ตอนที่ 153 ไอคิวที่ถูกมองข้าม

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

ตราบใดที่ผนวกบรรพตสละฟ้าเข้ามาได้ ต่อให้การเกี่ยวดองกับสมาพันธ์อู่ซิ่งในครั้งนี้ไม่ประสบผล ความดีความชอบของเราผู้เฒ่าก็ยังมหาศาลอยู่ดี

“เรื่องเป็นอย่างนี้…”

ซุนไป๋เล่าถึงที่มาที่ไปของเรื่องก่อนหน้านี้ให้เจ้าสำนักและเหล่าอาวุโสฟังรอบหนึ่ง แน่นอน ในเรื่องเล่าย่อมมีการใช้วาทศิลป์อย่างพอเหมาะพอเจาะ ทั้งยังเปี่ยมจินตนาการชวนฝันอีกต่างหาก

อาทิเช่น ความไม่เอาไหนของประมุขจวง ความใจทรามของฉินจิ่วเกอ และความอำมหิตเลือดเย็นของสี่ประมุขขุนเขา

ซุนไป๋ให้ความสำคัญกับการพรรณนาตัวละครและโครงสร้างแวดล้อมการใช้ภาษาเป็นพิเศษ

ด้วยทักษะการใช้ภาษาชั้นเซียน ภาพการประจันหน้ากับสี่กลั่นดวงธาตุของซุนไป๋ก็ราวกับมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง ดูท่าทางของซุนไป๋นั่นสิ ช่างไร้หวาดกลัวถึงเพียงไหน มันไม่เพียงปกป้องชื่อเสียงเกียรติยศของเขาพิรุณเซียนอย่างไม่กลัวตาย ยังใช้ความดีชนะใจฝูงชน หอบหิ้วกำไรก้อนโต้กลับสู่พรรคอีกต่างหาก

ความหัวใสของมัน ความกล้าของมัน ความอุตสาหะและความตั้งมั่นของมันช่างเฉิดฉายปานไหน เหมือนดวงดาราที่ส่องแสงอยู่บนม่านรัตติกาล

อุทิศตนเพื่อหน้าที่ ไม่ตายไม่เลิกรา ซุนไป๋รู้สึกว่าคำพูดประโยคนี้ช่างพรรณนาตัวมันได้ตรงเผงที่สุด

สิ้นเสียง ทั้งห้องประชุมก็ต้องอยู่ในความเงียบไร้เสียง

สามอาวุโสกลั่นดวงธาตุขั้นเจ็ดเริ่มตัวสั่นงั่กๆๆ การเสียสละปานนั้น น่าแตกตื่นหวาดกลัวปานไหน น่ากลัวจนแทบต้องเผ่นป่าราบ

เจ้าสำนักยังไม่ค่อยจะมีปฏิกิริยาตอบสนองเท่าใด ในใจคิดเพียงหากดึงสามกลั่นดวงธาตุขั้นเจ็ดกับกลั่นดวงธาตุขั้นแปดเข้ามาได้ กำลังรบของเขาพิรุณเซียนจะต้องเหนือกว่าอีกสามตระกูลอย่างแน่นอน

ช่างเป็นข่าวดีอะไรเช่นนี้ เทียบกับการเกี่ยวดองกับสมาพันธ์อู่ซิ่งแล้วยังน่าใจเต้นกว่ากันนัก

หลังสาธยายยืดยาวจนเสร็จสิ้น ซุนไป๋ก็เชิดคอหงส์ของมันอย่างภาคภูมิ รอให้คนแห่ร้องชื่นชม

บรรยากาศยังเงียบต่อไปสักพัก อากาศแห้งชื้นในห้องประชุมเริ่มช่ำชื้นจนแทบกลายเป็นหยาดฝนเทตกลงมา เหล่าอาวุโสผู้กุมอำนาจในตระกูลเป็นพวกแรกที่ตอบสนอง ตอนแรกก็เหมือนกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ สำนักนั้นคล้ายตระเตรียมเข้าร่วมสานสัมพันธ์กับเขาพิรุณเซียนจนแทบอดใจไม่ไหว

ต้องขอบอกว่า ซุนไป๋ครั้งนี้ทำได้ดีจริงๆ ดีจนเจ้าสำนักต้องกล่าวชมมันอยู่หลายคำ “ทำได้ดีมาก จริงสิ พวกมันมาจากขุมกำลังไหนกันล่ะ ทำไมถึงได้รู้สึกคุ้นหูแปลกๆ ”

“บรรพตสละฟ้า! ” ซุนไป๋ไม่เข้าใจ พวกเจ้าใช่นัดกันมาท้องผูกหรือไม่?

โครม!

อาวุโสท่านหนึ่งร่วงตกเก้าอี้ ร่างกายเริ่มสั่นเทิ้มขึ้นมา

“ซี๊ด! ” ในศีรษะของเจ้าสำนักคล้ายมีเข็มอาบยาพิษทิ่มแทงเข้าไปอย่างจัง

มารดามันเถอะ เพิ่งจะประชุมกันเรื่องการกลับมาของบรรพชนเฒ่าบรรพตสละฟ้าอยู่แหมบๆ เพียงชั่วพริบตา ตนก็กำลังจะไปฮุบตระกูลเขา แถมยังจะให้พวกมันมาเป็นกองกำลังใต้บัญชา?

ฝ่ายนั้นเป็นถึงกฎสรรพสิ่งเชียวนะ! ซ้ำยังเป็นผู้ฝึกวิชาปีศาจที่มาจากเผ่าพิสดาร กล่าวได้ว่าเป็นผู้ที่มีความบาดหมางกับสามเผ่าพันธุ์อย่างลึกล้ำ

หาที่ตาย นี่คือการหาที่ตายแท้ๆ

ยิ่งต้องไม่พูดว่าวิธีการหาที่ตายนี้ช่างเปี่ยมไปด้วยความกล้าและชั้นเชิงอันสูงล้ำอีกด้วย

เรียกได้ว่าเป็นการเปิดเส้นทางสายใหม่ สามารถนำไปเก็บไว้ในสารานุกรมแห่งการรนหาที่ตายได้เลย ถ้าหากเฒ่าเสียเยว่ถูกกระตุกหนวด แม้แต่เผ่ามนุษย์ก็ไม่อาจปกป้องพวกมันได้

“เจ้าสำนัก ข้าท้องไส้ไม่ค่อยจะดีกะทันหัน จำต้องรีบไปขอใบสั่งยาจากสมาคมนักปรุงยาเป็นการด่วน และจะกลับมาในอีกหนึ่งร้อยแปดสิบปีข้างหน้า” กลั่นดวงธาตุคนหนึ่งชิงเอ่ยปากเป็นคนแรก เตรียมชิ่งหนีเต็มที่ ยืนกรานว่าจะไม่ขออยู่ในเมืองเทียนเอินอีกสักเสี้ยววินาทีเดียว

ล้อกันเล่น หากนี่เป็นกลั่นดวงธาตุหรือแหวกชำระกายา ทุกคนก็แค่กัดฟันยอมรับสถานการณ์กันไป แต่คนที่เจ้าไปก่อกวน ดันต้องเป็นผู้ฝึกวิชาปีศาจกฎสรรพสิ่ง พวกข้าไม่ร่วมหอลงโรงด้วยหรอกนะ!

นี่จะต่างอะไรกับการไปนอนอยู่ข้างหลุมถ่าย ห่างจากความตายอยู่แค่คืบเดียว

“เจ้าสำนัก พวกเราเองก็ปวดท้องกะทันหัน! ” แม้แต่อาวุโสเขาพิรุณเซียนยังต้องใช้ข้ออ้างประดานี้ออกมา

เจ้าสำนักหน้าซีดเผือด มันเองก็รู้สึกปวดเบาขึ้นมาเป็นการด่วนเหมือนกัน แต่ก็บังคับตัวเองให้ถามต่อ “ทุกท่านโปรดอยู่ในความสงบก่อน นี่อาจเป็นคนชื่อแซ่เหมือนกันก็ได้ หรือไม่ก็เป็นตัวปลอม? ”

“โอ! ”

ทุกคนกลับมานั่งประจำที่ เจ้าสำนักช่างปราดเปรื่องโดยแท้ เป็นผู้มองการณ์ไกลอย่างแท้จริง

ซุนไป๋งุนงงไปหมดแล้ว พวกเจ้าใช่กำลังอิจฉาที่ข้าทำความดีความชอบอย่างใหญ่หลวงกันอยู่หรือไม่ คอยดูเถอะ เดี๋ยวพวกโง่งมอย่างเจ้าจะได้ตาสว่างเอง

“จริงสิ นี่ก็คือตราประทับของพวกมัน ประมุขน้อยของบรรพตสละฟ้ายังบอกไว้ว่า อีกสามวันให้หลัง บรรพชนเฒ่าจะพาพวกมันทั้งหมดมาหาพวกเราถึงในเมือง เพื่อรับการแต่งตั้งให้เป็นข้ารับใช้ของเขาพิรุณเซียนเรา”

ตราประทับทองคำขนาดราวสามชุ่นพลันสาดแสงสะท้อนไปทั่วทุกมุมห้อง ช่างสว่างบาดตาถึงเพียงไหน ถึงขนาดมีเทพมังกรมาบินวนอยู่เหนือตราประทับเลยด้วยซ้ำ อา ดูมันสิ บินฉวัดเฉวียนไปมาราวกับมีชีวิตอยู่เลยก็ปาน

เส้นสายลายสลักเสลาสี่ทะเลนั้น สอดคล้องคล้อยตามกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติ เหมือนอย่างแมกไม้ขุนเขาที่แม้อาจจะเจริญเติบโตมาพร้อมกัน แต่ก็ไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง

ใต้ตราประทับ ครึ่งหนึ่งเป็นสีแดงเลือด ราวกับเส้นเลือดที่สกัดออกจากทะเลโลหิต

สุดท้าย บนตัวประทับยังสลักคำว่าสละฟ้าเอาไว้สองคำอย่างชัดเจน แผ่กลิ่นอายฆ่าฟันออกมาอย่างเข้มข้น บันดาลให้ผู้พบเห็นต้องใจเต้นไม่เป็นส่ำ ความกลัวท่วมท้นใจ

ใต้คำสละฟ้า มีคำเสียเยว่ (จันทราเลือด) ฟ้าจาง และทลายภพ

ทุกคำล้วนท้าทายฟ้าดิน ดูถูกทุกสรรพชีวิต

ไร้น้ำใจ อำมหิตถึงแก่น อำมหิต ย่อมสามารถฆ่าล้างทุกสรรพชีวิต มองเลือดเนื้อเป็นเหมือนพืชผัก

ศาสตราศักดิ์สิทธิ์ระดับกลาง หากภายในมีพลังแห่งกฎเกณฑ์ไหลเวียนอยู่ ฤทธิ์เดชก็จะไม่ด้อยไปกว่าระดับสูง

ภูมิความรู้ของเจ้าสำนักย่อมอยู่เหนือซุนไป๋เป็นธรรมดา

ทันทีที่เห็นตราประทับ โดยเฉพาะร่องรอยพลังแห่งกฎเกณฑ์บนนั้น มีเพียงชนชั้นกฎสรรพสิ่งเท่านั้นจึงสามารถใช้กฎเกณฑ์ทลายเหล็กกล้าโดยไม่ต้องใช้อักขระยันต์ในการสร้างทำนองวิญญาณขึ้นมา

มีเพียงพลังแห่งกฎเกณฑ์ จึงจะเป็นผู้เข้มแข็งอย่างแท้จริง กระทั่งสามารถปูเส้นทางของตัวเองได้

จบสิ้นแล้ว จบสิ้นแล้วจริงๆ!

เจ้าสำนักตาเพ่งมองไปที่ปลายจมูก ช่างเสื่อมเสียโดยแท้ มือข้างที่ถือประทับบรรพตผนึกธาตุเอาไว้แน่นกำลังสั่นเทิ้มไม่หยุด หนึ่งหยด สองหยด เหงื่อไหลลงจากใบหน้า จนเปียกชุ่มไปทั้งตัว

ภายในห้องประชุม เกิดเป็นบรรยากาศตึงเครียดราวโลกาวินาศ

ทุกคนในที่นี้ พอเห็นสีหน้าของเจ้าสำนัก ก็ต้องรู้สึกสมองลัดวงจรไปตามๆ กัน

ตราประทับชิ้นนั้น คือศาสตราศักดิ์สิทธิ์ขั้นกลางที่แม้แต่เขาพิรุณเซียนก็ยังไม่อาจหามาเทียบเคียงได้

เช่นนั้น ที่บอกว่าชื่อเหมือนกันหรือมีคนปลอมตัว ย่อมตัดออกไปได้เลย

ความเป็นไปได้ที่เหลืออยู่ ไม่ใช่……

หากบอกว่าไม่กลัว ใครเล่าจะไม่กลัว ราชันมารเลือดเย็นระดับนั้น แม้แต่เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ขั้นสูงสุดของทั้งสามเผ่ายังไม่อาจรับมือด้วยได้

แล้วพวกมันไม่กี่คนนี้ ต่อให้ร้องไห้หาปู่ย่าตายาย เอาแค่อีกฝ่ายไม่มาตอแยพวกตนก็ถือว่าฟ้าสวรรค์มีตาแล้ว

แต่ตอนนี้เล่า? ไม่เพียงไปวอแวรบกวนถึงบ้านท่านสามครั้งห้าเที่ยว ยังไปสั่งให้เขามาสวามิภักดิ์ด้วยอีก กระทั่งสั่งให้เฒ่าเสียเยว่ มาเข้าร่วมการรับตำแหน่งจากเขาพิรุณเซียน

ผู้ฝึกวิชาปีศาจชั้นกฎสรรพสิ่ง นั่นเป็นถึงผู้ฝึกวิชาปีศาจชั้นกฎสรรพสิ่งเชียวนะ!

คนที่เข้าร่วมการประชุม แต่ละคนเป็นต้องยกมือกุมศีรษะ ถูตา ขมวดคิ้ว น่ายินดี น่ายินดีจริงๆ น่ายินดีจนแทบหลั่งน้ำตาอยู่แล้ว

นี่ไม่ใช่โง่เง่าแล้ว แต่ไม่มีสมองอยู่เลยต่างหาก เป็นสุนัขโง่งมตัวหนึ่ง เป็นสุกรตัวหนึ่ง!

หาที่ตาย ยังไม่ต้องทำถึงขั้นนี้เลย

ในบรรดาคนทั้งหมด มีใครบ้างที่ไม่อยากอยู่ต่อไปอีกสักห้าร้อยปี?

ซุนไป๋เพิกเฉยต่อสายหลายสิบคู่ที่กำลังจ้องมองมันปานจะกินเลือดกินเนื้อ นัยน์ตาอันแดงก่ำของมันเพียงจดจ่ออยู่ที่ตราประทับบรรพตผนึกธาตุสีแดงเลือดชิ้นนั้น

นั่นเป็นถึงสมบัติที่แท้จริงเลยนะ หากมีศาสตราศักดิ์สิทธิ์ระดับกลางแล้วละก็ กำลังรบของซุนไป๋ อย่างน้อยย่อมต้องเพิ่มขึ้นมาอีกสามส่วน

เห็นเจ้าสำนักยังคงไม่ละสายตาออกจากตราประทับ ซุนไปก็กังวลว่าอีกฝ่ายจะโลภมาก ดังนั้นจึงกล่าวอย่างกระดากอาย “เจ้าสำนัก เพื่อเขาพิรุณเซียนของพวกเรา เรียกได้ว่า ข้าอุทิศตนเพื่อหน้าที่ ไม่ตายไม่เลิกรา”

วาจาเพิ่งหลุดออกจากปาก เหล่าอาวุโสที่กำลังแตกตื่นพรึงเพริดกันอยู่จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรขย้อนขึ้นมาจากภายใน ทำเอาพวกมันแทบอาเจียน

เจ้าสำนักเวลานี้อยากตามหาต้นไม้ที่มีกิ่งโน้มลงมาสักต้น แล้วปีนขึ้นไปแขวนคอเพื่อสงบจิตสงบใจให้รู้แล้วให้รอด เจ้าคนโง่เง่าเต่าตุ่นพรรค์นี้ ยามหน้าสิ่วหน้าขวานไม่เพียงไม่ช่วยอะไร กลับราดน้ำมันลงกองไฟเสียอย่างนั้น

ซุนไปยังรู้สึกมั่นอกมั่นใจอยู่ไม่น้อย จึงกล่าวอย่างภูมิใจว่า “คือข้ากำลังบอกว่า ในเมื่อบรรพตสละฟ้ายอมสวามิภักดิ์ต่อเรา ตราประทับของพวกมันไม่สู้ยกให้ข้าจะดีกว่า ดีร้ายยังไงข้าก็ทำเพื่อเขาพิรุณเซียนอย่างถวายหัว จนได้ขุมกำลังที่เก่งกล้าขนาดนี้มาเข้าพวก”

“เจ้ามาใกล้ๆ ซิ” เจ้าสำนักตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ทน ก่อนอื่นก็ทุบเจ้าโง่นี่สักตุ้บสองตุ้บก่อนเลยแล้วกัน

ซุนไป๋รีบกุลีกุจอเข้ามาหา ศีรษะของมันเงยขึ้นเล็กน้อย ตาเล็กหยีของมันก็หรี่ลงเล็กน้อย จนแทบมองอะไรไม่เห็น

ปง!

พอเห็นซุนไป๋เข้ามาใกล้ เจ้าสำนักก็ไม่เกรงอกเกรงใจ คว้าตราประทับขึ้นมาแล้วเขวี้ยงใส่หน้าผากของซุนไป๋อย่างไม่ออมแรง

บังเกิดเสียงระเบิดกัมปนาทคราหนึ่ง พร้อมเสียงร้องโหยหวนของซุนไป๋ หน้าผากเหมือนน้ำพุที่พุ่งกระฉูด เลือดสดๆ ไหลทะลักออกมาพร้อมเศษเนื้อและกระดูกอีกเล็กน้อย

ศาสตราศักดิ์สิทธิ์ระดับกลาง กอปรกับพลังเก้าดวงธาตุสูงสุดของเจ้าสำนัก คิดลงทัณฑ์ซุนไป๋ที่อยู่กลั่นดวงธาตุขั้นแปดนั้น ย่อมไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรงเลย

ซุนไป๋ยกมือกุมหน้าผาก กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนพื้น เหมือนปลาไหลที่พลัดตกลงไปในหม้อน้ำมัน แขนขาทั้งสี่บิดกระตุกจนผิดที่ผิดทาง

“เขวี้ยงได้เยี่ยม! ” คนเขาพิรุณเซียนมิใช่แค่แผ่นเหล็กทื่อมะลื่อ จึงมีอาวุโสผู้กุมอำนาจบางคนที่ไม่พอใจซุนไป๋อยู่นานแล้ว

หากวันปกติเจ้าทำตัวโง่งมนั้นยังพอว่า แต่ในช่วงเวลาหน้าสิวหน้าขวานอย่างนี้ ลูกวัวอย่างเจ้ากลับก่อเรื่องสร้างราวไปทุกที่ ต่อให้เป็นกลั่นดวงธาตุก็ไม่ทงไม่ทนมันแล้ว

สามอาวุโสผู้กุมอำนาจต่างก็อยู่ในขอบเขตกลั่นดวงธาตุขั้นเจ็ดกันหมด พวกมันไม่รอช้า คว้าเก้าอี้ข้างตัวขึ้นมาก่อนจะพุ่งเข้าไปรุมยำซุนไป๋คนละผัวะสองผัวะ

พวกที่ยืนส่งเสียงให้กำลังใจอยู่มีบ้างที่อยากจะลองสักป้าบ แต่ถึงแม้พวกมันจะไม่ได้เข้าร่วมด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่ลืมที่จะส่งเสียงเชียร์อย่างคึกคะนอง

ตีได้เยี่ยม ตีได้สาแก่ใจยิ่งนัก เรียกว่าเป็นเรื่องน่ายินดีแห่งทวีปฉงหลิงเลยก็ยังได้

“พอแล้ว” ขณะที่ทุกคนกำลังรุมลงทัณฑ์ซุนไป๋อย่างไม่ยั้งมืออยู่นั้น เจ้าสำนักก็ส่งเสียงปราม เอาไว้สะสางเรื่องบรรพตสละฟ้าเสร็จก่อนค่อยว่ากันต่อ

คนสนิทของซุนไป๋รีบเข้ามาช่วยพยุงตัวมันขึ้น พร้อมเช็ดเลือดบนใบหน้าให้ด้วย จากนั้นกระซิบที่ข้างหูมัน ซุนไป๋ถึงค่อยเข้าใจว่าเพราะเหตุใดทั้งเจ้าสำนักและเหล่าอาวุโสถึงได้เล่นงานตนเสียยับเยินขนาดนั้น

โง่ มันนี่ช่างโง่เสียจริงๆ

ยังไม่ทันจะสืบค้นปูมหลังของบรรพตสละฟ้าให้ดี ก็ทะลึ่งไปชักศึกเข้าบ้านเสียแล้ว ซ้ำยังมีหน้าจะไปชวนบรรพชนเฒ่าของมันมาเป็นน้องเล็กเสียด้วย

มิน่า ชื่อบรรพตสละฟ้าถึงได้ฟังคุ้นหูปานนั้น เมื่อพันปีก่อน เป็นเฒ่าเสียเยว่ที่สร้างชื่อเสียงเขย่าสั่นไปทั่วสองเผ่าพันธุ์มนุษย์อสูร

ในตอนนั้น กำลังรบโดยรวมของเมืองเทียนเอินในสายตาผู้อื่นก็ไม่ต่างไปจากมดปลวกเท่านั้น

พบเห็นสายตากล่าวโทษจากเจ้าสำนัก สายตาสะอิดสะเอียนจากสหายร่วมพรรค กระทั่งลามไปถึงศิษย์ของมันบางคนที่รู้สึกขายหน้าและดูถูก ซุนไป๋จริงๆ แล้วเป็นคนที่มีความรู้สึกไว มันไม่พูดมากความ เพียงยกมือซ้ายแล้วตบลงบนแก้มอย่างจัง

เพียะ!

ฝ่ามือนี้ไม่มีการออมแรง ไม่ใช่ทำเพื่อให้เห็นเฉยๆ แต่เป็นการตบหน้าตัวเองอย่างแท้จริง

เพราะใช้เรี่ยวแรงทั้งหมด ใบหน้าซีกซ้ายของซุนไป๋จึงพองบวมขึ้นมาทันตาเห็น ดูไปเหมือนซาลาเปาสีม่วงแดงลูกหนึ่ง แลดูน่าขวัญผวายิ่ง

ทุกคนเห็นภาพนี้แล้วอยู่ๆ ก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา ก็เลยจัดประชุมกันต่อ นอกจากตอนแจกจ่ายทรัพยากรประจำเดือนแล้ว พวกมันก็ไม่เคยรู้สึกสดชื่นหัวใจพองโตขนาดนี้

มีแต่เจ้าสำนักที่ยังคงสลัดความขุ่นหมองในใจไม่ได้ ดังนั้นจึงถลึงตามองซุนไป๋อยู่เป็นพักๆ

พอเห็นท่าทีของเจ้าสำนัก พวกที่เหลือก็ไม่ลืมที่จะโยนหินใส่คนตกน้ำ ใช้สายตาแผดผลาญจ้องมองซุนไป๋ราวกับจะให้มันหลอมละลายไปตรงนั้น

เสียงถอนใจยาว ซุนไป๋สูดลมหายใจลึก เลือดสูบฉีดขึ้นใบหน้า

เพียะ!

เสียงผิวหนังกระทบกันดังขึ้นอีกครา คราวนี้เป็นแก้มขวา และเพียงพริบตาก็ปรากฏซาลาเปาขึ้นอีกลูก แถมยังสมมาตรกับข้างซ้ายอย่างพอดิบพอดี

ใช้ได้ ซ้ายขวา เท่าเทียมกันดี ทุกคนเห็นดังนี้ โทสะก็ลดหลั่นลงไปครึ่งใหญ่

“มันน่านัก! ” เจ้าสำนักตบโต๊ะพลางแผดเสียง

ซุนไป๋สะอึกสะอื้นแล้ว แต่ก็ไม่กล้ายกมือปาดน้ำตา ได้แต่ลดศีรษะลงท่าเดียว

“ข้าถามเจ้าอีกอย่าง เจ้าคงไม่ได้ไปลงไม้ลงมือกับพวกมันหรอกนะ? ” เจ้าสำนักแค่คิดก็ขนลุกเกรียว

เฒ่าเสียเยว่ นั่นคือเพชฌฆาตบ้าเลือดที่แท้จริง คือผู้ฝึกวิชาปีศาจที่แม้แต่จันทราบนฟากฟ้ายังต้องเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด

“ไม่ ข้าไม่ได้ทำ”

ซุนไป๋สั่นศีรษะสุกรของมันไปมา ถ้าพูดกันเรื่องนี้ เป็นเจ้าเด็กไร้ยางอายฉินจิ่วเกอนั่นต่างหากที่สั่งให้คนลงไม้ลงมือกับมัน

แต่ถ้าถามว่าโกรธเคืองหรือไม่ ซุนไป๋กลับโกรธไม่ลง ถึงยังไงมันก็เป็นฝ่ายไปบีบคั้นพวกนั้นก่อน

แล้วอีกอย่าง ตัวตนอย่างเฒ่าเสียเยว่ ขอแค่มันไม่มาจับตนไปหลอมดวงจิตก็ถือเป็นพรจากบรรพบุรุษแปดชั่วโคตรแล้ว