“งั้นก็ดี” เจ้าสำนักถอนใจไปเปลาะหนึ่ง ในเมื่อไม่ได้ลงมือกับพวกมัน ความแค้นระหว่างพวกตนย่อมไม่ร้ายแรงเท่าใด
มีอาวุโสผู้กุมอำนาจอีกท่านยืนขึ้นแล้วกล่าวว่า “เจ้าสำนัก เรื่องด่วนตอนนี้คือการรักษาสัมพันธ์อันดีกับบรรพตสละฟ้า หากสามารถร่วมมือกันได้ เทียบกับตระกูลจวงแล้วยังประเสริฐกว่า”
ชนชั้นกฎสรรพสิ่ง สยบหมื่นมวล กวาดกราดไปทั่วหล้า
แม้กฎสรรพสิ่งในปัจจุบันจะไม่เผยตัว เผ่ามนุษย์ที่มีประชากรนับพันๆ ล้าน ชนชั้นกฎสรรพสิ่งเกรงว่าจะมีอยู่เพียงหนึ่งถึงสองร้อยท่านเท่านั้น
ฝึกเซียนมุ่งวิถีฟ้าพลิกชะตาสวรรค์ ผู้สามารถขัดเกลาถึงขั้นสุดยอด ย่อมไม่อาจนำจำนวนสัดส่วนของคนทั่วไปมาเทียบเคียงได้
“เจ้าพูดได้ดี ตอนนี้เรายังเหลือเวลาอีกสามวัน มากพอให้แก้ตัวไถ่โทษ ไปหาวิธีกระชับความสัมพันธ์กับบรรพตสละฟ้ามาซะ” ต่างฝ่ายต่างก็มีคำว่าภูเขาอยู่ในชื่อ นับว่ามีวาสนาต่อกันนัก เจ้าสำนักคิดดังนี้ก็รู้สึกอุ่นใจ
ซุนไป๋ที่ยืนตัวลีบอยู่ทำปากขมุบขมิบคล้ายมีเรื่องจะพูด แต่ก็ไม่กล้าพูด
เจ้าสำนักใจเต้นผิดจังหวะไปวูบหนึ่ง บนหน้าผากเริ่มมีเหงื่อซึมออกมา “เวลาสามวันที่เจ้าว่า ตอนนี้เหลือเท่าไหร่กันแน่? ”
ซุนไป๋แทบร่ำไห้ “พรุ่งนี้ตอนบ่ายคือเวลานัดหมาย ประมุขน้อยบรรพตสละฟ้าผู้นั้นบอกว่า บ่ายโมงตรง พวกมันบรรพตสละฟ้าและบรรพชนเฒ่าจะมารับตำแหน่งที่เมืองเทียนเอินกันถ้วนหน้า! ”
“รับน้องสาวเจ้าสิ! ”
เพียะ!
อีกหนึ่งฝ่ามือ ครั้งนี้เจ้าสำนักเป็นคนลงมือเอง ส่งร่างซุนไป๋กระเด็นข้ามห้องไป
กลั่นดวงธาตุขั้นแปด ในระยะทางล้านลี้ อย่างมากเวลาที่ใช้ข้ามมิติก็ควรไม่เกินเก้าชั่วยาม
แต่เจ้าหมอนี่กลับเอ้อระเหยลอยชายถึงสองวัน เช่นนั้นก็แปลว่า เวลาที่เหลืออยู่มีไม่ถึงหนึ่งวันแล้ว
ทุกคนเป็นต้องโง่งมไปตามๆ กัน หากเขาพิรุณเซียนกล้ารอให้บรรพตสละฟ้าเดินทางมาถึงเมืองด้วยตัวเองกันจริงๆ เช่นนั้นที่รอพวกมันอยู่ ย่อมเป็นหายนะไม่ผิดแน่
ต่อหน้าสามตระกูลที่เหลือ เขาพิรุณเซียนถือว่าอ่อนด้อยที่สุด และต้องถูกเฒ่าเสียเยว่กวาดล้างไปกว่าครึ่งแน่
จากนั้น อีกสามตระกูลที่เหลือก็จะเข้ามาซ้ำเติม ในขณะยอมรับเฒ่าเสียเยว่เป็นบรรพชนเฒ่า ก็ฮุบกลืนเขาพิรุณเซียนไปด้วย
พวกมันเหล่านี้ทำให้เผ่ามนุษย์สะเทือนเลื่อนลัน ต่อให้รอดชีวิตกลับไปได้ ก็ไม่มีวันมีจุดจบที่ดี
เจ้าสำนักรู้สึกว่าฉินจิ่วเกอเป็นคนซื่อตรงผู้หนึ่ง
ตอนนี้เมื่อบรรพตสละฟ้าเผยกำลังเต็มที่ ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่แค่จะมาเอาทรัพยากรเล็กน้อยจากเมืองเทียนเอิน ต่อให้ท่านต้องการเข้ามาเป็นนายเหนือครองเมือง ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
แต่ตอนนี้พวกมันกลับเพียงต้องการเงิน ไม่ต้องการยึดครองอาณาเขต ช่างเป็นคนเรียบง่ายและพอใจกับเรื่องเล็กๆ ถึงเพียงไหน แต่ดันถูกเจ้าคนไร้สมองอย่างซุนไป๋นั่นทำเสียเรื่อง จนแทบจะนำหายนะล้างพรรคมาให้เขาพิรุณเซียน
พอตระหนักว่าจะรออีกไม่ได้ และต้องไปให้ถึงเมืองล่วนโต้วก่อนบ่ายโมงของวันพรุ่ง มิเช่นนั้น เจ้าสำนักเขาพิรุณเซียนไม่กล้าคิดต่อ
“ไป รีบไปเร็ว! ” เจ้าสำนักแหกปากสั่งการจนน้ำลายกระจาย สีหน้าตื่นตระหนกยิ่ง “เตรียมของขวัญชั้นเลิศ เรียกรวมพลเขาพิรุณเซียนทั้งหมด ออกเดินทางไปเมืองล่วนโต้วทันที! ”
ภายใต้คำสั่งการ เขาพิรุณเซียนก็กลายเป็นอลหม่านวุ่นวายขึ้นมาทันที บ้างก็วิ่งหน้าตั้งไปห้องเก็บสมบัติเพื่อคัดเลือกของขวัญ บ้างก็รวบรวมแหวนมิติออกมาใส่ศิลาวิญญาณลงไปจนแน่นเอี้ยด ก่อนที่เฒ่าเสียเยว่จะมาถึง พวกมันจำต้องลบล้างความเข้าใจผิดนี้ไปให้เหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เมืองล่วนโต้ว ฉินจิ่วเกอนั่งอยู่หน้าเตาไฟ ท่ามกลางความมืดที่ปกคลุมโลกหล้า
เปลวเพลิงกะพริบไหว พร้อมกับแสงไฟสีส้มอมแดงที่สาดส่องอยู่บนแก้มอันคมคายของชายหนุ่ม ทำให้เห็นใบหน้าชัดเจน แต่บางครั้งก็ทำให้เครื่องหน้าอันหล่อเหลากลายเป็นพร่าเลือนทว่าเปี่ยมเสน่ห์
นัยน์ตาสีดำขลับทอประกายเหมือนดวงดารา สะท้อนเปลวเพลิงที่กำลังลุกโชนอยู่ แสดงให้เห็นพลังอันอัดแน่นของวัยหนุ่ม
“รอก่อน รออีกหน่อย”
หลังเกิดเป็นความเงียบอยู่ครู่ ฉินจิ่วเกอก็ส่งเสียงออกมา เป็นเสียงที่สงบนิ่งเป็นระเบียบจนน่าแปลก
ประมุขหยางค่อยๆ เข้ามาใกล้ ด้วยเกรงว่าจะรบกวนไปถึงภูตผีวิญญาณในอากาศ เอ่ยเสียงแผ่วเบาราวกระซิบ : “ประมุขน้อย ยามนี้หมื่นอสนีบาตอัคคีวายุล้วนรุมเร้า ไม่อาจลากถ่วงอีกต่อไป เรื่องราวรีบด่วน หากยังไม่ตัดสินใจ ย่อมไม่ต่างจากการนำความเสียหายมาสู่ปลาในบ่อแน่!”
“ยังไม่ถึงเวลา ยังสุกงอมไม่เต็มที่”
ฉินจิ่วเกอยังคงยืนกราน ไม่คิดเคลื่อนไหว ไม่ว่าลมจะกรรโชกหวีดร้องเพียงไรก็ตาม
ประมุขหยางจ้องมองไปที่เปลวไฟอย่างกังวล นภากาศเรียบนิ่งราวผิวน้ำ ทั้งยังแฝงไว้ด้วยลางแห่งการศึก “ตอนนี้ลูกศรก็พาดอยู่บนสายแล้ว มิอาจไม่ยิงออกไป หากมัวแต่ลังเล จำต้องย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง เพียงกลัวว่าสุดท้ายจะได้ไม่คุ้มเสีย”
“รอ”
หนึ่งคำสั้นๆ สายฟ้าวายุทั้งหลายล้วนสงบลง สี่ประมุขขุนเขาก็ไม่เอ่ยอะไรอีก
เปรี๊ยะ
ภายในกองเพลิง มีเสียงแตกเปรี๊ยะสดใสดังขึ้น เหมือนเสียงเปลือกไข่แตกกะเทาะ พร้อมกับชีวิตใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น
สี่ประมุขและฉินจิ่วเกอ จ้องมองกันด้วยแววตาประหลาดใจ ประกายตาบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์และจดจ่อเป็นอย่างยิ่ง
ภายใต้ห้วงจักรวาลอันไพศาล ในระยะพันล้านปีแสงที่มีแต่เพียงความมืดมิด ภายในยอดนภา ปรากฏกองเพลิงขึ้นในเขตอนารยะ ประดุจบรรพชนแห่งอารยะ หรือไม่ก็เปลวเพลิงแห่งสติปัญญาของไท่ฮวง และกำลังยืดขยายออกไปอย่างไร้สิ้นสุด
ตะวันแรกเบิกฟ้า สาดแสง ตะวันขึ้นก่องาน ตะวันลับหลับใหล
“เรียบร้อย! ”
ฉินจิ่วเกอกระเด้งตัวขึ้น คนเป็นศูนย์กลางแห่งท้องนภาแลพิภพ เสียงทอดไกล เป็นเรื่องน่ายินดีที่ยากจะสะกดไว้
“ประมุขน้อยเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี! ”
สี่ประมุขขุนเขาเองก็ลุกขึ้นตาม ก่อนจะเข้ามาห้อมล้อมกองไฟ ทำเหมือนกำลังแสวงบุญด้วยใจอันสงบ
ฉินจิ่วเกอเอามือยื่นเข้าไปในทะเลเพลิงที่กำลังเดือดพล่าน นิ้วยาวขาวผ่องของมันแข็งแกร่งดั่งมังกรแหวกว่ายในทะเลอัคคี ดั่งหงส์เพลิงที่กำลังโบยบินบนท้องนภาดั่งใจหมาย ทะยานไปในห้วงจักรวาลอย่างเป็นอิสระ
“เวลานี้ จึงเป็นห้วงเวลาแห่งความสำเร็จ!”
ฉินจิ่วเกอร่ำร้องออกมาอย่างยินดี เสมือนได้รับสมบัติล้ำค่า
เปรี๊ยะเปรี๊ยะ
ยกศิลา ทำลายเปลือกที่ห่อหุ้มชีวิต ราวกับผานกู่ที่เบิกหยินหยาง ก่อเกิดห้วงโกลาหล
สัมผัสสำเนียงแห่งจักรวาล เบื้องบนไร้แสง เบื้องล่างหมอกมัว ครอบคลุมห้วงโกลาหล ราวเปลือกไข่หุ้มจักรวาล
เมื่อถูกเบิกผ่าออกมา ไท่หวงก็เริ่มต้น!
กลิ่นหอมระลอกหนึ่งครอบงำประสาทรับกลิ่นของคนทั้งห้า นำพามาซึ่งพลังชีวิตอันไร้สิ้นสุด จิตใจพลันเกิดความกระปรี้กระเปร่าอย่างที่ไม่เคยเป็น สี่ประมุขเข้ามาล้อมตัวฉินจิ่วเกอไว้ ประกายแววตากลายเป็นแสงลุกโชนท่ามกลางราตรี
ฉินจิ่วเกอเปิดปาก เคี้ยวคำหนึ่ง จากนั้นแลบลิ้นเลียนิ้ว ส่งเสียงแจ๊บๆ
“อร่อยเป็นบ้า พวกเจ้าลองชิมไก่ย่างของข้าดู ไม่ได้ทำมาหลายปี รู้สึกฝีมือจะขึ้นสนิมอยู่บ้าง แต่รสชาติก็ยังอร่อยอย่าบอกใคร คนเราก็มีการลิ้มรสอาหารนี่แหละที่เป็นสิ่งสวยงามจนไม่มีอะไรมาเทียบได้”
“ประมุขน้อยช่างมีพรสวรรค์โดยแท้ ถึงขั้นทำของชั้นเลิศระดับนี้ออกมาได้ เล่นเอาลิ้นข้าแทบจะละลายตามไปด้วยเลย”
“จิ๊จิ๊ ไม่เลว ไม่เลวเลยจริงๆ แต่ทำไมถึงเหลือแต่กระดูกไก่แล้วล่ะ”
“อะไรคือของดี? นี่แหละคือของดี แม้จะต้องรอนานไปสักหน่อย จนแม้แต่กองไฟก็แทบจะไหม้ดับไปหมดแล้วก็เถอะ”
“เพ้ย อยากกินมากก็ไปจับไก่มาให้ข้าอีกหลายๆ ตัว แล้วอย่าลืมเหลือให้ข้าด้วยล่ะ” ฉินจิ่วเกอตวาด ยังไงนี่ก็เป็นผลจากน้ำพักน้ำแรงของมันเชียวนะ
ประมุขขุนเขาต่างทำเป็นหูทวนลม โดยเฉพาะประมุขหลิว ผู้ที่กำลังนั่งแทะกระดูกไก่จนปากเยิ้มไปหมด เป็นการกินไก่โดยไม่คายกระดูกที่แท้จริง
ช่วงสองวันนี้ ฉินจิ่วเกอว่างงานไม่มีอะไรทำ จึงรังสรรค์เมนูไก่ย่างนี้ขึ้นมา ซึ่งก็ได้รับผลตอบรับจากสี่ประมุขอย่างล้นหลาม
เสียอยู่อย่าง ไก่ในเมืองล่วนโต้ว โดยเฉพาะไก่ที่มีคุณภาพดี เนื้อแน่นหนังตึงนั้น แทบจะถูกวางยาหรือไม่ก็โดนอุ้มไปหมดแล้ว
ตอนนี้ เมืองล่วนโต้วแม้แต่ไก่ขันสักตัวยังหาไม่มี ไก่ออกไข่นั้นยิ่งแล้วใหญ่
อุตสาหกรรมสัตว์ปีกตกอยู่ในความชุลมุน เล้าไก่ที่อยู่มาดีๆ พลันถูกลมฝนซัดสาดไปกับเขาด้วย
ฟ้าเริ่มสว่าง ความมืดเริ่มลับหาย พร้อมกับแสงสว่างจากทางฝั่งตะวันออก
เขาพิรุณเซียนทั้งค่ายพรรค ได้รอนแรมมาถึงเมืองล่วนโต้วในสภาพฝุ่นเกรอะกรังในที่สุด เป็นการเดินทางสายฟ้าแลบเพียงชั่วคืนอย่างแท้จริง
นอกเมือง กลิ่นหอมระคนอุ่นไอยังตกค้างมาจากเมื่อคืน ควบคู่ไปกับขนไก่อาบเลือดที่ถูกละเลยจากการเก็บล้าง เมื่อสายลมพัดมา ในอากาศจึงเจือกลิ่นคาวเลือดอย่างพอหอมปากหอมคออยู่ด้วย
เหล่าอาวุโสเขาพิรุณเซียนยิ่งลังเลยึกยัก สมแล้วที่เป็นผู้ฝึกวิชาปีศาจควบคู่เผ่าพิสดาร แค่ดูจากนอกเมืองก็เรียกได้ว่ากระดูกกองสุมดั่งภูเขา เสียงวิญญาณกรีดร้องหนาวยะเยือก ไม่ทราบมีชีวิตบริสุทธิ์กี่ชีวิตแล้วที่ต้องตายไป กลายเป็นวิญญาณแค้นบนเส้นทางสู่ปรโลกอย่างนับไม่หวาดไม่ไหว
เจ้าสำนักหันไปถลึงตาใส่ซุนไป๋อย่างดุร้ายอีกที ก่อนจะพาอาวุโสผู้กุมอำนาจและผู้ติดตามเข้าสู่เมืองล่วนโต้วอย่างสงบเสงี่ยม
ตระกูลซู ซูมู่ซวนกำลังยืนอยู่หลังประตู ซ่อมประตูไม้ที่ไม่รู้แตกหักไปแล้วกี่รอบอยู่
แล้วก็ไม่รู้ว่าพี่ฉินกำลังคิดอะไร พูดเสียดิบดีว่าจะไปขอที่พึ่งพิงเอากับเขาพิรุณเซียน นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาแล้ว แต่ยังคงเงียบไร้การเคลื่อนไหว ช่างน่าพิศวงจริงแท้
ก๊อก ก๊อก!
จากนอกประตู เกิดเสียงนุ่มนวลอ่อนโยนจนไม่อาจอ่อนโยนไปมากกว่านี้อีกดังขึ้น
เป็นเจ้าสำนักเขาพิรุณเซียนที่เคาะประตูอย่างเบามือสุดชีวิต อากัปกิริยาสุภาพนอบน้อมทุกระเบียดนิ้ว
ทันทีที่ได้ยินเสียงนี้ ซูมู่ซวนพลันเกิดความสะเทือนใจอย่างหาคำมาอธิบายไม่ได้ หลายวันมานี้ ตระกูลซูอยู่ในภาวะล่อแหลมอย่างที่สุด ไม่คาดกลับมีสุภาพชนคงแก่เรียนและเปี่ยมมารยาทเช่นนี้มาเคาะประตูเยี่ยมเยือนถึงที่
ทันทีที่ผลักประตูเปิดออก ที่ยืนอยู่หน้าประตูก็คือมนุษย์ใบหน้าสุกรคนหนึ่ง แก้มซ้ายขวามีรอยประทับอรหันต์อย่างชัดเจน ต่อให้เอาไม้บรรทัดมาวัดก็ยังไม่สมส่วนได้เท่านี้
“ผีหลอก! ”
ซูมู่ซวนเพิ่งจะเปิดประตู ก็ถูกคนหน้าสุกรทำเอาตกใจจนแทบปัสสาวะราด ละทิ้งอุปกรณ์งานช่างในมือวิ่งเผ่นจากไปไกล
เจ้าสำนักเขาพิรุณเซียนปิดปากเงียบด้วยความกลัว ยังนึกว่าเฒ่าเสียเยว่ปรี่เข้ามาหา มีอาวุโสไม่น้อยที่ยามนี้คุกเข่าลงกับพื้นไปแล้ว
ช่วงหลายปีมานี้ ผู้ฝึกวิชาปีศาจได้เอะอะระรานไปทั่วทวีปฉงหลิง ก่อลมมรสุมไปทั่ว
ได้ยินว่ามีศิษย์อัจฉริยะไม่น้อยที่ถูกลอบสังหารหรือฆ่ารัดคอตายยกกลุ่ม กระทั่งมีผู้เยี่ยมยุทธ์ไม่น้อยที่ถูกผู้ฝึกวิชาปีศาจรุมล้อมสังหาร
พรรคโลหิตจาง องค์กรของผู้ฝึกวิชาปีศาจเพียงหนึ่งเดียวบนมหาทวีป และก็เป็นพวกที่โหดเหี้ยมอำมหิตที่สุด
เนิ่นนานก็ยังไม่เห็นเงาของเฒ่าเสียเยว่ เจ้าสำนักจึงค่อยเป่าปากออกมาได้
มันไม่ได้คิดจะมาเจออีกฝ่าย เหตุการณ์สามตระกูลล่มสลายในเมืองอวี่เกอวันนั้น ทำเอานอกเมืองเกิดความโกลาหลขนานใหญ่ การกลับมาของเฒ่าประหลาดจากบรรพตสละฟ้าก็ถือว่าลงหลักปักหมุด ณ เวลานั้น
กลับมาก็ส่วนกลับมา แต่อย่าได้โผล่หน้าออกมาเด็ดขาด ทุกคนต่างก็เป็นผู้มีอารยะ อย่าได้ออกมาหลอกหลอนผู้คนอย่างนี้เลย
ทุกคนเข้าแถวเดินเข้าตระกูลซูอย่างเป็นระบบระเบียบ ไร้ซึ่งเสียงเอะอะวุ่นวาย ยิ่งไม่มีใครกล้าเหลือเศษขยะเอาไว้บนพื้น รอจนเดินมาถึงห้องโถงใหญ่ สี่ประมุขขุนเขาในสายตาของพวกมันก็ดูปานประหนึ่งเทพเทวาบนสวรรค์ที่กำลังยืนเฝ้าอารักขาอยู่ข้างบัลลังก์ทองตัวหนึ่ง
บัลลังก์ทอง มังกรกาญจนาคำรามเกรี้ยว ล่องเวหาทะลวงเมฆา หงส์อัคคีกู่ก้อง ทะลุมวลมิติ พร้อมร่างคนผู้หนึ่งที่นั่งอยู่อย่างอหังการ์
“เจ้าสำนักเขาพิรุณเซียน ไม่พบกันเสียนาน”
ฉินจิ่วเกอยังคงนั่งอยู่บนบัลลังก์ตัวใหญ่ ไม่ได้ลุกขึ้นยืน เพียงใช้นิ้วเคาะลงบนพนักแขนเป็นจังหวะ
“เป็นเจ้า? ”
กับฉินจิ่วเกอ เจ้าสำนักเขาพิรุณเซียนย่อมต้องประทับฝังใจ
แม่ยายมันเถอะ ไม่ใช่แค่บรรพตสละฟ้าเท่านั้น แต่กับอาจารย์ของเจ้าเด็กนี่ มันเองก็ล้วนไม่อาจตอแยได้ทั้งนั้น!
กลั่นดวงธาตุผู้สามารถประมือสังหารแหวกชำระกายาได้ ย่อมต้องเป็นตัวตนอันสูงส่งสุดสูงอย่างไม่ต้องสงสัย
เจ้าสำนักเขาพิรุณเซียนเช่นมันบริสุทธิ์ผุดผ่องไม่ต่างจากหัวผักกาดขาวน้อยๆ ไหนเลยจะเคยทำเกษตรกรรมอันใดมาก่อน จะไปน็อคอีกฝ่ายลงได้ยังไง
“ไม่พบกันเสียนาน พูดไปก็จะยาวเปล่าๆ แต่ตอนนี้ข้าได้รับเกียรติให้เป็นประมุขน้อยของบรรพตสละฟ้า และก็เป็นเฒ่าเสียเยว่ที่ร้องขอให้ข้าเป็นธุระให้ ไม่เช่นนั้นข้าก็คงกลับเผ่ามนุษย์ไปนานแล้ว”
ฉินจิ่วเกอเอ่ยวาจาทักทายอย่างปลอดโปร่งสั้นๆ บ่งบอกว่าไม่มีแผนที่จะพูดอะไรต่อ
เจ้าสำนักส่งเสียงอืออออยู่ในลำคออยู่หลายคำ ก่อนจะทรุดตัวลงคล้ายเป็นตะคริว ไม่ได้หยิบยกเรื่องที่ฉินจิ่วเกอได้ผลอู๋เลี่ยงสดไปครองขึ้นมาพูด
อย่างไรเสีย ทุกคนก็คิดว่าฉินจิ่วเกอได้ไปเพียงลูกเดียวเท่านั้น
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ผลอู๋เลี่ยงสดลูกที่ว่าก็ต้องอยู่ในมือของอาวุโสใหญ่เรียบร้อยแล้ว ถ้ายังจะพูดเรื่องนั้นอยู่อีก มีแต่จะสร้างปัญหาเปล่าๆ
“ขอแสดงความยินดีกับน้องฉินที่ได้เลื่อนขั้นเป็นประมุขบรรพตสละฟ้า สมแล้วที่เป็นอัจฉริยะเปี่ยมพรสวรรค์ กลับบรรลุขอบเขตพิสุทธิ์ไพศาลเสียแล้ว”
“หามิได้ๆ จริงสิ เรื่องอาวุโสซุนไป๋ของพวกเจ้า…..”
ฉินจิ่วเกอยังเอ่ยไม่ทันจบก็ถูกเจ้าสำนักขัดขึ้นกลางลำปล้องเสียก่อน “ข้าไม่รู้อะไรด้วยเลย เป็นคนของข้าก่อกวนเรื่องราวตามอำเภอใจ ขอน้องแซ่ฉินอย่าได้เข้าใจผิดไป ข้าขอถามอีกสักอย่าง ท่านใช่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามนุษย์หรือไม่? ”
ตำหนักเหนือสุดก่อนสวรรค์ ปกครองมวลมนุษย์มานับล้านปี ใต้ล่าง คือสี่พรรคใหญ่ มีศิษย์สายตรงไม่น้อยที่บรรลุขอบเขตพิสุทธิ์ไพศาลไปแล้ว เพียงแต่ศิษย์เหล่านี้ อย่างน้อยเจ้าสำนักก็เคยได้ยินผ่านหูมาบ้าง แต่ไม่เคยได้ยินผู้ใดที่ใช้แซ่ฉิน”
ดังนั้นจึงเหลือความเป็นไปได้เดียว คนผู้นี้มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นสถานที่อันลึกล้ำเกินคาดหยั่ง
“เจ้าก็ลองเดาดู ถึงยังไงข้าก็เป็นคนของเผ่ามนุษย์ เรื่องบางประการเพียงรู้ไว้ในใจก็พอแล้ว” ฉินจิ่วเกอแสดงท่าทางแย้มยิ้มลี้ลับราวผีเสื้อมายาของจ้วงโจว”