาดน้ำหมึกนาม [วิหคลอยล่องในขุนเขาใบไม้ผลิ] ถูกนำเสนอ อู๋ฝานก็ตระหนักได้ชัดเจนว่า ดวงตาของหวังจื่อหมิงที่อยู่ข้างกายเกิดทอประกายขึ้นมา

“ทุกท่านครับ งานประมูลชิ้นนี้คือวิหคลอยล่องในขุนเขาใบไม้ผลิ เป็นผลงานของหลี่เยี่ยนจื่อ ปรมาจารย์แห่งราชวงศ์ถัง ภาพวาดน้ำหมึกของหลี่เยี่ยนจื่อนั้นมีตำแหน่งอันสูงส่งในบรรดาประวัติศาสตร์ภาพวาดน้ำหมึก และวิหคลอยล่องในขุนเขาใบไม้ผลิก็ถือเป็นตำแหน่งอันสูงสุด ผมเชื่อว่าต่อให้ไม่บอกให้ทราบ ทุกท่านรู้ดีอยู่แล้วว่าระดับของมันอยู่ที่ตรงใด ลวดลายจากน้ำหมึกอันงดงามวิจิตร ลายพู่กันอักษรที่ประดับเคียงข้าง มันจึงยิ่งทำให้บรรยากาศในภาพยิ่งกลมกลืน” พิธีกรชายเริ่มแนะนำสินค้าบนเวที

หลังการแนะนำ หลายคนที่สนใจจึงขึ้นไปรับชมอย่างใกล้ชิด กระทั่งหวังจื่อหมิงยังเป็นฝ่ายลุกเดินไปขึ้นเวทีด้วยตนเอง

อู๋ฝานได้พบว่านอกจากหวังจื่อหมิง ยังมีอีกหลายคนที่ให้ความสนใจ พวกเขาแสดงออกชัดทางสีหน้า ชายหนุ่มจึงส่งวิชาตรวจสอบไปสำรวจ แต่หลังทุกคนที่รับชมตรวจสอบกลับไปนั่งที่ พิธีกรจึงเอ่ยคำขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

“เท่านี้นะครับ หากไม่มีท่านใดต้องการพิจารณาอีก พวกเราจะเริ่มประมูล ณ บัดนี้ ราคาเริ่มต้นของภาพวาดนี้คือสิบล้าน! ทุกครั้งต้องเสนอราคาเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสน! เริ่มได้ครับ!”

“สิบล้านหนึ่งแสน!”

“ฉันให้สิบล้านสองแสน!”

“สิบล้านห้าแสน!”

“สิบสองล้านห้าแสน!”

เพียงเริ่มการประมูล ราคาของภาพวาดน้ำหมึกก็พุ่งทะยาน จากเริ่มต้นสิบล้าน จึงไต่ขึ้นไปถึงยี่สิบล้านอย่างรวดเร็ว แม้แบบนั้นแล้ว สภาวะการเพิ่มราคานี้ยังคงดำเนินไปอย่างแข็งแกร่ง

มันแตกต่างไปจากการประมูลของชิ้นก่อนหน้า ครั้งนี้หวังจื่อหมิงดูมีท่าทีจริงจัง สีหน้าค่อนข้างมีสมาธิ พร้อมกับคอยยกแผ่นป้ายในมือขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า

“พ่อของฉันค่อนข้างชอบสะสมภาพวาดน้ำหมึกมากเป็นพิเศษ” หวังจื่อหมิงทราบถึงสายตาของอู๋ฝาน ดังนั้นจึงอธิบาย “โดยเฉพาะกับผลงานของหลี่เยี่ยนจื่อ มันหายากที่จะรอดพ้นมาจนถึงตอนนี้ ดังนั้นคงปล่อยไปง่าย ๆ ไม่ได้”

แม้หวังจื่อหมิงจะเล่าให้อู๋ฝานฟัง ทว่าสายตานั้นยังไม่ละไปจากภาพวาดน้ำหมึกในมือของพิธีกรสาว เป็นการแสดงให้เห็นว่าเขาให้ความสำคัญกับผลงานชิ้นนี้เพียงใด

อู๋ฝานเข้าใจได้ว่าเหตุใดหวังจื่อหมิงให้ค่าภาพวาดนี้สูงล้ำ เพียงแต่ขณะเขากำลังจะบอกอะไรบางอย่างเกี่ยวกับภาพวาดนี้ให้อีกฝ่ายได้ทราบ ทันใดนั้นเองที่มีเสียงวุ่นวายดังขึ้นในสถานที่

“ยี่สิบห้าล้าน!”

ทันทีที่เสียงนี้ดังขึ้น ทั้งห้องโถงกลายเป็นเงียบงัน หลายคนหันมองผู้เสนอราคาประมูล เพียงแต่หวังจื่อหมิงกับอู๋ฝานก็ไม่ได้ตื่นตกใจเท่าใดนัก

ดังทราบว่าเมื่อครู่ราคาเสนอประมูลสูงถึงยี่สิบสองล้านแล้ว ชั่วขณะที่อีกฝ่ายเอ่ยปากถึงกับเพิ่มไปสามล้านโดยทันที การเสนอส่วนต่างมากขนาดนี้ มันมีอีกความหมายหนึ่ง นั่นคือการแสดงตัวต่อผู้อื่นว่าตนเองจะต้องชนะการประมูลภาพวาดนี้ให้ได้

และยังมีอีกประเด็นหนึ่ง นั่นคือผู้เสนอราคาประมูลล่าสุดที่ยี่สิบสองล้าน ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหวังจื่อหมิง!

“เขางั้นเหรอ?!” หวังจื่อหมิงพบเห็นตัวตนอีกฝ่ายที่เสนอราคา จึงถึงกับลอบขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว

“ใครกัน?” อู๋ฝานเอ่ยถามด้วยความสงสัย แม้เขาได้เห็นหน้าของอีกฝ่ายแล้ว แต่ไม่ทราบว่าเป็นใคร

“เจียงอวี่! ลูกชายคนโตของตระกูลเจียง!” หวังจื่อหมิงตอบกลับ น้ำเสียงนี้ยังมีความไม่พอใจและนึกรังเกียจเจือปน

เห็นท่าทีของหวังจื่อหมิง อู๋ฝานย่อมทราบว่าคนทั้งสองไม่ได้มีสัมพันธ์อันดีอะไรต่อกัน

หลังการเสนอราคาทางด้านนั้นดังขึ้น เจียงอวี่จึงหันมองหวังจื่อหมิง สุดท้ายจึงเอ่ยคำอย่างวางท่าและเป็นปรปักษ์อย่างเห็นได้ชัด “ก็พอรู้มาบ้างว่าพ่อของนายน้อยหวังชอบผลงานภาพวาดน้ำหมึกของหลี่เยี่ยนจื่อ เพราะเหตุผลนั้น แท้จริงแล้วผมไม่ควรแข่งเสนอราคากับนายน้อยหวัง เพียงแต่เป็นเรื่องบังเอิญเหลือเกิน ที่พ่อของผมเองก็ชื่นชอบผลงานของอาจารย์หลี่เช่นเดียวกัน ดังนั้นผมคงต้องชนะการประมูล หวังว่านายน้อยหวังจะเข้าใจ”

เขาบอกราวกับคาดหวังให้หวังจื่อหมิงเข้าใจ แต่ท่าทีและสีหน้าของเจียงอวี่นั้นไม่มีความเกรงใจดังเช่นคำกล่าวไม่ มีแต่ท่าทียั่วยุหาเรื่องเสียด้วยซ้ำ

หวังจื่อหมิงเผยสีหน้าอัปลักษณ์ตอบคำกลับ “นายน้อยเจียง พ่อของนายน้อยเปลี่ยนงานอดิเรกตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ก่อนหน้านี้ยังชอบในของสวยงามอยู่เลยไม่ใช่เหรอ? ไม่ใช่ว่าชอบเล่นพนันหรืออย่างไร ได้ข่าวว่าสิบล้านยังเกือบเสียแม้แต่กางเกงชั้นใน ถ้าอย่างนั้นเอาเงินที่ไหนมาซื้อภาพวาดนี้กัน?”

สีหน้าเจียงอวี่กลับกลายเป็นดำมืดขึ้นมาทันที สุดท้ายจึงเอ่ยคำเสียงเย็นเยือกขึ้น “สิบล้านก็แค่เล็กน้อยสำหรับพวกเราตระกูลเจียง ขอเพียงผมคนนี้ต้องการ คิดซื้อภาพวาดนี้สักสิบภาพยังได้!”

“จริงหรือ? เพียงแต่วันนี้คงไม่อาจซื้อได้สักภาพแล้ว!” หวังจื่อหมิงตอบกลับ

คนทั้งสองมองหน้ากัน สายตาประสานประหนึ่งมีเปลวเพลิงชุกโชนกลางอากาศพร้อมดินปืนใกล้ปะทุ ขณะคนอื่นที่รับชมเรื่องราว น้อยคนนักจะทราบถึงเรื่องความขัดแย้งระหว่างคนทั้งสอง เพียงแต่พวกเขาชอบได้รับชมเรื่องสนุก ดังนั้นจึงไม่คิดขัด

“นายน้อยทั้งสองท่าน ขอให้หยุดการปะทะคารมด้วยนะครับ พวกเราจะเริ่มการประมูลต่อ” พิธีการเอ่ยคำเกลี้ยกล่อมออกมา ในใจลอบนึกยินดี หากว่าคนทั้งสองแข่งกัน สุดท้ายราคาประมูลภาพวาดนี้จะต้องไม่ใช่ต่ำเตี้ยอย่างแน่นอน “ขณะนี้นายน้อยเจียงเสนอราคายี่สิบห้าล้าน มีท่านใดเสนอมากกว่านี้หรือไม่ครับ?”

แม้พิธีกรพูดเช่นนั้น แต่สายตากลับมองหวังจื่อหมิง เห็นได้ชัดว่ากำลังรอให้ชายหนุ่มเสนอราคา อีกทั้งยังมีหลายคนในห้องโถงจับจ้อง พวกเขากำลังรอดูว่าอีกฝ่ายจะสู้ราคาที่เท่าไหร่

“ยี่สิบหกล้าน!” หวังจื่อหมิงไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง ทันทีที่ประกาศราคาใหม่ ก็เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งล้านจากที่เจียงอวี่เสนอ

“ยี่สิบแปดล้าน!” เพียงหวังจื่อหมิงเอ่ยคำจบ เสียงเจียงอวี่ก็ดังเสนอตามติด เป็นการเพิ่มขึ้นสองล้านจากราคาเสนอของหวังจื่อหมิง

หลายคนในห้องโถงประมูลแห่งนี้ ย่อมได้กลิ่นดินปืนที่ใกล้ปะทุระหว่างคนทั้งสอง ดังนั้นจึงถอนตัวจากการแข่งขันเสนอราคา เพียงแต่ก็ยังมีคนอีกส่วนหนึ่งเข้าร่วม เพราะพวกเขาเองก็ชื่นชอบภาพวาดนี้ไม่ใช่น้อย

ภายใต้การแข่งขันดุเดือด ราคาจึงทะยานไปสูงถึงสี่สิบล้าน!

ขณะนี้เอง นอกจากหวังจื่อหมิงและเจียงอวี่ ทุกคนต่างถอนตัวจากการแข่งขัน กระทั่งคนที่ชื่นชอบภาพวาดนี้หยุดการเสนอราคาไปนานแล้ว เพราะพวกเขาคาดการณ์เอาไว้ ว่ามูลค่าของมันสมควรอยู่ราวสี่สิบล้าน ขณะนี้ถึงเพดานราคาที่คนส่วนใหญ่มีกันแล้ว ขณะที่เจียงอวี่และหวังจื่อหมิงยังไม่มีใครยอมใคร คนอื่นก็ทราบดีว่าพวกตนไม่มีโอกาสอีก

“สี่สิบเอ็ดล้าน!” หวังจื่อหมิงขานราคา

“นายน้อยหวังเสนอราคาเพิ่มแค่หนึ่งล้าน ดูตระหนี่ถี่เหนียวดีไม่ใช่น้อย หรือจะเป็นไปได้ว่าไม่มีเงินในกระเป๋าให้ใช้กันแน่? ถ้าหากไม่พอ ผมยินดีให้หยิบยืมได้นะ” เจียงอวี่กล่าวตอบ ถัดจากนั้นจึงเสนอราคาใหม่ดังขึ้น “สี่สิบห้าล้าน!”

สี่สิบห้าล้าน!

มันเป็นราคาที่เกินมูลค่าของตัวภาพวาดไปแล้ว ทุกคนทราบดีแก่ใจ ไม่ว่าสุดท้ายแล้วใครได้รับมันไป พวกเขาก็ซื้อหาภาพวาดด้วยมูลค่าที่เกินกว่าตลาดจะยอมรับได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว