บทที่ 118 ความเจ็บปวดในหัวใจ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 118 ความเจ็บปวดในหัวใจ
บทที่ 118 ความเจ็บปวดในหัวใจ

ซูเสี่ยวเถียนไม่กล้าพูดว่าตัวเองตรวจชีพจรได้ เพราะมันเป็นทักษะเฉพาะด้าน ต้องใช้เวลาฝึกฝนมาอย่างยาวนาน แต่อิงจากการวินิจฉัยคนอื่นแล้วลองด้วยต้วยเอง อย่างน้อยก็ตัดสินได้เล็กน้อย

จากนั้นก็จ่ายยาที่เหมาะสม แบบนี้อาจจะได้ผลก็ได้

ไม่ใช่ว่าเธอทะนงตน แต่เพราะแถวนี้มันเป็นถิ่นทุรกันดาน เธอเดาว่าคนรอบตัวที่มีทักษะทางการแพทย์คงมีไม่มากนัก

“เธอจ่ายยาให้ได้ด้วยหรือ?” เห็นได้ชัดว่าฉืออี้หย่วนไม่ได้คาดหวัง แต่ก็ถามด้วยความประหลาดใจ

แต่หลังจากนั้นก็คิดได้ว่าที่ท้องของคุณปู่ดีขึ้น เพราะยาที่ใส่ในข้าวต้มฟ่างให้คุณปู่

“นิดหน่อยค่ะ แต่ไม่เก่งมาก!” ซูเสี่ยวเถียนรีบกล่าว

“พี่เชื่อเธอ”

สองสามวันต่อมา ซูฉางจิ่วพาคนไปในอำเภอและได้รับรถไถมาคันหนึ่ง ซึ่งเป็นรางวัลอันดับแรกของการจ่ายปันส่วนสาธารณะเมื่อปีที่แล้ว

ซูฉางจิ่วนั่งอยู่บนรถไถคันใหม่ ท่าทางเรียกได้ว่าพึงพอใจมาก

เขารู้ว่าหากไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือของเฉินจื่ออัน ชุมชนการหงซินคงไม่มีโอกาสได้รถคันนี้

ความดีความชอบทั้งหมดล้วนให้สมาชิกบ้านตระกูลซู

ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งให้ขับรถไถคือ ซูเหล่าซาน

เหตุผลที่เป็นอีกฝ่าย เพราะเจ้าตัวขับรถได้ดีที่สุด พูดกันตามตรง ซูเหล่าต้ากับซูเหล่าเอ้อร์ยังเทียบไม่ได้เลย

แม้สมาชิกคนอื่น ๆ ในชุมชนจะไม่พอใจ แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับ

พอมีคนถามว่าทำไมรู้เยอะจัง อีกฝ่ายพูดก็ด้วยความภาคภูมิใจว่า “เพราะตั้งใจเรียนไง ตอนที่ให้พวกคุณเรียนก็เอาแต่โม้โอ้อวดกันอยู่”

พอทุกคนได้คิดก็จริงอย่างที่ว่า ทุกครั้งที่เข้าชั้นเรียน เป็นเหล่าซานที่ตั้งใจที่สุด

ไม่สิ ต้องบอกว่าคนบ้านซูไม่ว่าชายหรือหญิงตั้งใจกันหมด

เป็นไปได้ไหมที่การเรียนหนังสือจะมีประโยชน์จริง ๆ?

แต่พอคิดได้ว่าคนบ้านซูเป็นได้ทั้งคนขับรถไถ แล้วยังได้เป็นนักบัญชีของชุมชนอีก แม้กระทั่งเสี่ยวเถียนคนที่เด็กที่สุดของบ้านก็ยังช่วยงานในทุ่งได้ พวกเขาน่าเชื่อถือจริง ๆ

ช่วงเวลาหนึ่งที่เวลาเรียนหนังสือ คนในชุมชนตั้งใจเรียนกันมากจริง ๆ

พอมีรถไถที่มากความสามารถ ความเร็วในการทำฟาร์มของชุมชนหงซินก็เพิ่มขึ้นไปด้วย

รถไถจะวิ่งไปในทุ่งชุมชนทุกวัน ทำให้คนจากชุมชนรอบข้างต่างรู้สึกอิจฉา

แต่ต่อให้อิจฉาแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์

รถไถของชุมชนเรายังใช้งานกันไม่พอเลย ไม่มีเวลาช่วยเหลือคนอื่นหรอก

ในฐานะที่เหล่าซานเป็นคนขับรถไถ ทำให้เขาเป็นคนที่มีชื่อเสียงอยู่ในชุมชนการผลิตด้วย

เรียกได้ว่าคุณปู่ซูมีความสุขมาก!

ลูกหลานบ้านซูมีแววกันมาก จะมีอะไรที่น่ายินดีไปกว่านี้อีกล่ะ?

แม้แต่ลูกสาวคนโตที่ก่อนหน้านี้ไม่มีลูก และยังถูกทารุณจากครอบครัวสามีเก่า ตอนนี้ก็มีชีวิตที่ดีขึ้น

พอถึงเดือนหกตามปฏิทินจันทรคติ ก็ได้เริ่มช่วงเก็บเกี่ยวภาคฤดูร้อน

พวกสมาชิกพบว่าพืชผลของชุมชนเราปีนี้เติบโตได้ดีมาก จึงทำงานกันด้วยความขยันขันแข็ง

ด้วยการร่วมแรงร่วมใจกันเก็บเกี่ยว ทำให้งานดำเนินเร็วกว่าปีที่แล้วถึงสี่วัน

มีเหล่าซานขับรถไถคอยนวดข้าวในพื้นที่ ส่วนคนอื่น ๆ ก็ช่วยด้วย เลยทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้น

“เหล่าสหายเอ๋ย เมื่อครู่เพิ่งได้รับการแจ้งจากทางชุมชนใหญ่ว่า อีกสามวันจะมีฝนตกห่าใหญ่ พวกเราต้องทำงานให้หนักแล้ว ในสามวันนี้จะต้องเก็บธัญพืชทั้งหมดเก็บไว้ในโกดัง”

เสียงของซูฉางจิ่วถูกส่งผ่านลำโพงไปถึงทุกครัวเรือน

บ้านซูที่กำลังกินข้าวเช้าอยู่รีบตักโจ๊กมันเทศเข้าปาก แล้วรีบวิ่งกันออกไป

ด้านนอกก็มีคนมุ่งไปยังลานนวดข้าว

ทำงานหนักมาตั้งหลายเดือน จะให้พายุฝนมาทำลายพืชผลไม่ได้

ชุมชนการผลิตหงซินเก็บเกี่ยวได้อย่างรวดเร็ว แต่ชุมชนอื่น ๆ ที่อยู่รอบด้านช้ากว่าหน่อย

ยังมีบางชุมชนที่มีพืชผลวางกองอยู่กลางทุ่ง ทุกคนล้วนชุลมุนวุ่นวาย

พวกเขาต่างเสียใจที่ทำไมถึงไม่คว้าที่หนึ่งมาได้บ้าง หากปีก่อนกระตือรือร้นจ่ายปันส่วนสาธารณะคงเทียบกับหงซินได้แน่ และตอนนี้พวกเขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องพวกนี้เลย

โดยเฉพาะชุมชนการผลิตตงฟางหงที่เสียใจมากที่สุด หัวหน้าหลัวทุบอกอย่างเสียอกเสียใจ

ทำไมต้องพลาดรถไถสำหรับเก็บเกี่ยวธัญพืชหลายร้อยจินด้วยนะ? พวกเขามาคนแรกแท้ ๆ กับไอ้แค่ธัญพืชไม่เท่าไรเอง ใจแคบจริง ๆ

ไม่เพียงแต่หัวหน้าหลัวเท่านั้นที่เสียใจ พวกสมาชิกก็ยังบ่นกระปอดกระแปด

เขาคิดว่าหัวหน้าหลัวฉลาดช่วยให้พวกเขาประหยัดธัญพืช ก็เลยตำหนิกัน

กลายเป็นว่าหัวหน้าหลัวยกหินขึ้นมา แต่กลับหล่นทับขาตัวเอง*[1]

เทียบกับกองชุมชนการผลิตตงฟางหงที่ตำหนิหัวหน้าหลัวแล้ว ฝั่งทางชุมชนการผลิตเซี่ยงหยางโกรธยายหวัง รวมไปถึงคนบ้านหวังมากกว่า

บ้านหวังเป็นครอบครัวแยกจากชุมชนการผลิตเซี่ยงหยาง ไม่มีใครในบ้านนั้นให้ความช่วยเหลือด้วย ตอนนี้คนก็เลยไม่พอใจมากขึ้นไปอีก

ทำไมต้องแค้นเคืองนัก?

เพราะเหล่าสมาชิกรู้สึกว่า ถ้าบ้านหวังไม่ทำร้ายหม่านซิ่วหรือรังแกเธอตั้งแต่ทีแรก ตอนนี้เธอก็คงยังอยู่ในชุมชนเรา อีกอย่างเหล่าซานยังเป็นคนขับรถไถด้วย อย่างน้อยก็ยังช่วยชุมชนเราได้สักหน่อยหรือเปล่า?

ยายหวังเองก็เสียใจ ตอนนี้ลูกของเสี่ยวชุ่ยเกิดมาแล้ว แถมยังโตขึ้นมาโดยไม่เหมือนคนบ้านหวังเลย จึงไม่เต็มใจเชื่อว่าเด็กนั้นเป็นเมล็ดพันธุ์ของบ้านหวัง หากแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากหลอกตัวเอง

เพราะคนต่ำ ๆ แบบนั้นเลยทำให้เธอต้องบีบบังคับหม่านซิ่วออกไป น่าเสียใจจริง ๆ

ทั้งตอนนี้หม่านซิ่วมีครอบครัวแล้ว แถมยังใกล้จะให้กำเนิดลูกด้วย มันสายเกินไปที่จะพูดแล้วล่ะ

ช่วงเวลาสามวันภายใต้การทำงานร่วมกันโดยไม่ได้หลับไม่ได้นอนของสมาชิกในชุมชน ธัญพืชกองสุดท้ายก็ถูกขนเข้าโกดังเสียที

พวกสมาชิกที่ยุ่งวุ่นวายกันมาหลายวัน ในที่สุดก็มีเวลาพักผ่อนให้เต็มที่เสียที

แต่ไม่นานก็มีคนรู้ว่าพวกหงซินเก็บธัญพืชเสร็จแล้ว จึงมาขอความช่วยเหลือ

ซูฉางจิ่วเรียกเหล่าสมาชิกมาปรึกษาหารือ

ต้องบอกว่าคนในยุคนี้ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ส่วนรวมเหนือสิ่งอื่นใดจริง ๆ แม้ว่าทุกคนจะเหนื่อยมาก แต่ก็รวมตัวกันอย่างรวดเร็ว และนำเครื่องมือมาช่วยชุมชนอื่น

แม้แต่คนทั้งสี่จากคอกวัวก็สวมหมวกรีบออกไปช่วยด้วย

ตอนที่พวกเขาออกไปช่วยเหลือ สมาชิกของชุนการผลิตหงซินไม่ได้รู้สึกอะไร แต่คนจากชุมชนอื่นประหลาดใจ

แต่ในช่วงเวลาวิกฤต ถึงจะสงสัย แต่ไม่มีเวลาพูดอะไรมาก

เวลาคือชีวิต ที่ลานนวดข้าวเริ่มทำงานไม่ทันแล้ว เอารวงข้าวใส่เครื่องตัดแกลบแล้ววางในที่ว่าง ๆ ในโกดัง มีบางคนย้ายไปไว้ที่บ้านแทนที่จะไว้ในโกดัง

หากเป็นแบบนี้ ตอนที่ฝนใกล้จะตกก็จะมีธัญพืชบางส่วนไหลไปกับน้ำด้วย แต่โชคดีที่บางส่วนวางไว้ในที่สูงและมีม้วนฟางวางกั้น ต่อให้ฝนตกต่อเนื่องก็ยังช่วยชีวิตได้

และโชคดีจริง ๆ หลังจากที่ฝนตกหนักลงมา ในบ่ายวันที่สองก็มีเมฆครึ้ม ทุกอย่างเป็นไปตามระเบียบเลย พืชผลส่วนใหญ่ได้รับการช่วยเหลือ

ชุมชนที่สูญเสียมากที่สุดคือ ตงฟางหงและเซี่ยงหยาง

เป็นเพราะชุมชนการผลิตหงซินช่วยไว้หลายชุมชน ยกเว้นสองแห่งนี้

หากปราศจากความช่วยเหลือจากคนนอก พวกเขาคงสูญเสียหนักกว่านี้แน่นอน

ท่ามกลางสงครามการปกป้องธัญพืช เพราะสมาชิกชุมชนการผลิตหงซินได้ช่วยคนอื่น ๆ เอาไว้ เลยได้รับการยกย่องจากพวกเขา ยังมีบางคนถึงกับมาแสดงความขอบคุณถึงที่เลย

มีหัวหน้าชุมชนบางคนเห็นว่าธัญพืชหงซินมีเยอะกว่าพวกเขา จึงรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย

“หัวหน้าซู ทุ่งคุณมีน้อยกว่าเราอีก แต่ทำไมได้ธัญพืชเยอะจัง?”

คนที่ทำแบบนี้ได้จะต้องมีความสามารถแน่ ๆ แค่มองก็รู้ถึงความแตกต่างแล้ว

ซูฉางจิ่วยิ้มอย่างภาคภูมิใจ มันยิ่งกว่านั้นอีก เพราะนี่เป็นความดีความชอบของตู้ถงเหอ

แต่พูดได้ไหมล่ะ? ไม่ได้หรอก!

เขาแค่หัวเราะฮ่า ๆ ก่อนที่หัวหน้าชุมชนคนอื่นจะรู้ว่าถามไปมากกว่านี้ไม่ได้

คงไม่เท่าไรหากถามจากตู้ถงเหอไม่ได้ แต่ถ้าเป็นคนจากหงซินมักจะถามได้เสมอ

ไม่มีใครรบกวนซูฉางจิ่วแล้ว ก่อนเจ้าตัวจะรีบไปหาซูโส่วเวินทันทีเพื่อพิจารณาว่าผลผลิตธัญพืชในปีนี้สูงแค่ไหน

พืชผลในปีนี้มีมากกว่าปีที่แล้วมาก แต่เยอะขนาดไหน นั่นล่ะคือปัญหา

“หัวหน้าครับ จากบันทึกของปีก่อน ผลผลิตกองชุมชนเราต่อไร่เพิ่มขึ้นยี่สิบเปอร์เซ็นต์จากปีที่แล้ว” ซูโส่วเวินตื่นเต้นมาก แววตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

พอเห็นข้อสรุปก็แทบไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น

“เพิ่มขึ้นมากขนาดนั้นเลยหรือ?”

ซูโส่วเวินพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ผมคำนวณมาสามครั้งแล้วครับ สถิตินี้ไม่ผิดแน่นอนครับ”

“เข้าใจแล้ว เยี่ยมมากเลย ปีนี้พวกเราจะได้กินอิ่ม ไม่ต้องกินข้าวต้มไปตลอดแล้ว” ซูฉางจิ่วตื่นเต้นจนแทบจะร้องไห้

ชายสูงเจ็ดฉื่อกลับไม่มีความสามารถในการทำให้คนในครอบครัวกินอิ่มได้เลย และนี่ก็คือความเจ็บปวดในใจเขา

*[1] คิดร้ายต่อผู้อื่น แต่สุดท้ายก็โดนตัวเอง