บทที่ 117 ห้ามารอาวุโส ความหวาดกลัวของตู้ขู่

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 117 ห้ามารอาวุโส ความหวาดกลัวของตู้ขู่
จี้ไน่เหอเกิดความเกลียดชังต่อข้า?

ปฏิกิริยาแรกของหานเจวี๋ยคือ สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นขายตนเอง

แต่พอคิดดูอีกที ไม่ถูกสิ หากเจ้าสุนัขนี่ขายเขาง่ายขนาดนั้น มันคงขายไปนานแล้ว

หรือจี้ไน่เหอจะอ่านความทรงจำของสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้น

มีความเป็นไปได้มาก!

ดีเลย! ให้ข้าได้สัมผัสตื้นลึกหนาบางของเจ้า!

หานเจวี๋ยเรียกดูค่าความสัมพันธ์ เพียงไม่นานก็หาจี้ไน่เหอพบ

รูปประจำตัวของเจ้าหมอนี่ดูอ่อนโยนและประหลาด มีลักษณะคล้ายยมทูตดำขาวเป็นอย่างมาก

[จี้ไน่เหอ: ระดับมหายานขั้นสาม จักรพรรดิมารในโลกมนุษย์ ศิษย์มารของเขาเซ่นไหว้สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นสัตว์เลี้ยงเทพของท่าน เพื่อเรียกจี้ไน่เหอกลับมาจากหุบเหวมาร จี้ไน่เหอดึงเอาวิญญาณของสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นมา จึงรู้ถึงการดำรงอยู่ของท่าน และหวาดกลัวท่านเป็นอย่างมาก หากมีโอกาสจะต้องสังหารท่านอย่างแน่นอน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 3 ดาว]

ระดับมหายานขั้นสาม?

เท่านี้หรือ

ตบะยังสู้เซวียนฉิงจวินคู่บำเพ็ญเพียรของเขาไม่ได้เลย

นี่ก็กล้าเรียกตัวเองว่าจักรพรรดิมารแล้ว?

หานเจวี๋ยแอบเหยียดหยาม ไม่นานก็เริ่มเป็นห่วงสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นขึ้นมาทันที

เจ้าสุนัขนั่นคงไม่ตายหรอกนะ!

ต่อให้หานเจวี๋ยจะหาสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นพบ ก็ใช่ว่าจะสามารถช่วยมันได้

ภารกิจเร่งด่วนในตอนนี้ยังคงเป็นการขยันฝึกฝน

หานเจวี๋ยสูดหายใจเข้าลึกๆ หยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา เริ่มสาปแช่งจี้ไน่เหอก่อนเป็นเวลาครึ่งเดือนหลังจากนั้นถึงค่อยฝึกฝน

……

เหนือทะเลเมฆา เมฆดำกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว บนก้อนเมฆมีเงาร่างสองเงานั่งขัดสมาธิ หนึ่งในนั้นก็คือซูฉี

อีกร่างเป็นเงาดำ มองไม่เห็นใบหน้าที่ชัดเจน ดูราวกับเป็นเงาร่างของมนุษย์ เขาก็คือมารหลัวฉิว

“ผู้อาวุโส พวกเราจะไปที่ใดกันแน่” ซูฉีเอ่ยถาม

ตั้งแต่ติดตามมารหลัวฉิวมา พวกเขาระเหเร่ร่อนอย่างยากลำบากมาโดยตลอด มักจะประสบกับภัยสวรรค์เป็นประจำ และมักจะหลงเข้าไปในแดนต้องห้ามบรรพกาล สามารถพูดได้ว่าลำบากจนไม่อาจบรรยาย

มารหลัวฉิวแค่นเสียงเย็นเอ่ยขึ้น “เอาแต่ถามๆๆ ไม่จบไม่สิ้น ถ้าอย่างนั้นข้าจะบอกเจ้าก็ได้ พวกเราจะไปหาจักรพรรดิมาร!”

ตั้งแต่พบกับซูฉี วันคืนของเขาก็ไม่เคยราบรื่นเลย

เขาสงสัยแม้กระทั่งว่าซูฉีอาจเป็นเคราะห์ร้าย

“จักรพรรดิมาร? เขาเป็นอะไรกับประมุขมารหรือ” ซูฉีเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้

“ไม่ได้เป็นอะไรกัน เพียงสังกัดฝ่ายมารเหมือนกันเท่านั้น”

“ผู้ใดแกร่งกว่า”

“ยากจะเปรียบเทียบ จักรพรรดิมารอยู่ในยุคที่ยาวนานกว่า ความสำเร็จสูงยิ่งกว่า”

“ความสำเร็จอะไรหรือ”

“เขาเคยรวบรวมฝ่ายมารในใต้หล้าให้เป็นหนึ่ง”

“ถ้าเช่นนั้นที่ท่านส่งข้าให้กับจักรพรรดิมาร ก็เพื่อให้อยู่ใต้บัญชาของจักรพรรดิมารหรือ ภายใต้บัญชาของจักรพรรดิก็ต้องมีแม่ทัพและทหารสินะ”

“เจ้าคิดได้ถูกต้องดีนี่”

ทั้งสองเริ่มพูดคุยสัพเพเหระประโยคแล้วประโยคเล่า

เปรี้ยง

ตรงขอบทะเลเมฆาปรากฏเมฆอัสนีกว้างขวางอย่างหาที่เปรียบมิได้ เสียงฟ้าแลบฟ้าร้องทำให้บรรยากาศบนท้องนภาดูอึมครึมจนน่าอึดอัด

มารหลัวฉิวจิตใจหนักอึ้ง แย่แล้ว! หรือจะประสบกับภัยสวรรค์อีกครั้ง

……

เพียงพริบตา เวลาก็ผ่านไปหลายปี

[ตรวจสอบพบว่าท่านมีอายุห้าร้อยปี ชีวิตดำเนินไปอีกขั้น ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]

[หนึ่ง ออกจากด่านทันที ปราบฝ่ายมารให้ราบคาบ ชื่อเสียงสะเทือนใต้หล้า จะได้รับสมบัติวิญญาณไท่อี่หนึ่งชิ้น]

[สอง ฝึกฝนต่อไป ห่างไกลจากโลกีย์ ไม่เป็นฝ่ายสร้างเรื่อง จะได้รับสมบัติวิญญาณไท่อี่หนึ่งชิ้น]

รางวัลเหมือนกัน เช่นนั้นก็ทำตามใจตน

หานเจวี๋ยเลือกตัวเลือกที่สองอย่างเงียบๆ

[ท่านเลือกฝึกฝนต่อไป ห่างไกลจากโลกีย์ ได้รับสมบัติวิญญาณไท่อี่หนึ่งชิ้น]

[ยินดีด้วย ท่านได้รับสมบัติวิญญาณไท่อี่–รองเท้าขึ้นสวรรค์เก้าชั้นฟ้า]

[รองเท้าขึ้นสวรรค์เก้าชั้นฟ้า: สมบัติวิญญาณระดับหกขั้นไท่อี่ แฝงไปด้วยสัจธรรมแห่งวายุที่แท้จริง ก้าวเดียวถึงสวรรค์ เหยียบถึงสวรรค์เก้าชั้นฟ้า]

ไม่เลว!

สมบัติวิญญาณที่เพิ่มความสามารถในการหลบหนี!

หานเจวี๋ยรีบนำรองเท้าขึ้นสวรรค์เก้าชั้นฟ้าออกมา เริ่มทำให้มันยอมรับเจ้าของ

เขาตัดสินใจมอบรองเท้าวิเศษเก้าดาราที่ตนกำลังสวมใส่อยู่ให้สิงหงเสวียน รองเท้าวิเศษเก้าดาราเป็นสมบัติวิญญาณระดับห้า ขนาดของมันสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามขนาดเท้าที่สวมใส่

อย่างไรเสียสิงหงเสวียนก็มักจะออกไปข้างนอกอยู่เสมอ ก็ต้องการรองเท้าวิญญาณสักคู่

ครึ่งชั่วยามต่อมา

หานเจวี๋ยสวมรองเท้าขึ้นสวรรค์เก้าชั้นฟ้า เขาพลันทะยานออกไปนอกถ้ำเทวาฟ้าประทานทันที เริ่มอาศัยพลังของรองเท้าขึ้นไปบนฟ้า

เพียงก้าวเดียว พื้นพสุธาขนาดใหญ่ก็พลันเล็กลง

เมื่อขึ้นไปอีกก้าว หานเจวี๋ยก็มองเห็นดวงดาราเต็มท้องนภา

เมื่อก้าวขึ้นไปอีกก้าว หานเจวี๋ยถูกกำแพงไร้ลักษณ์บางอย่างกีดขวาง

เขาก้มหน้ามองลงไป เห็นว่าโลกมนุษย์ไม่ได้กลมเหมือนโลก แต่กลับเป็นแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาลอย่างหาที่เปรียบมิได้ รายล้อมด้วยดวงดาวนับไม่ถ้วน ส่องแสงเป็นประกายระยิบระยับ

หานเจวี๋ยยกมือขึ้น สัมผัสกำแพงกีดขวางไร้ลักษณ์นั้น

นี่คือสิ่งใดกันแน่

หากทะลุกำแพงกีดขวางชั้นนี้ไปได้ จะขึ้นสวรรค์ได้หรือไม่

แล้วแดนเซียนอยู่ที่ใดกัน

หานเจวี๋ยกวาดสายตามองดวงดาวกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต เพื่อต้องการจะหาแดนเซียน แต่กลับหาไม่เจอแม้แต่น้อย

“อย่ามองอีกเลย แดนเซียนก็ไม่ได้อยู่ในนั้น กล่าวกันว่าดวงดารานอกโลกมนุษย์คือม้วนภาพวาด คืออาวุธวิเศษของเทพเซียน โลกมนุษย์ถูกขังโดยแห่งกฎสวรรค์ เมื่อได้รับอนุญาตจากกฎแห่งสวรรค์ก็สามารถขึ้นไปได้ เงื่อนไขง่ายที่สุดในการบินขึ้นไปของกฎสวรรค์คือระดับฝ่าด่านเคราะห์”

มีเสียงดังเข้ามา เมื่อหานเจวี๋ยปรายตามองไปก็พบว่าผู้ที่เอ่ยวาจานั้นคือตู้ขู่

ผู้อาวุโสรับเชิญของสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์!

หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “เหตุใดท่านถึงไม่บินขึ้นไป”

ตู้ขู่เอ่ยตอบ “เพื่อปฏิบัติตามคำมั่นสัญญา ปกป้องสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ครบหนึ่งร้อยปี ข้าก็จะขึ้นไป”

เขามองหานเจวี๋ยด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความหมายลึกซึ้ง “คิดไม่ถึงว่าสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์จะยังมียอดผู้บำเพ็ญระดับท่านอยู่”

มาถึงที่นี่ได้ อย่างน้อยก็ต้องมีตบะระดับฝ่าด่านเคราะห์!

ผู้บำเพ็ญระดับรวมกายาไม่อาจขึ้นมาได้!

“ไม่ขอปิดบัง ข้ามาที่สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์เพราะว่าศิษย์คนหนึ่งของพวกท่านไหว้วานให้มา ศิษย์ผู้นี้มีนามว่าซูฉี เขาถูกมารหลัวฉิวจับตัวไป มารหลัวฉิวถือเป็นหนึ่งในห้ามารอาวุโสในขณะนี้ เขาบอกว่าซูฉียังเคยกราบประมุขมารเป็นอาจารย์ มารฉิวหลัวและประมุขมารปรากฏตัวบนโลก เกรงว่าใต้หล้านี้จะเกิดความวุ่นวายเสียแล้ว ร้อยปีหลังจากนี้สหายเต๋าจะขึ้นไปพร้อมกับข้าหรือไม่ หลังจากพวกเราขึ้นไปแล้ว ยังสามารถดูแลกันและกันได้” ตู้ขู่เอ่ยอย่างจริงจัง

มารหลัวฉิว ประมุขมาร…

ทั้งจักรพรรดิมารที่เพิ่งคืนชีพขึ้นมาอีก!

ฝ่ายมารจะกลับมาเรืองอำนาจหรือ

หานเจวี๋ยปฏิเสธอย่างนิ่มนวล “ไม่ล่ะ ขึ้นไปตอนนี้ยังเร็วเกินไป ความยุ่งยากในแดนสวรรค์จะต้องไม่น้อยไปกว่าบนโลกมนุษย์แน่ หากไร้ความสามารถในการปกป้องตนเอง ข้าก็ไม่ขึ้นไปแล้ว”

ตู้ขู่ส่ายหน้าหลุดยิ้ม

ดูท่าอายุขัยของสหายเต๋าผู้นี้ยังคงยืนยาว

เฮ้อ

นี่ก็คือพรสวรรค์!

หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “ห้ามารอาวุโสมีใครบ้าง”

ตู้ขู่เองก็กล่าวอย่างไม่ปิดบัง “มารหลัวฉิว จอมมาร ปรมาจารย์มารโลหิต อรหันต์มารละโมบ มารชีผมขาว ทั้งห้าคนนี้ล้วนเป็นสุดยอดผู้ทรงพลังของฝ่ายมาร”

“ล้วนเป็นระดับมหายานหรือ”

“ไม่แน่ใจนัก ถึงต่อให้ไม่ใช่ ก็คงใกล้แล้ว”

“เช่นนั้นสายหลักก็ไม่มีผู้ทรงพลังที่สามารถต้านทานพวกเขาได้หรือ”

“ย่อมมีแน่ เพียงแต่ผู้ทรงพลังของสายหลักล้วนมุมานะฝึกฝน ปิดด่านฝึกฝนตลอดปี และใกล้สำเร็จมรรคผลขึ้นสู่สวรรค์ ส่วนมากล้วนไม่อยากหาเรื่องสร้างศัตรู”

หลังจากที่หานเจวี๋ยได้ฟัง ท่าทางราวกับครุ่นคิดบางอย่าง

เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าวว่า “ข้าได้รับข่าวมาว่าจักพรรดิมารฟื้นคืนชีพ ท่านคิดว่าจะเกี่ยวข้องกับมารอาวุโสทั้งห้าหรือไม่”

เมื่อคำพูดนี้ออกจากปาก สีหน้าของตู้ขู่ก็แปรเปลี่ยนไปอย่างมาก

“จักรพรรดิมารฟื้นคืนชีพ? แย่แล้ว!”

“สหายเต๋า เรื่องนี้ไม่ต้องคุยกันอีก พวกเราก็ปิดด่านฝึกฝนกันเถิด!”

ตู้ขู่ทิ้งคำพูดนี้ไว้แล้วก็หายไปจากที่แห่งนั้น

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว จักรพรรดิมารก็น่ากลัวเพียงนี้เชียวหรือ

เขากลับไปยังถ้ำเทวาฟ้าประทาน

การสนทนาเมื่อครู่อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่าตู้ขู่ไม่ได้มีเจตนาร้าย คนผู้นี้แม้มีตบะที่ล้ำลึก แต่เห็นได้ชัดว่าหวาดกลัวเกิดเหตุ คงไม่เป็นอันตรายกับสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์

เพื่อเป็นการป้องกัน หานเจวี๋ยลุกขึ้นไปนำหุ่นเชิดแห่งสวรรค์ของฉางเยวี่ยเอ๋อร์และเซียนซีเสวียนกลับมาเตรียมยกระดับพลังวิญญาณใหม่อีกครั้ง เพิ่มตบะของมันให้ถึงระดับฝ่าด่านเคราะห์

สิงหงเสวียนยังไม่กลับมา คงต้องไว้ครั้งหน้าแล้ว

หนึ่งเดือนผ่านไป หุ่นเชิดแห่งสวรรค์สองชิ้นถูกเปลี่ยนพลังวิญญาณอย่างราบรื่น หานเจวี๋ยคืนหุ่นเชิดทั้งสองให้กับเซียนซีเสวียนและฉางเยวี่ยเอ๋อร์

เขาไม่ได้พูดอะไรกับนางทั้งสองมากนัก รีบกลับไปยังที่พักทันที

มาถึงใต้ต้นฝูซัง เหล่าศิษย์และศิษย์หลานต่างกำลังฝึกฝน

สายตาของหานเจวี๋ยมองไปทางฟางเหลียง ฟางเหลียงบรรลุถึงระดับสร้างฐานขั้นสามแล้ว กล่าวตามตรง คุณสมบัติของเขาก็แย่อยู่บ้าง อย่างไรเสียพลังวิญญาณบนเขาเพียรบำเพ็ญเซียนก็หนาแน่นอย่างหาที่เปรียบมิได้

ส่วนมู่หรงฉี่และสวินฉางอันนั้นทะลวงถึงระดับปราณก่อกำเนิด

‘จะช่วยเจ้าเด็กนี่ดีหรือไม่นะ’ หานเจวี๋ยลอบคิดอย่างเงียบๆ

หลังจากฟางเหลียงบรรลุถึงระดับรวมแก่นปราณ ดวงชะตาจะพุ่งทะยาน หานเจวี๋ยก็รู้สึกอยากรู้อยู่บ้างว่าจะพุ่งทะยานอย่างไร

……………………………………….