บทที่ 118 ระดับฝ่าด่านเคราะห์ขั้นสาม การพบกันระหว่างศิษย์และสัตว์เลี้ยงเทพ

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 118 ระดับฝ่าด่านเคราะห์ขั้นสาม การพบกันระหว่างศิษย์และสัตว์เลี้ยงเทพ
‘ช่างเถิด ให้เขาอาศัยลำแข้งของตนเอง จะได้ไม่ลำพอง’

หานเจวี๋ยส่ายหน้าน้อยๆ จากนั้นก็ตรงเข้าไปในถ้ำเทวาฟ้าประทาน

เขาเพิ่งจะเข้าไป ไก่คุกรัตติกาลที่อยู่บนต้นฝูซังก็กระโดดลงมา เอ่ยว่า “มาๆ มาประลองเวทกัน นอกจากเจ้าเหลียงน้อยแล้ว พวกเจ้าก็เข้ามาพร้อมกันเลย!”

มู่หรงฉี่ลุกขึ้นทันที หลังจากทะลวงระดับปราณก่อกำเนิดแล้ว เขาก็อยากจะลองสู้กับไก่คุกรัตติกาลดู

ไก่คุกรัตติกาลอาศัยที่ตนเองมีตบะสูงกว่ามารังแกพวกเขาอยู่บ่อยๆ ประกอบกับความอาวุโส มู่หรงฉี่ก็ไม่กล้าที่จะพร่ำบ่น

หยางเทียนตงลุกขึ้นตาม ทว่าสวินฉางอันกลับไม่รู้สึกสนใจ

จากนั้นไก่คุกรัตติกาล มู่หรงฉี่และหยางเทียนตงก็บินขึ้นไปประลองเวทบนเมฆ

การประลองเวทเช่นนี้ไม่ค่อยก่อให้เกิดผลกระทบต่อสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ในยามนี้มากนัก ผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดในสำนักมีมากขึ้นเรื่อยๆ ระดับปราณก่อกำเนิดก็ไม่ใช่ระดับชั้นแนวหน้าในสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์อีกต่อไป

หลังจากนักพรตเต๋าจิ่วติ่งกลับมาดูแลตำแหน่งเจ้าสำนักเองอีกครั้ง ก็ปรับเปลี่ยนสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์เป็นการใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นสำนักฝ่ายนอก ฝ่ายใน ไปจนถึงตำหนักลับ ความแข็งแกร่งโดยเฉลี่ยของบรรดาศิษย์ต่างก็ถูกยกระดับ ระบบดูแลของเขาก็ดียิ่งนัก เห็นได้ชัดว่าเขาเหมาะสมกับตำแหน่งเจ้าสำนักมากกว่าหลี่ชิงจื่อ

เพราะตบะของหลี่ชิงจื่อ ยามที่เขาเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสจำนวนมากล้วนต้องแสดงท่าทีพะเน้าพะนออยู่ตลอดเวลา

นักพรตเต๋าจิ่วติ่งมีตบะระดับสุญตาขั้นเก้า ห่างจากระดับรวมกายาไม่มาก ในสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์มีไม่กี่คนที่แข็งแกร่งกว่าเขา เวลาที่เหล่าผู้อาวุโสเผชิญหน้ากับเขาต่างก็ไม่กล้าวางมาด

ภายใต้การดูแลที่เคร่งครัดของนักพรตเต๋าจิ่วติ่ง สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์กับสำนักสวรรค์เพลิงโลหิตก็เริ่มรวมตัวกันอย่างเป็นทางการ ขณะนี้ได้เข้าสู่ขั้นตอนการพัฒนาอย่างรวดเร็ว

ทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวข้องกับหานเจวี๋ย นักพรตเต๋าจิ่วติ่งเองก็ไม่ได้รบกวนหานเจวี๋ย ทุกครั้งที่ผู้อาวุโสเปิดประชุม ล้วนไม่ได้เชิญหานเจวี๋ยเข้าร่วม แต่เรื่องเกี่ยวกับการปลูกฝังเพิ่มพลังวิญญาณบนเขาเพียรบำเพ็ญเซียนนั้นไม่เคยขาด มีลูกศิษย์คอยมาเปลี่ยนของล้ำค่าฟ้าดินบนเขาอย่างสม่ำเสมอ

หลังจากหานเจวี๋ยรู้ว่าฝ่ายมารกำลังเคลื่อนไหวคุกคาม เขาก็รู้สึกถึงอันตราย ช่วงเวลาหลังจากนั้นจึงไม่ออกจากด่านมาโดยตลอด

เวลาผ่านไปสิบปีเต็มๆ

เขารับประทานโอสถทั้งสองขวดที่เซวียนฉิงจวินมอบให้จนหมด ประกอบกับการดูดซับปราณเป็นเวลาสิบปี ในที่สุดก็ทะลวงระดับฝ่าด่านเคราะห์ขั้นสาม!

หานเจวี๋ยยังคงไม่พอใจ ความเร็วในการเพิ่มพูนตบะของเขาก็ช้าลงอยู่บ้าง

เขาปรับลดตบะของเซวียนฉิงจวินมาที่ระดับมหายานขั้นสามแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจเอาชนะนางได้

ซึ่งก็หมายความว่า มีความเป็นไปได้อย่างมากที่เขาจะไม่สามารถเอาชนะจักรพรรดิมาร

หลังจากทะลวง หานเจวี๋ยนำหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา สาปแช่งจี้ไน่เหอ

คนอื่นไม่ต้องสาปแช่งก็ได้ แต่จี้ไน่เหอจำเป็นต้องจัดการ เพื่อป้องกันว่าวันใดเจ้าหมอนี่จะสมองพิกลพิการ แล้วบินมาจัดการเขา

ขณะที่สาปแช่ง หานเจวี๋ยก็เปิดดูจดหมายไปด้วย

[ซูฉีศิษย์ของท่านแพร่กระจายความโชคร้าย อายุขัยของมารหลัวฉิวลดลงพันปี ผลลัพธ์ยังส่งผลสืบเนื่อง]

[สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นสัตว์เลี้ยงเทพของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้บำเพ็ญสายมาร] x8211

[สิงหงเสวียนคู่บำเพ็ญเพียรของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้บำเพ็ญสายหลัก] x17

[เซวียนฉิงจวินคู่บำเพ็ญเพียรของท่านไปจากโลกมนุษย์]

[สิงหงเสวียนคู่บำเพ็ญเพียรของท่านพบเจอกับโอกาสวาสนา ได้รับการชี้แนะจากผู้บำเพ็ญทรงพลัง พลังมรรคเพิ่มพูน]

[หวงจี๋เฮ่าสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีของผู้บำเพ็ญสายมาร] x30009

[โม่ฟู่โฉวสหายของท่าน เหตุเพราะพลังที่ไม่ดี ทำให้กลายเป็นมารแท้]

[โจวฝานสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากโม่ฟู่โฉวสหายของท่าน กายเนื้อถูกฉีกละเอียด โชคดีที่เซวียนซือซือสหายของท่านได้ช่วยวิญญาณของเขาไว้]

[เซวียนซือซือสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากโม่ฟู่โฉวสหายของท่าน พลังมรรคถดถอย]

……

หานเจวี๋ยอ่านจนต้องขมวดคิ้ว

เขานึกถึงกระแสความวุ่นวายของเผ่าปีศาจที่พญาอสรพิษหยกโหมกระพือขึ้นมาเมื่อหลายสิบปีก่อนอย่างอดไม่ได้ ตอนนี้กลับเป็นผู้บำเพ็ญสายมารที่บุกตะลุยเข้ามาแทน

แม้แต่โม่ฟู่โฉวยังกลายเป็นมารแท้ หรือว่าเผ่ามารจะได้รับการคุ้มครองจากสวรรค์

โจวฝานน่าอนาถเกินไปแล้ว ตายอีกแล้ว ครั้งนี้ยังถูกสหายรักฆ่าอีก

เขาจะต้องเดินบนเส้นทางที่ทุกข์หนัก แค้นลึก เลือดร้อนอย่างแน่นอน

หานเจวี๋ยยังสังเกตเห็นหวงจี๋เฮ่า นี่เขาถูกโจมตีจนทำลายสถิติใหม่แล้ว

เขาจำได้ว่าหวงจี๋เฮ่าก็เป็นผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิดเช่นกัน มีจิตกระบี่ฟ้าประทาน ตบะก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเกือบจะถึงระดับสุญตา

‘ฝ่ายมารเที่ยวออกอาละวาด ยิ่งไม่อาจออกไปเตร็ดเตร่ข้างนอกได้ ข้าต้องเตือนพวกเขาสักหน่อย’

หานเจวี๋ยคิดอย่างเงียบๆ เขารีบถ่ายทอดเสียงให้กับบรรดาศิษย์และศิษย์หลานทันที บอกพวกเขาห้ามออกไปอย่างเด็ดขาด

เขายังบอกหลี่ชิงจื่อให้เตือนนักพรตเต๋าจิ่วติ่งด้วย

ตั้งแต่นักพรตเต๋าจิ่วติ่งกลับมา เจ้าหมอนี่ก็ออกไปข้างนอกบ่อยๆ ตั้งปณิธานว่าจะปรับเปลี่ยนสำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์ให้กลายเป็นสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนบำเพ็ญพรตทั้งสิบเขตเก้าราชวงศ์

ในที่สุดหานเจวี๋ยถึงเข้าใจว่าเหตุใดก่อนหน้านี้หลี่ชิงจื่อถึงชอบออกไปเตร็ดเตร่ข้างนอก ที่แท้ก็สืบทอดต่อกันมานี่เอง

หลังจากทำภารกิจประจำวันเสร็จ หานเจวี๋ยก็ฝึกฝนต่อ

ช่วงชิงเวลาให้สามารถเอาชนะเซวียนฉิงจวินให้ได้ในเร็ววัน ไม่อย่างนั้นเขาก็มักจะรู้สึกไม่ปลอดภัย

……

ภายในตำหนักใหญ่ของพระราชวังปรักหักพังแห่งหนึ่ง

ชายผมขาวในชุดมังกรสีดำกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้มังกร ใบหน้าของเขาหล่อเหลาพิกล ริมฝีปากสีแดงเข้ม มองดูก็รู้ว่าใช่คนที่มีจิตใจดีงาม

เขาก็คือจักรพรรดิมารจี้ไน่เหอ

ด้านข้างเก้าอี้มังกรมีสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นนอนหมอบอยู่ บนคอของมันมีห่วงเหล็กสีดำพันธนาการไว้ ทำให้ดูไม่ต่างจากสุนัขเฝ้าบ้านตัวหนึ่ง

สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นจ้องมองไปด้านหน้าแน่นิ่ง ราวกับสูญเสียซึ่งวิญญาณ

“ในที่สุดก็กลับมาแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าราชวงศ์ของข้าในตอนนั้นรุ่งเรืองเพียงใด” จี้ไน่เหอเอ่ยพึมพำกับตัวเอง

สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นไม่ได้เอ่ยตอบ มันเคยชินกับการพูดคนเดียวของจี้ไน่เหอไปแล้ว

ในสายตาของมัน จี้ไน่เหอกลายเป็นคนบ้าโดยสมบูรณ์

ในเวลานั้นเอง

เสียงฝีเท้าระลอกหนึ่งดังเข้ามา เห็นเพียงเงาร่างสองเงาเดินเข้ามาภายในตำหนัก

สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นปราดตามองอย่างไม่รู้ตัว จากนั้นก็นิ่งอึ้งไป มันกะพริบตาปริบๆ เมื่อมองอย่างละเอียด สีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นตกตะลึง

นี่ก็ไม่ใช่…

ศิษย์ของนายท่าน!

ซูฉี!

ซูฉีที่ตามมารหลัวฉิวมาก็มองเห็นสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นแล้วเช่นกัน แต่เขาไม่ได้คิดอะไรให้มากความ

ในปีนั้นก่อนที่เขาจะจากไป สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นยังเป็นเพียงสุนัขอ้วนตัวหนึ่ง ท่าทางเชื่องๆ ดูน่ารัก ทว่ายามนี้เมื่อมองดูแล้วกลับโหดร้ายเป็นยิ่งนัก

“ท่านจักรพรรดิมาร ข้าน้อยคือมารฉิวหลัว ยินดีรับใช้ท่านจักรพรรดิมาร” มารฉิวหลัวกุมมือคารวะและกล่าวด้วยรอยยิ้ม

จี้ไน่เหอมองประเมินเขาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “เจ้าก็คือผู้ที่ให้คนเรียกข้ามาสินะ เอ่ยมาเถิด หากข้ารวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งได้ เจ้าต้องการสิ่งใด”

มารหลัวฉิวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาทสามารถรวบรวมใต้หล้าให้เป็นหนึ่งได้ นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการมากที่สุด วันหน้าเมื่อข้าบินขึ้นสู่สวรรค์ จะต้องไปเข้าร่วมวังมารที่แดนสวรรค์อย่างแน่นอน นี่คือภารกิจที่วังมารมอบหมายไว้ให้พวกเราในฝัน”

จี้ไน่เหอพยักหน้าเล็กน้อย

เขามองไปทางซูฉี ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเอ่ยถาม “คนผู้นี้คือใคร”

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อเขามองเห็นซูฉีแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ลึกๆ

“นี่คือศิษย์ของประมุขมาร ได้รับการสืบทอดจากประมุขมาร ประมุขมารกำลังยุ่งอยู่กับการฝึกฝน เลยปฏิเสธคำเชื้อเชิญของข้าแบบอ้อมๆ ให้ศิษย์ของเขามารับใช้ท่าน” มารหลัวฉิวเอ่ยตอบ

อันที่จริงเขาก็ไม่ถูกชะตากับซูฉีเช่นกัน แต่สถานะของซูฉีสำคัญ เป็นตัวแทนของประมุขมาร สามารถช่วยพวกเขาผสานฝ่ายมารได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

จี้ไน่เหอเอ่ยถาม “ประมุขมารไม่อยากรับใช้ข้า?”

มารหลัวฉิวเอ่ยตอบ “คนผู้นี้มีนิสัยรักสันโดษ อีกทั้งยังชอบการเข่นฆ่า ไม่เข้าร่วมกับพวกเราก็ดีแล้ว ขอเพียงมีความเห็นชอบจากเขาก็เพียงพอ”

จี้ไน่เหอพยักหน้าด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก เขาค่อยๆ ยกมือขวาขึ้นชี้ไปทางสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้น กล่าวกับซูฉีว่า “ตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าก็ช่วยข้าเลี้ยงสุนัข ถือโอกาสเฝ้าดูมันด้วย”

ซูฉีไม่กล้าปฏิเสธ ทำได้เพียงตอบรับเท่านั้น

สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นลอบดีใจ หรือนายท่านจะส่งซูฉีมาช่วยมัน

เช่นนี้ก็ดี อย่างน้อยข้างกายก็มีคนของตน!

“ข้าอยากให้เจ้าช่วยธุระข้าสักเรื่อง” จี้ไน่เหอจ้องมองมารหลัวฉิว เอ่ยขึ้นอย่างเรียบนิ่ง

“เรื่องใดหรือ”

“ไปยังต้าเยี่ยน หาสำนักที่มีชื่อว่าหยกพิสุทธิ์ สังหารผู้บำเพ็ญผู้หนึ่งที่มีนามว่าหานเจวี๋ย”

เมื่อวาจานี้เอ่ยออกไป สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นและซูฉีต่างมีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที

มารหลัวฉิวนิ่งอึ้ง

สำนักหยกพิสุทธิ์อีกแล้ว!

เหตุใดจักรพรรดิมารก็คิดพุ่งเป้าไปที่สำนักหยกพิสุทธิ์เช่นกัน

……………………………………….