“คือว่า ข้าก็แค่เป็นห่วงว่าด้วยปูมหลังของน้องฉิน ทางฝั่งแดนศักดิ์สิทธิ์อาจมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่เจ้ามาปกครองบรรพตสละฟ้าอยู่ที่นี่”
“วางใจได้ ทางฝั่งท่านอาจารย์ข้านั้น ไม่มีความเห็นใดทั้งสิ้น”
ฉินจิ่วเกอกล่าวพลางหัวเราะ มันไม่ได้พูดพกลม
เพราะถึงยังไงอาวุโสใหญ่ก็ไม่มาสนใจเรื่องพรรค์นี้อยู่แล้ว ทั้งไม่มีเวลามายกธงตัดสายสัมพันธ์
“อ้อ”
เจ้าสำนักเองก็เป็นศิษย์เผ่ามนุษย์ จึงต้องทราบถึงกฎของแดนศักดิ์สิทธิ์ดี
สี่พรรคใหญ่เข้าสู่โลกิยะ แดนศักดิ์สิทธิ์อยู่ในโลกุตระ เรื่องที่ไม่อาจถาม พอรู้แล้วก็ไม่จำเป็นต้องถาม
ต่างฝ่ายต่างก็เป็นคนฉลาด เจ้าสำนักเพียงพริบตาก็เดาถึงฐานะของฉินจิ่วเกอออก แต่ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้อะไร
ฐานะของฉินจิ่วเกอในเวลานี้มีอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นก็คือประมุขน้อยบรรพตสละฟ้า ส่วนฐานะอื่น ตนไม่รู้ทั้งนั้น
“หากบรรพตสละฟ้าตั้งใจจะเข้าร่วมกับพวกเราจริงๆ นั่นย่อมเป็นเรื่องประเสริฐสุด แต่ไม่ทราบว่าน้องฉิน วางแผนว่าจะประกาศออกไป หรือมีแผนอะไรอย่างอื่นอีก”
ฉินจิ่วเกอเอนกายพิงเก้าอี้พลางตอบ “บรรพตสละฟ้าไม่ขอออกนาม เพียงต้องการหาทรัพยากรฝึกฝีมือเล็กๆ น้อยๆ ถึงยังไงท่านเจ้าสำนักก็คงรู้ดีว่าท่านผู้นั้นของบรรพตเรา ใช้ทรัพยากรมากมายมหาศาลขนาดไหน”
“แน่นอนๆ ” เจ้าสำนักรีบผงกศีรษะเร็วรี่ ชนชั้นกฎสรรพสิ่งเชียวนะ จะไม่ใช้มากได้อย่างไร
ยังดีที่พวกนี้ไม่ได้จะมายึดครองอาณาเขต เพียงแค่มาหากำไรเล็กน้อย เรื่องราวถือว่าง่ายต่อการสะสาง
อีกอย่าง ฉินจิ่วเกอก็ไม่ได้เผยไพ่ตายของบรรพตสละฟ้าให้โลกรู้ สถานการณ์ของเมืองเทียนเอินจึงไม่ดึงดูดความสนใจจากอีกสามตระกูล
สรุปก็คือ ผลกระทบน้อย ที่อีกฝ่ายใช้โอกาสนี้หาเงินเข้ากระเป๋าก็เป็นที่เข้าใจได้
“เช่นนี้แล้วกัน ข้าขอรับปากว่าในสถานการณ์ที่ตระกูลซูไม่ถูกภัยคุกคามใดแผ้วพาน บรรพตสละฟ้าก็จะไม่ออกจากเมืองล่วนโต้ว แน่นอนว่าตระกูลซูจะยังคงอยู่ใต้ชื่อของบรรพตสละฟ้า”
ฉินจิ่วเกอกล่าวอย่างเนิบช้า มีหนังเสือสักแผ่นมันดีอย่างนี้ เขาพิรุณเซียนหากกล้าหักหัวคิวแม้แต่น้อย จะให้พวกมันตกใจตาย
ต้องขอชมว่าเจ้าสำนักท่านนี้กระทำเรื่องราวได้ไม่เลวเลยทีเดียว
ไม่เพียงมาขอขมาถึงที่ ยังมีของมาขอโทษอีกด้วย ฉินจิ่วเกอแทบจะจับอีกฝ่ายมาเป็นคนสนิท แบบที่ไม่ต้องพูดก็รู้ว่าอีกฝ่ายต่างคิดอะไรอยู่เทือกนั้น
บรรพตสละฟ้าไม่อาจเปิดเผยต่อสาธารณะ การที่ยืมมือตระกูลซูหารายได้เช่นนี้ คงไม่กระทบต่อผลประโยชน์ของเขาพิรุณเซียนเท่าใด
อีกอย่าง ฉินจิ่วเกอเป็นเผ่ามนุษย์ ทำเช่นนี้จะใช่เป็นเจตนาของตำหนักเหนือสุดก่อนสวรรค์หรือไม่?
คนยิ่งแก่ยิ่งลึกซึ้ง เจ้าสำนักยามกระทำเรื่องราวแต่ไรก็ไม่เคยแตกตื่นตระหนก แน่นอนว่ายกเว้นเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องประชุม
หลังใคร่ครวญพิจารณาอยู่หลายตลบ เจ้าสำนักยิ่งคิดก็ยิ่งมั่นใจ ไม่แน่นี่อาจเป็นแผนของแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ยืมมือบรรพตสละฟ้าเพื่อโต้ตอบพรรคโลหิตจาง
เกมชั้นสูงระดับนี้ ตนยังคงทำเป็นมองไม่เห็นต่อไปจะดีกว่า
ดังนั้นจึงผงกศีรษะกับตัวเอง และแล้วข้อตกลงความร่วมมือระหว่างเขาพิรุณเซียนกับบรรพตสละฟ้าก็เป็นอันยุติด้วยดี จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของตระกูลซูที่มารับช่วงต่อ
เมื่อบรรลุข้อตกลงกันไปด้วยดี ต่างฝ่ายต่างก็ควรปราศจากข้อขัดแย้งต่อกัน
ประมุขน้อยบรรพตสละฟ้าถึงขั้นยอมควักกระเป๋าตัวเอง เชื้อเชิญทุกท่านมากินเลี้ยงอาหารมังสาวิรัติร่วมกัน ทุกคนแฮปปี้เบิกบาน หน้าบานเป็นกระด้งกันไป
งานเลี้ยงมื้อนี้มีทั้งหัวผักกาดลวก ไชเท้าลวก ผักเขียวลวก สารพัดผักลวก แม้แต่เกลือโรยผักสักเม็ดยังไม่มี ช่างน่ารื่นรมย์โดยแท้
ตระกูลซูสูงต่ำล้วนตื่นเต้นยินดี ได้อยู่ใต้ร่มพฤกษาต้นใหญ่เทียมฟ้าอย่างเขาพิรุณเซียน อนาคตของตระกูลย่อมโชติช่วงชัชวาล ฉินจิ่วเกอให้หัวกะทิในพรรคมาประจำการที่เมืองล่วนโต้วเพียงหยิบมือ ส่วนที่เหลือยังคงปักหลักอยู่ที่ฐานที่มั่น
กล่าวได้ว่า นับแต่วันนี้ไป รายรับของบรรพตสละฟ้าก็จะเพิ่มพูนขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ
พอเสร็จเรื่อง ฉินจิ่วเกอก็อยากจะสวมหน้ากากแล้วไปเที่ยวเล่นในเมืองเทียนเอินสักรอบ การหาคู่ครองของสมาพันธ์อู่ซิ่งนั้นส่งผลกระทบมากเกินไป ยิ่งไม่ต้องพูดว่าสตรีนางนั้นรูปลักษณ์เป็นเช่นไร เอาแค่ค่าสินเดิมมหาศาลก้อนนั้นก็เพียงพอให้ฉินจิ่วเกอรู้สึกว่าจำต้องไปเที่ยวชมสักครา
ด้วยกลัวว่าคนจะจำได้ ตอนนี้ในเมืองเทียนเอินฉินจิ่วเกอยังเป็นที่จดจำไม่สร่าง
ถึงข้อมูลส่วนใหญ่จะถูกปิด และอาวุโสกับผู้ฝึกยุทธ์อิสระเหล่านั้นอาจจำมันไม่ได้ แต่สี่หัวหอกขุมอำนาจสูงสุด ย่อมไม่มีวันลืมฉินจิ่วเกอเด็ดขาด
เพราะเจ้าเด็กนี่ พวกมันทุกฝ่ายเลยต้องสูญเสียศาสตราศักดิ์สิทธิ์ไป จนถึงทุกวันนี้ก็ยังปวดร้าวไม่หาย
พอสวมหน้ากากแล้ว ก็ไม่มีใครรู้ว่ามันมาจากบรรพตสละฟ้า
ฉินจิ่วเกอพาสี่ประมุขและเจ้าก้อนหินในหลุมถ่ายอย่างหลงเฟิงเดินทางมาที่เมืองเทียนเอินพร้อมกับเจ้าสำนักอย่างสงบเสงี่ยม
เจ้าสำนักเผยสีหน้ากระอักกระอ่วนมาตลอดทาง ฟังจากฉินจิ่วเกอ ดูท่าอีกฝ่ายอยากจะเข้าร่วมการหาคู่ในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
แม่ยายมันเถอะ เจ้าเด็กนี่รูปงามขนาดนี้ เกิดมันเข้าร่วม แล้วผู้อื่นยังจะมีโอกาสอยู่อีกหรือ
ทั้งเยาว์วัย ทั้งหน้าตาคมคาย เป็นผู้คงแก่เรียน เรียกได้ว่าเป็นสมบัติหายากระดับชาติ
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความคิดที่ฉินจิ่วเกอทึกทักเอาเองว่าเจ้าสำนักจะต้องคิดเช่นนี้
เจ้าสำนักกล่าว “ในเมื่อน้องฉินไม่คิดเผยตัว เช่นนั้นข้าควรอธิบายกับอีกสามตระกูลอย่างไรดี”
เขาพิรุณเซียน ค่ายพรรคเดชมาร พรรคทรราช และสมาพันธ์อู่ซิ่ง
ทั้งสี่กองกำลังต่างก็ชิงดีชิงเด่นกันทั้งในทางลับและในทางแจ้ง เป็นความขัดแย้งที่ไม่อาจอยู่ใต้ร่มฟ้าเดียวกัน
โดยเฉพาะอาวุโสใหญ่ที่วันนั้นเดินถือมีดเข้ามากระซวกใส่จอมทรราช เก้าดวงธาตุสูงสุดผู้เกรียงไกร ถูกทุบตีจนสภาพไม่ต่างจากหมาตกน้ำ
กล่าวได้ว่า ความขัดแย้งระหว่างพรรคทรราชและฉินจิ่วเกอนั้นมากที่สุด
ส่วนค่ายพรรคเดชมารและสมาพันธ์อู่ซิ่ง หากพวกมันได้ยลธาตุแท้ของฉินจิ่วเกอเข้าละก็ เชื่อว่าคงไม่อาจอยู่เฉยได้เหมือนกัน
ด้วยการคิดเองเออเองนี้ ฉินจิ่วเกอเลยสวมหน้ากากโพกผ้าสีดำไว้บนศีรษะ แถมยังพกบรรทัดตารางนิ้วติดตัวไว้ตลอด เหมือนจอมยุทธที่ออกท่องยุทธภพ กับความเร้นลับเป็นปริศนาของเขา แลดูเป็นคนมีเรื่องราว เรียกได้ว่าเด็กสามขวบยันผู้เฒ่าสามร้อยปีข้าก็ไม่ละเว้น
ด้วยเสียงอันแหบแห้ง ฉินจิ่วเกอก็แรพโย่วออกมา “จะลุงใหญ่ลุงสองก็ล้วนแต่เป็นลุงของข้า จะโต๊ะใหญ่เก้าอี้เล็กก็ล้วนทำขึ้นมาจากไม้”
“หะ? ” เจ้าสำนักถึงกับเหวอรับประทาน พวกที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ใช่เป็นพวกโดดเด่นเกินสามัญสำนึกเช่นนี้หมดหรือไม่?
หากพูดให้น่าฟังขึ้นมาหน่อย ก็เรียกว่าลมฟ้าลมฝน หยินหยางเปลี่ยนแปลงไร้ร่องรอย
หากเอาแบบเรียบง่ายและเป็นที่นิยมขึ้นมาหน่อยก็คือโรคประสาทกินสมอง น้ำเข้าหู และชักกระตุกเป็นพักๆ
“ท่านลุง ท่านคือท่านลุงข้า! เราสองคนพลัดพรากจากกันมาหลายปี ในที่สุดวันนี้ก็ได้กลับมาเจอกัน! ”
“อ๋า? ” เจ้าสำนักตาโต ตนไปมีหลานตั้งแต่เมื่อไหร่
และที่สำคัญเจ้าหลานคนนี้ยังเป็นสุภาพบุรุษจอมปลอม ชวนให้เคลือบแคลงว่าเชื้อสายตนเองใช่มีปัญหาแล้วหรือไม่ แล้วสรุปต้องยอมรับมันไว้หรือไม่เล่า?
“ท่านคิดดูนะ อยู่ๆ เจ้าสมาพันธ์ก็มีบุตรีที่สาบสูญไปหลายปีโผล่ออกมาอย่างเป็นปริศนา ดังนั้นเราเองก็ไม่อาจน้อยหน้า ต้องมีปัญญาและไหวพริบ หลานที่พลัดพรากจากกันมาหลายปีจึงจะขาดไปไม่ได้”
“งั้นหรือ? ” ไฉนถึงรู้สึกว่าการที่มีหลานพรรค์โผล่ออกมาเหมือนจะไม่ใช่เรื่องดีเอาเสียเลย
“เจ้าสมาพันธ์ผู้นี้แซ่ไป๋หลี่ บุตรีที่กลับมามีนามว่าไป๋หลี่ชิงเฉิง เป็นโฉมงามเหนือโลกาผู้ถือครองความงามล่มเมืองอย่างแท้จริง” เจ้าสมาพันธ์กล่าวต่อ
“เฮอะ หากเอาตามที่มันว่า เช่นนั้นปู่น้อยก็คือสุดหล่อลำดับหนึ่งแห่งใต้หล้าแล้ว”
ฉินจิ่วเกอนวดตา สาวงามบนภพนี้ดูจะมีน้อยกว่าที่จินตนาการเอาไว้มาก นอกจากศิษย์น้องเล็กผู้เปี่ยมศักยภาพ ก็มีติงหลันที่นับว่าเข้าข่าย เพียงแต่เด็กหญิงน้อยนี้หัวรุนแรงเกินไป อยู่ใกล้ๆ หูตีนจะฉีกขาดเอาง่ายๆ
“ท่านลุง” ฉินจิ่วเกอเรียกหาอย่างเป็นกันเอง
เจ้าสำนักส่งเสียงตอบรับโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “อืม”
“ท่านลุง! ”
“อืม? ”
“อั่งเปา! ”
โครม!
เจ้าสำนักไม่ทันตั้งตัว พลัดตกลงจากสวรรค์ชั้นเก้า เหมือนเทวดาปีกหักร่วงตกลงมาโครมใหญ่ ก่อนจะกลิ้งโคโล่หลุนๆ ไปหลายตลบ
เก้าดวงธาตุสูงสุด ยามบินเหินเดินอากาศถึงกับพลัดตกลงจากฟ้าเสียได้ เรียกได้ว่าเป็นการตบหน้าผู้ฝึกตนทวีปฉงหลิงอย่างจัง เดือดร้อนเหล่าอาวุโสให้รีบแจ้นเข้ามาดูอาการเจ้าสำนักที่คล้ายจะบาดเจ็บไม่เบา
“ข้าเป็นแค่ลุงในนาม อั่งเปายังคงไม่จำเป็นต้องมอบเถอะ” เจ้าสำนักอากาศเข้าปอดมากกว่าอากาศออกจากปอด ครางเสียงแผ่วอย่างไร้แรง
แทบทำข้าขวัญกระเจิง เจ้าเด็กนี่จะมั่วสุมกับพวกผู้ฝึกวิชาปีศาจมากเกินไปหน่อยแล้ว ทั่วร่างถึงได้มีแต่กลิ่นอายชั่วร้ายแบบนี้ แม้แต่ตนที่เป็นถึงเก้าดวงธาตุสูงสุดผู้โลดแล่นไปได้ทุกที่ยังไม่อาจต่อกรด้วยได้
ฉินจิ่วเกอรู้สึกผิดอยู่เต็มอก เจ้าสำนักคนนี้จะสะดุ้งสะดิ้งเกินไปหน่อยแล้ว ข้าก็แค่อำเจ้าเล่นหน่อยเดียวเท่านั้น ข้าใช่เป็นคนหน้าเงินขนาดนั้นไม่?
มาถึงเมืองเทียนเอินอีกครั้ง กำแพงเมืองก็ยังคงสูงตระหง่านดังเดิม เมฆขาวก็ยังลอยล่องอยู่อย่างเดิม ถนนหนทางก็ยังครึกครื้นวุ่นวายไม่เปลี่ยน พร้อมกับชาวคณะเขาพิรุณเซียนก้าวเข้าสู่ตัวเมือง รอยแตกบนพื้นที่อาวุโสใหญ่ในตอนนั้นได้ฝากทิ้งเอาไว้ก็ยังคงไม่มีใครมาถมให้ราบเรียบ
เพราะเรื่องคู่ครองของสมาพันธ์อู่ซิ่ง จึงมีเหล่าหงส์มาปรากฏตัวมากมาย บุคคลหลากหลายคลาคล่ำ สาวงามปรากฏให้เห็นโดยไม่ขาดระยะ
ไป๋หลี่ชิงเฉิง ก็คือนามของนายหญิงน้อยคนต่อไปของสมาพันธ์อู่ซิ่ง
เอาแค่ชื่อนาง ก็ทำให้ผู้คนต้องถวิลหาลุ่มหลง ราวกับตกอยู่ในห้วงฝันมายา จินตนาการถึงความงามเปี่ยมเสน่ห์ของอีกฝ่าย
อีกสามขุมอำนาจต่างก็ทุ่มเทกำลังสุดตัวเพื่อกำจัดไป๋หลี่ชิงเฉิงนางนี้ออกไป น่าเสียดายที่พวกมันไม่เคยเห็นตัวคน ที่เคยรับรู้ก็มีเพียงนาม ดูจากที่ทวีปฉงหลิงนับถือผู้เข้มแข็ง การหาคู่ครองในครั้งนี้ก็เท่ากับตามหาผู้เยี่ยมยุทธ์อย่างไม่ต้องสงสัย
ศิษย์สายตรงของสามขุมกำลัง ผู้เข้าร่วมที่โดดเด่นที่สุด ต่างก็ถูกเรียกตัวกลับฐานที่มั่นเพื่อที่จะฟื้นฟูพละกำลังเตรียมเข้าร่วมในวันมงคลกันหมดแล้ว
ศิษย์เอกของเขาพิรุณเซียน คืออัจฉริยะที่ผ่านการฟูมฟักมาเป็นอย่างดี
ไม่ว่าจะในแง่เคล็ดวิชาลมปราณทักษะยุทธ์ หรือโอสถสมบัติวิเศษที่ใช้ในการเคี่ยวกรำก็ล้วนแต่เป็นของชั้นเลิศทั้งหมด
ระหว่างพิสุทธิ์ไพศาลและกลั่นดวงธาตุมีเส้นแบ่งที่ต้องข้ามผ่านให้ได้อยู่ นั่นคือทัณฑ์สวรรค์
เพราะมหาวิถีดวงธาตุทองคำคือขีดสุดการควบผนึกของไอวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว หากต้องการไปถึงขีดขั้นสูงสุด ท่านต้องข้ามผ่านการชำระล้างจากทัณฑ์สวรรค์ไปให้ได้
มีเพียงการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ ไอวิญญาณจึงจะเปลี่ยนเป็นของเหลว และผนึกตัวเป็นดวงธาตุทองคำที่ไม่มีวันแตกดับ
หลังจากทัณฑ์สวรรค์ที่เป็นอสนีเทวะ เพลิงปฐพีที่ตามมาจึงจะนับว่าอันตรายที่สุด
ดังนั้น สมาคมนักปรุงยาจึงมีโอสถขั้นห้าที่ช่วยให้ผู้ทำการข้ามผ่านด่านเพลิงปฐพีได้ปลดปล่อยศักยภาพในตัวออกมาอย่างเต็มที่ แต่พลาอำนาจแห่งทัณฑ์สวรรค์จะไม่ถูกบั่นทอนตามไปด้วย
มีศิษย์จากขุมอำนาจใหญ่มากมายที่ติดอยู่ในขอบเขตพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุด และไม่อาจรุดหน้าต่อไป ถึงอย่างไรอีกก้าวที่ยังขาดอยู่นี้ หากไม่พลิกเปลี่ยนเป็นมังกรทะยานฟ้า ก็กลายเป็นขี้เถ้าคืนสู่ผืนดินไป หากดูจากตัวอย่างก่อนๆ ของทวีปฉงหลิง ความเป็นไปได้ประการหลังนั้นสูงถึงเก้าในสิบส่วนเลยทีเดียว
นั่นก็แปลว่า ในหมู่พิสุทธิ์ไพศาลสิบคน จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตกลั่นดวงธาตุ แถมนี่ยังเป็นค่าความเป็นไปได้ที่ดีมากแล้ว กลั่นดวงธาตุเก้าขั้น แต่ละขั้นต้องผ่านอสนีเทวะเพลิงปฐพีเก้าครั้ง ก่อนที่จะไปถึงจุดสูงสุด
เพราะเหตุนี้ยิ่งขึ้นของดวงธาตุสูงขึ้นไปเท่าไหร่ จำนวนของพวกมันก็จะยิ่งลดหลั่นลงตามกัน เก้าดวงธาตุสูงสุด ในใจกลางมหาทวีปฉงหลิง ในทางแจ้งก็มีกันอยู่แค่สี่คน แต่ละคนแบ่งกันปกครองขุมอำนาจของใครของมัน
ศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาพิรุณเซียน มีนามว่า เจ้าเป้า
ทะลวงสู่ขอบเขตกลั่นดวงธาตุตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อน เป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดของเขาพิรุณเซียน
พลังฝีมือระดับนี้ เทียบกับหัวกะทิของสี่พรรคใหญ่ก็คงจะแตกต่างกันไม่มาก
ส่วนฐานะของฉินจิ่วเกอนั้น เจ้าสำนักได้มีการถ่ายทอดคำสั่งให้ปิดปากเงียบเอาไว้แล้ว จึงมีเพียงไม่กี่คนที่ล่วงรู้ โดยเฉพาะเรื่องที่ฉินจิ่วเกอเป็นคนของแดนศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งมีน้อยคนเข้าไปอีก
ในสวน ฉินจิ่วเกอสั่งให้สี่ประมุขกระจายกำลังกันออกไป เป้าหมายคือโอสถสมุนไพรที่เขาพิรุณเซียนฟูมฟักบำรุงเลี้ยงไว้อย่างดี
ไอหยา สมุนไพรขั้นสามขั้นสี่มีอยู่ไม่น้อยทีเดียว หากขุดเอาไปขายแก่สมาคมนักปรุงยา คงจะได้ราคาสูงไม่น้อย
ประมุขน้อยบรรพตสละฟ้าผู้เอาการเอางานและเป็นคนมัธยัสถ์ แน่นอนย่อมไม่ยินยอมที่จะปล่อยให้โอสถสมุนไพรเหล่านี้ต้องเหี่ยวเฉาอยู่ตรงนี้
เกิดมีคนเลินเล่อเดินเหยียบเข้าละก็ ไม่เท่ากับเสียของกันพอดีหรอกหรือ!