บทที่ 119 มองเห็นความหวัง

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 119 มองเห็นความหวัง
บทที่ 119 มองเห็นความหวัง

เมื่อไรก็ตามที่เห็นคนในชุมชนการผลิตได้กินข้าวด้วยจำนวนเล็กน้อย แล้วเวียนหัวเป็นลมด้วยความหิวโหย ทั้งยังต้องทำงานในทุ่งอีก ซูฉางจิ่วก็รู้สึกเศร้า

ผ่านมาหลายปีแล้ว สมาชิกของชุมชนต่างมีร่างกายผอมแห้ง

แต่ตอนนี้เขามองเห็นความหวัง ความหวังนี้อยู่ที่ชายชราที่คอกวัว

นั่นคือตู้ถงเหอ บางทีอาจเป็นโอกาสที่สวรรค์ได้มอบให้กับชุมชนของพวกเราก็ได้

“ฉันจะไปหาผู้เฒ่าตู้!” ซูฉางจิ่วโบกมือและตัดสินใจทันที

“หัวหน้า การที่คุณไปมันจะเหมาะสมไหมครับ?” ซูโส่วเวินลังเลจึงเอ่ยถาม

แม้ความสัมพันธ์ของพวกเรากับฝั่งคอกวัวจะค่อนข้างสามัคคีกัน แต่ถ้าหัวหน้าไปหาอย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ แล้วถูกคนเจอเข้าจะพูดอะไรได้ไหม?

ซูฉางจิ่วจะไปสนใจสิ่งอื่นได้อย่างไรกัน ตู้ถงเหอเป็นคนทำให้ผลผลิตของพืชผลเพิ่มขึ้น นั่นคือสมบัติของเกษตรกรชาวเรา

เขาเชื่อว่าคนแบบนี้ต่อให้เป็นสมาชิกของชุมชนก็ตาม จะต้องให้ความเคารพเขาอย่างแน่นอน

“ไม่เป็นไร คนของเราไม่มีใครทำตัวไม่ดีหรอกนะ” ซูฉางจิ่วกล่าวอย่างหนักแน่น

“แต่ถ้าข่าวชุมชนเราแพร่ออกไป แล้วชุมชนการผลิตอื่นรู้เข้าจะต้องแย่แน่”

ช่วงนี้ซูโส่วเวินติดตามซูฉางจิ่วอยู่ ก็เลยได้ฝึกฝนความสามารถในการมองความคิดผู้อื่นไปด้วย

“มีอะไรที่แย่หรือ? ชุมชนไหนบ้างที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ที่คอกวัว?” ซูฉางจิ่วกล่าวราวกับเรื่องนี้ไม่ได้สำคัญ

แต่เขารู้อยู่แก่ใจว่า ถ้ามีคนจากชุมชนอื่นรู้เข้า จะต้องใช้สิ่งนี้มาโจมตีพวกเราแน่

แต่เพื่อประโยชน์ของพืชผล เขาทำได้เพียงเสียสละตัวเองก็เท่านั้น

เขาคิดพลางเดินไปที่คอกวัว ฝีเท้าเร็วมากจนซูโส่วเวินที่เป็นเด็กหนุ่มต้องเร่งฝีเท้าไล่ตาม

ครั้นทั้งสองเดินทางไปถึงคอกวัว ก็ได้ยินเสียงโต้เถียงดังขึ้นมาแต่ไกล

“โส่วเวิน ใครถ่อมาทะเลาะถึงที่นี่เนี่ย?”

ไม่ได้การแล้ว ตู้ถงเหอเป็นเทพแห่งแผ่นดิน เขาจะต้องประจบประแจงเอาไว้ก่อน

“ผมได้ยินเสียงเสี่ยวเถียนนะ ต้องคุยอะไรกันแน่” ซูโส่วเวินรีบตอบ

“เสี่ยวเถียน?” ซูฉางจิ่วได้ยินก็คลี่ยิ้ม “ไม่ใช่หรอกมั้ง เด็กคนนี้มารยาทดีมาก จะมาส่งเสียงดังเอะอะโวยวายได้อย่างไร?”

เดี๋ยวก่อน ๆ ดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช้เรื่องสำคัญ ทำไมเสี่ยวเถียนถึงมาทะเลาะกับสหายตู้ถึงที่นี่?

“ไปดูแล้วกัน จะได้รู้!”

ซูโส่วเวินพูดได้แค่นี้

ตอนที่เดินเข้าไปก็เห็นเสี่ยวเถียนกำลังโต้เถียงกับตู้ถงเหออยู่

ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังพูดถึงอะไรอยู่ แต่หูเหอแดงไปหมดตอนที่คุยกัน เหมือนกำลังทะเลาะกันอยู่

เด็กผู้หญิงหนึ่งคน ชายชราหนึ่งคน เป็นฉากที่หน้าแปลกประหลาดเสียจริง

แต่แล้วจู่ ๆ ซูฉางจิ่วก็รู้สึกเสียใจต่อตนเอง

“เสี่ยวเถียน ทำแบบนี้ไม่ได้นะ!” ซูฉางจิ่วรีบห้ามเอาไว้

ถ้าเป็นเด็กคนอื่น ซูฉางจิ่วคงจะถีบกระเด็นไปด้านข้างแล้ว แต่กับเด็กคนนี้เขาทำไม่ได้

หนึ่งคือ เสี่ยวเถียนเป็นเด็กดี ไม่เคยสร้างปัญหาใดมาก่อน

สองคือ เธอเป็นหลานของบ้านซู ถ้าแตะต้องนางเพียงเล็กน้อยคาดว่าเขาคงใช้ชีวิตลำบาก

ในความคิดของเขาคือ เสี่ยวเถียนเป็นเหมือนลูกหลานบ้านตนเอง แล้วไม่เคารพต่อสหายตู้ได้อย่างไร?

สหายตู้เป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของชุมชนการผลิตหงซิน

สิ่งที่ทำให้ซูฉางจิ่วประหลาดใจยิ่งกว่าคือ คนที่เอ่ยตอบคนคือตู้ถงเหอ

ชายชราตะโกนโดยไม่แม้แต่จะหันมามอง “หัวหน้า คุณนั่งลงข้าง ๆ ก่อน ผมกับเสี่ยวเถียนยังคุยกันไม่เสร็จ”

ยังคุยกันไม่เสร็จ?

คุยอะไร?

ซูฉางจิ่วงุนงง นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน?

ชราชายกับเด็กสาวตัวน้อยมีเรื่องอะไรให้คุยกัน?

เขาได้ยินผิดไปหรือเปล่า?

“สหายตู้…” เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่มั่นคง

“หัวหน้า อย่าเพิ่งรบกวนพวกเรา!” ตู้ถงเหอพูดอย่างกังวลโดยไม่เงยหน้าขึ้นสักนิด

ซูโส่วเวินพูดไม่ออก ผู้เฒ่าตู้คนนี้สติคงไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัวที่คอกวัวแล้ว และคนที่พูดด้วยคือหัวหน้าซู ถ้าทำให้ขุ่นเคืองอนาคตคงลำบากมากแน่

โอ้ ไม่ได้แล้ว ตอนนี้หัวหน้าซูเห็นผู้เฒ่าตู้เป็นสมบัติล้ำค่า ต่อให้พูดอะไรใส่ก็คงไม่เป็นไร!

“เสี่ยวเถียน ปู่รู้ว่าที่หลานพูดมันมีเหตุผล แต่จากสิ่งที่ปู่อนุมานไว้มันก็สมเหตุสมผลเหมือนกัน!”

ผู้เฒ่าตู้กำลังคุยพูดคุยกับซูเสี่ยวเถียน ทิ้งซูฉางจิ่วไว้ข้าง ๆ ไม่สนใจเลยสักนิด

“คุณปู่ ที่ปู่อนุมานมันสมเหตุสมผลจริง แต่ว่าในทางปฏิบัติมันทำไม่ได้ ปู่เคยคิดว่ามันไม่…”

ซูเซียวเถียนดื้อรั้น ใบหน้าเล็ก ๆ แดงก่ำเพราะใช้แรงมากไป มันดูน่ารักจริง ๆ

“แต่ที่หลานพูดมา ถึงมันจะมีเหตุผล แต่ไม่มีสิ่งที่เป็นหลักฐานคอยสนับสนุน พวกเราต่างก็ล้วนคาดเดากันทั้งนั้น!”

ซูเสี่ยวเถียนอยากจะบอกเหลือเกินว่าเธอไม่ได้เดา ที่พูดก็เพราะไปคุยกับพวกพืชมา แล้วต้นข้าวโพดก็บอกเองด้วย

แต่เธอบอกได้ไหม่ล่ะ? ไม่ได้ไงเล่า!

“คุณปู่ต้องฟังหนูนะ มันไม่แย่แน่นอนค่ะ ไม่งั้นพวกเราไม่มาลองเสี่ยงกันดูล่ะ?” ซูเสี่ยวเถียนไม่ยอมแพ้

ซูฉางจิ่วฟังอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเข้าใจว่าที่สองคนนี้กำลังพูดถึงอยู่คือการปลูกพืชผล และสิ่งที่เสี่ยวเถียนพูดมันค่อนข้างสมเหตุสมผลมากกว่าสหายตู้ด้วย

“โส่วเวิน สรุปแล้วพวกเขาพูดเรื่องนี้กันอยู่เหรอ?” ซูฉางจิ่วทำได้เพียงมองที่ซูโส่วเวิน

เป็นซูโส่วเวินที่ดูเหมือนจะคุ้นเคยดี จะต้องรู้ถึงสถานการณ์บางอย่างแน่

“เดี๋ยวคุณก็ค่อย ๆ ชินไปเองครับ ตอนที่ทั้งสองโน้มน้าวใจกันไม่ได้มันก็จะถึงทางตันเอง”

“เห็นคนแก่คนเด็กเถียงกันหน้าดำหน้าแดงก็จะนึกว่าเกือบจะทะเลาะกันเสียแล้ว วันนี้ยังดีอยู่สินะ”

ซูโส่วเวินคุ้นเคยความสัมพันธ์ของพวกเขาดี พอพูดถึงเรื่องการทำฟาร์มทีไรคงแปลกมากถ้าไม่ทะเลาะกัน

อันที่จริงเขามักจะมีความรู้สึกว่าผู้เฒ่าตู้กำลังฝึกฝนให้เสี่ยวเถียนเป็นลูกศิษย์

แต่มีหลายครั้งที่พอฟังเสี่ยวเถียนพูดแล้วเลยไม่รู้ว่ามันคือความสัมพันธ์แบบไหนกันแน่

“เกือบทะเลาะกัน?” ซูฉางจิ่วมองที่ซูเสี่ยวเถียนอย่างไม่เชื่อสายตา เด็กคนนี้สุดยอดขนาดไหนเนี่ย?

เธอไม่ใช่สาวน้อยที่อ่อนโยนหรอกหรือ?

“หัวหน้า ผมไม่ได้โกหกหรอกนะ มีบางครั้งที่เสี่ยวเถียนเก่งกว่าผู้เฒ่าตู้ด้วย” ซูโส่วเวินยิ้ม

“แล้วที่พืชผลชุมชนเราเพิ่มขึ้นได้เป็นผลงานใครกันแน่ล่ะเนี่ย?” ซูฉางจิ่วถามขึ้นทันที

ซูโส่วเวินลังเลและไม่รู้ควรตอบว่าอย่างไร จะให้เขาพูดอะไรล่ะ? บอกว่าเป็นผลงานผู้เฒ่าตู้หรือ? อีกฝ่ายคงไม่เห็นด้วยแน่ ๆ

เพราะผู้เฒ่าตู้พูดเป็นการส่วนตัวไม่น้อยเลยว่า ซูเสี่ยวเถียนเป็นเด็กอัจฉริยะหายาก และเธอก็รู้จักพืชผลเป็นอย่างดี

แต่จะบอกว่าเป็นผลงานของเสี่ยวเถียน? เด็กแปดขวบยังไม่หย่านมเนี่ยนะ บอกว่าปลูกพืชได้ใครเขาจะเชื่อ!

“หัวหน้าครับ ที่ถามแบบนี้หมายความว่าอย่างไรหรือ?” ซูโส่วเวินเอ่ยถาม

“ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดว่าเสี่ยวเถียนก็ทำฟาร์มได้!”

ซูโส่วเวินเงียบไปครู่หนึ่ง ทำฟาร์มแล้วอย่างไร? เสี่ยวเถียนทำได้มากกว่านี้อีก

แต่ต่อให้ทำได้เยอะก็บอกคุณไม่ได้หรอกครับ!

“ใช่ครับ เสี่ยวเถียนทำฟาร์มได้ แล้วก็เลี้ยงไก่ เลี้ยงหมูได้ด้วย!” เด็กหนุ่มพยักหน้ายืนยัน

“คนในชุมชนต่างก็พูดว่าเสี่ยวเถียนบ้านเธอถูกเลี้ยงมาอย่างเอาใจจนเคยตัว แล้วจะเป็นแบบนี้ได้อย่างไร?”

“เสี่ยวเถียนบ้านผมฉลาดที่สุด คุณปู่บอกว่าเธอเกิดมาพร้อมกับความสามารถปลูกพืช แต่น่าเสียดายที่เป็นผู้หญิง”

“ผู้หญิงแล้วอย่างไร? ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ผู้หญิงก็สืบทอดได้นะ” ซูฉางจิ่วตอบกลับทันที “ตอนนี้เธอเองยังเป็นเจ้าหน้าที่ของชุมชนเลย จะเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิงไม่ได้นะ”

เอ่อ แต่ตอนนี้ซูเสี่ยวเถียนเป็นแค่เด็ก ยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่าเป็นผู้ใหญ่นะ

แต่มันไม่สำคัญหรอก

“คุณปู่ยังบอกอีกว่า เด็กคนนี้ฉลาดเกินไปไม่ดีหรอก ไม่อยากให้พวกเราพูดด้วย” ซูโส่วเวินโยนประโยคนี้ออกไปอีกครั้ง

พอคิดถึงแม่ไก่ที่วางไข่ได้ทุกวันที่บ้าน หมูที่โตได้ดีกว่าบ้านอื่น ซูโส่วเวินเองก็ยังรู้สึกว่าน่าเหลือเชื่อ

เด็กคนนี้ทำได้อย่างไรกัน?