สี่ประมุขถูกฉินจิ่วเกอส่งตัวออกมาขู่ขวัญผู้คน พลังฝีมือเทียบเท่าอาวุโสขั้นหนึ่งและอาวุโสผู้กุมอำนาจ แถมพวกมันยังมีรูปลักษณ์หน้าตาระดับที่ในรัศมีพันเมตรมองไปไม่เห็นสิ่งมีชีวิตสักราย
จากนั้น ฉินจิ่วเกอก็พยักพเยิดสั่งการให้หลงเฟิงไปเก็บเกี่ยวโอสถสมุนไพรกลับมา
“บัดซบ พวกเจ้ากำลังทำอะไรกันอยู่? ” เจ้าเป้าที่เพิ่งออกด่าน ตระเตรียมไปรับชมทิวทัศน์แมกไม้งามเขาจรรโลง พลันต้องพบเห็นภาพคนสองคนในชุดเขาพิรุณเซียนกำลังลักลอบเก็บเกี่ยวสมุนไพรกับอย่างลับๆ ล่อๆ เข้าเสียก่อน
สมุนไพรเหล่านี้ เขาพิรุณเซียนมีไว้ประดับตกแต่งทางเข้าพรรค เป็นโครงการสร้างเสริมหน้าตาของพรรคให้ดูร่ำรวยมีเงินใช้เท่านั้น
ทุกคนต่างรู้ดี แต่เจ้าเป้าไม่เคยคาดคิดว่า จะมีคนไม่รู้ความสองคนมานั่งขุดสมุนไพรกันอยู่ตรงนี้จริงๆ เป็นการกระทำที่ไม่อาจทานทนได้อย่างที่สุด
ฉินจิ่วเกอยกนิ้วปาดดินที่เลอะติดปลายจมูกออกลวกๆ ก่อนจะเหลือบตามองพลางถามว่า “สูเป็นไผ! ”
“สามหาว! ไม่รู้จักแม้กระทั่งข้า เจ้าเพิ่งมาใหม่หรือยังไง? ” เจ้าเป้าเป็นคนเที่ยงตรง การชี้นิ้วสั่งการหลงเฟิงอันเป็นพฤติการณ์ต่ำช้าของฉินจิ่วเกอที่เทียบกับการลักลอบขุดกำแพงข้างของโลกแห่งยุทธ์ทวีปฉงหลิง นั่นสมควรต้องหยุดลงที่ตรงนี้
“บ๊ะ นี่มันกงการอะไรของเจ้า ข้าก็ขุดของข้าอยู่ดีๆ แล้วเจ้ามาเกี่ยวอะไรด้วย” ฉินจิ่วเกอมือเท้าสะเอว พวกที่กล้าขวางทางรวยของมัน แทบจบไม่สวยไปเสียทุกราย
เจ้าเป้าจ้องฉินจิ่วเกอด้วยความประหลาดใจ จะว่าไปเจ้าหมอนี่ไฉนจึงสวมหน้ากากอยู่ได้ ทำเป็นปิดตาปิดจมูก หรือว่าจะเป็นพวกย่องเบา?
ฉินจิ่วเกอเองก็ไล่สายตาพิจารณาเจ้าเป้าอยู่เหมือนกัน เจ้าหมอนี่มีโหนกแก้มสูง ร่างกายผ่ายผอมแขนเพรียวบาง หลังตรงเป็นไม้บรรทัด สูงกว่าตนอยู่สองช่วงศีรษะ คางแหลมยื่นออกมา ศีรษะข้างหลังใหญ่กว่าข้างหน้า รูปร่างหน้าตาจัดว่าธรรมดาไม่มีอันใดโดดเด่น
รัศมีที่แผ่ออกไม่ได้ต่ำช้าหยาบโลน แต่ค่อนข้างน่าเกรงขาม การแต่งกายก็ดูเป็นผู้ดีไม่น้อย
กับคนหน้าตาระดับนี้ ฉินจิ่วเกอมองแล้วรู้สึกสบายใจ ไม่มีภัยคุกคาม แต่มีไว้เพื่อยกระดับความงามของตนโดยแท้ หันไปมองหลงเฟิง เจ้าหมอนี่อย่างกับผีตายซาก แถมไม่ชอบพูดจา กระนั้นความเย็นชาของมันก็ยังดึงดูดผู้คนอยู่ดี
กว่าจะได้เจอคนที่เข้าตากรรมการอย่างเจ้าเด็กนี่ ฉินจิ่วเกอย่อมมองอีกฝ่ายไปในทางที่ดีอยู่ไม่น้อย มันยกมือตบลงบนบ่าเจ้าเป้าแล้วเอ่ยว่า “ลดเสียงลงหน่อย อย่าโหวกเหวกโวยวายไป เอางี้ก็แล้วกัน พอขายสมุนไพรได้กำไรมาสักก้อน ข้าจะแบ่งให้เจ้าส่วนหนึ่ง”
“บัดซบ เจ้าเด็กนั่นทำไมยังไม่หยุดมือ ยังจะกล้าขุดต่ออีกรึ! รอข้าส่งตัวพวกเจ้าไปที่หอตัดสินโทษเมื่อไหร่ พวกเจ้าไม่รอดแน่”
กล่าวจบคำ เจ้าเป้าก็ยื่นแขนอันผอมเพรียวของตนมาทางฉินจิ่วเกอ
“ว้าว เจ้านี่ก็ใช่ย่อยนะเนี่ย ทนเห็นข้ารวยไม่ได้ เลยตั้งใจจะฮุบเอากำไรคนเดียวเลยว่างั้น? ” ฉินจิ่วเกอร้อนรนแล้ว สำแดงเคล็ดมารมายาเคลื่อนตัววูบวาบเปลี่ยนตำแหน่ง เหลือไว้เพียงภาพติดตาหลายสาย
เจ้าเป้าที่ตั้งใจจะจับตัวฉินจิ่วเกอ กลับคว้าไว้ได้เพียงภาพติดตาของอีกฝ่าย
“ไอ้เด็กหน้าเหม็น เจ้ากล้าขวางทางรวยของปู่คนนี้ เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะเล่นเจ้าให้เยินเลย? ” ฉินจิ่วเกอที่ถูกจู่โจมบันดาลโทสะขึ้นมาแล้ว ตนก็ลำบากไม่ใช่น้อยเหมือนกันนะ แค่จะหาลำไพ่พิเศษเล็กน้อยต้องทำกันถึงขนาดนี้เลยหรือ?
“เจ้ากล้าใช้น้ำเสียงเช่นนั้นพูดกับข้า? ” ด้วยพรสวรรค์ของเจ้าเป้า เจ้าสำนักยามพูดคุยกับมันยังต้องโอนอ่อนผ่อนปรนด้วยซ้ำ
ในเขาพิรุณเซียนแห่งนี้ มันถือว่ามีอำนาจไม่น้อย ในหมู่รุ่นเยาว์ มันคือตัวตนที่สามารถประชันขันแข่งกับอัจฉริยะคนอื่นๆ จากขุมอำนาจใหญ่ทั้งหลายได้
ฉินจิ่วเกอชูนิ้วข่มขู่ “เจ้าหนู เจ้าสำนักของที่นี่คือลุงของข้า รู้แล้วก็รีบๆ ไสหัวไปซะ ไม่งั้นหน้าเจ้าได้มีแต่รอยดอกไม้แดงอยู่เต็มแน่! ”
“ผายลมเถอะ นั่นลุงข้าต่างหาก! ” เจ้าเป้าเลือดขึ้นตา เพิ่งออกด่านได้ไม่ทันไร ใครจะคิดว่าทั้งคนทั้งโลกใบนี้ได้แปรเปลี่ยนไปหมดแล้ว
เจ้าสำนักเขาพิรุณเซียน เป็นลุงของเจ้าเป้าจริงๆ
นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าเชื้อสายของตระกูลเจ้ายังคงยอดเยี่ยมควรค่าแก่การยกย่องไม่สร่าง
“อ๋า? ” นี่อยู่เหนือความคาดหมายของฉินจิ่วเกออย่างแท้จริง ได้พบหลานตัวจริงของเจ้าสำนักเช่นนี้ งั้นมันก็ควรที่จะเป็นตัวปลอม?
“ตามข้าไปที่หอตัดสินโทษเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ! ” เจ้าเป้าอารมณ์บูดได้ที่แล้วตอนนี้ อย่าบอกนะว่าท่านลุงเกิดใจสะออน ออกไปเล่นสนุกอยู่ข้างนอกจนเกิดบุตรนอกสมรสตัวเท่ากระบือเช่นนี้ออกมา?
จากนั้นเพราะความเกี่ยวดองทางตระกูล เลยป่าวประกาศออกไปว่าเจ้าเด็กนี่เป็นหลาน และแอบรับเข้ามาในพรรคอย่างลับๆ ?
อ๊าาา นี่ตนควรจะต้องบอกท่านน้าหรือเปล่า? เพียงแต่กลัวว่าในบ้านช่องเกิดความเปลี่ยนแปลง ท่านลุงอาจคิดพิฆาตสายเลือดเอาก็ได้
“เพ้ย สูใหญ่มาจากไหนกัน ปู่น้อยคนนี้แกว่งหมัด มังกรตายแล้วนะเหวย! ” ฉินจิ่วเกอไม่ยอมอ่อนข้อ
“อาศัยเจ้า? ” พอคิดว่าอีกฝ่ายอาจเป็นญาติตัวเองเข้าจริงๆ เจ้าเป้าจึงไม่ได้ลงมือ “กับอีแค่พิสุทธิ์ไพศาล กลับสามารถทุบตีมังกรจนดับดิ้น? ”
“ดูท่าเจ้าคงจะไม่ชอบอ่านตำราสินะ” ฉินจิ่วเกอถือมุกแห่งปัญญาไว้ในมือ “ข้าบอกว่า แกว่งหมัด มังกรตายแล้ว หัดให้ความสำคัญกับการเว้นวรรคด้วย”
เจ้าเป้าเกลียดพวกปลิ้นปล้อนคงแก่เรียนแบบนี้ที่สุด มันเอ่ยอย่างอึดอัดไม่สบายใจ “เลิกพล่ามไร้สาระได้แล้ว ก่อนอื่นก็ไปหอตัดสินโทษกับข้าซะ”
“อย่าคิดว่าการที่เจ้าเป็นกลั่นดวงธาตุแล้วจะทำอย่างไรก็ได้ บอกเจ้าอย่าง กลั่นดวงธาตุที่ตายในน้ำมือของปู่น้อยผู้นี้ มีไม่น้อยกว่าสิบราย! ”
เจ้าเป้าแค่นหัวร่อ “ก็คงจะเป็นกลั่นดวงธาตุที่ตายอยู่แล้วอีกล่ะสิ? ”
“พูดม้าๆ นี่หว่า หลงเฟิง จัดการมันซิ! ” ฉินจิ่วเกอกระทืบเท้า ออกปากสั่งหลงเฟิงที่ยังก้มหน้าขุดสมุนไพรไม่เลิก
หลงเฟิงยกมือปาดคราบดินโคลนบนใบหน้า เศษหญ้าพันติดอยู่บนเขา “ข้าไม่ว่าง เจ้าไม่ใช่สั่งให้ข้าขุดหาสมุนไพรหรอกรึ ข้ายังขุดไม่เสร็จ”
“ทำท่าเช่นนี้แปลว่าอะไร สิบล้านนะสิบล้าน” ฉินจิ่วเกอปรบมือท่องคาถา
ฟิ้วว!
ประกายแสงเยียบเย็นมาถึงก่อน ตามด้วยร่างที่ปรากฏขึ้นดุจอสนี หลงเฟิงกำหมัดหวดออกไป บีบให้เจ้าเป้าต้องร่นถอย แต่ตัวเองก็ต้องถอยออกมาสองก้าวเหมือนกัน
เจ้าเป้าเองก็เป็นกลั่นดวงธาตุขั้นสอง พลังฝีมือไม่ต่ำทราม พื้นฐานพลังเหนียวแน่น
“ไม่เลวนี่ หากครอบคลุมทั่วทวีปฉงหลิง เจ้าก็นับเป็นหัวกะทิของรุ่นเยาว์ได้เลยกระมัง? ” ฉินจิ่วเกอถอยมาหลบอยู่ไกลๆ ตนเพิ่งอยู่ชั้นพิสุทธิ์ไพศาล ไม่คิดเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยแน่ๆ
นี่ก็ไม่รู้ว่าศิษย์น้องรองฝึกปรือไปถึงขั้นไหนแล้ว หากว่ากันตามตำราคู่มือพระเอก มันสมควรยังไม่ทะลวงเข้าสู่กลั่นดวงธาตุ
แต่พระเอกก็มักจะมีกำลังรบสูงกว่าศัตรูในช่วงชั้นเดียวกัน ทำตัวเป็นสุกรกินพยัคฆ์ ยอดเยี่ยมกระเทียมดอง
“เจ้าเป็นใครกันแน่? ”
เจ้าเป้าตื่นตระหนกขึ้นมาบ้างแล้ว ต่อให้ตีมันจนตาย มันก็ไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่า เขาพิรุณเซียนจะปรากฏบุคคลไร้ชื่อเสียงเรียงนามที่มีพลังสูสีกับตนขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
หากจะบอกว่าท่านลุงของตนแอบมีลูกนอกสมรส เจ้าเป้ายังยอมเชื่อมากกว่า
“ข้า?” ฉินจิ่วเกอพลันสวมบทผู้สูงส่ง เหมือนเทพเซียนเหนือโลกา “ข้าคือผู้ที่เทพวิญญาณเก้าสวรรค์สิบภพภูมิยังต้องตัวสั่นหวาดกลัว แม้โลหิตจะเจิ่งนองก็ยังไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้!”
หลงเฟิงกลอกตา ไม่สนใจวาจาไร้สาระของฉินจิ่วเกอเลยสักกระผีกริ้น เพียงแต่เจ้าเป้ากลับหลงเชื่อเต็มเปา อย่างไรเสียคนพวกนี้ก็แปลกพิสดารเกินไป หากทั้งสองเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่อาศัยช่วงวิกฤติแฝงตัวเข้ามาก่อความวุ่นวาย ก็นับว่ามีความเป็นไปได้อยู่
“ผงาด! ” ในฐานะหัวกะทิของเขาพิรุณเซียน เจ้าเป้าย่อมมียันต์หยกคุ้มภัยติดตัว
“เกิดอะไรขึ้น? ”
ฉินจิ่วเกอเบิ่งตาโง่งม เจ้าหมอนี่ช่างไม่มีอารมณ์ขันเอาเสียเลย ตนแค่หยอกล้อเล่นหน่อยเดียวเอง
อย่างไรก็ตาม ปราการคุ้มภัยของเขาพิรุณเซียนได้ถูกเจ้าเป้ากระตุ้นใช้งานไปแล้ว และกำลังเริ่มต้นโคจรพลังอย่างเต็มที่
ประกายวิญญาณพร่างพราย เชื่อมต่อไร้ช่องโหว่
ไอวิญญาณไร้ลักษณ์เชื่อมประผสานผ่านลวดลายอักขระ เพียงพริบตาก็ครอบคลุมเขาพิรุณเซียนเอาไว้อย่างไร้ที่ติ ในความอ่อนหยุ่นยังมีความเหนียวทน แม้แต่คมกระบี่ยังไม่อาจฝ่าทะลวงได้
ครืนน!
อสนีสายฟ้าเริ่มครืนครนเดือดพล่าน
ภายในข่ายปราณ ประกายวิญญาณพุ่งออกโจมตี ทั้งโคจรและผนึกพลังเร็วรี่ กลับกลายเป็นพลังกึ่งเหลวที่พลันดีดตัวออกจู่โจม
ข่ายปราณพวกนี้ล้วนเป็นยอดฝีมือรุ่นก่อนของเขาพิรุณเซียนผดุงไว้ และเสริมความแข็งแกร่งด้วยศิลาวิญญาณอีกทุกๆ ปี
เปรียบได้กับการรักษาคูคลองไว้ให้โปร่งโล่ง เพื่อดึงน้ำมาใช้ไม่สิ้นสุด
ทุกครั้งที่สำแดงหรือปิดการใช้งานลวดลายอักขระไอวิญญาณในข่ายปราณ จะต้องใช้ศิลาวิญญาณระดับต่ำร่วมล้านก้อน
การจู่โจมตั้งรับที่เกิดขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อนนี้ ต่อให้เป็นสังขารของผู้ฝึกตนก็ยังไม่อาจยื้อไว้ได้
“ประมุขน้อย! ”
หลงเฟิงตื่นตระหนกใหญ่หลวง ไม่นึกว่าข่ายปราณจะสำแดงฤทธิ์รวดเร็วปานนี้ พลังโจมตีขุมนั้นพุ่งออกมาจากข่ายปราณแล้ว ทั้งยังพุ่งมาทางตน แต่เป้าหมายที่แท้จริง กลับเป็นฉินจิ่วเกอ!
“ในเมื่อเป็นจอมโจรแห่งแผ่นดิน เช่นนั้นก็ตายไปซะเถอะ! ”
เจ้าเป้าเคลื่อนร่างปราดเปรียวดั่งเสือดาว พริบตาก็เข้าพัวพันหลงเฟิงเอาไว้ ทั้งสองฝ่ายขับเคี่ยวสูสี ในร้อยกระบวนท่าแลกแพ้แลกชนะปะปนกันไป
ข่ายปราณเริ่มจู่โจม พุ่งเป้ามาที่ฉินจิ่วเกอ มิติตามรายทางล้วนถูกบดขยี้จนแหลกลาญ กระแสลมพัดกวาดกระโชก
“อะไร? ”
พลังจู่โจมขุมนั้นน่าพรั่นพรึงถึงขีดสุด อย่างน้อยก็เป็นพลังในขอบเขตกลั่นดวงธาตุขั้นหนึ่ง
ด้วยฐานะพิสุทธิ์ไพศาลของมัน นอกจากจะได้พระเอกมาสำแดงวงแหวนบารมีให้ คิดต้านรับเอาไว้ย่อมเป็นเพียงความเพ้อฝัน
“ย่าห์! ”
หลงเฟิงยอมรับหมัดนี้ของหลงเฟิง จากนั้นใช้เคล็ดวิชายุทธ์ พยายามข้ามผ่านระยะทางร้อยเมตร เพื่อพุ่งเข้าไปขวางพลังวิญญาณที่กำลังพุ่งเข้าหาฉินจิ่วเกอให้ได้
ตูม!
พลังจู่โจมพลันอ่อนโทรมลง ปรากฏว่าถูกหลงเฟิงขจัดไปได้ถึงกึ่งหนึ่ง ทำให้พลังถอยลงมาต่ำกว่าชั้นกลั่นดวงธาตุ
“ขอดูหน่อยเถอะว่าเจ้าจะรับได้สักกี่น้ำ! ” เจ้าเป้ากุมยันต์หยกเขาพิรุณเซียนไว้มั่น จากนั้นก็อัญเชิญพลังจู่โจมออกมาอีกเก้าขุม แต่ละขุมล้วนเป็นพลังชั้นกลั่นดวงธาตุ
ข่ายปราณชนิดนี้ แม้จะสิ้นเปลืองพลังงานมหาศาล หากแม้แต่กลั่นดวงธาตุคิดรับมือ ก็ยังต้องกริ่งเกรงอยู่มาก
“ขวาง! ”
หลงเฟิงคืนร่างเผ่าพิสดาร เขาบนหัวงอกยาวเหมือนดวงตาที่สามที่แผ่ไกลของท้าววิรูปักษ์มหาราช
บนผิวเริ่มมีชั้นเกล็ดปกคลุมทับซ้อน พร้อมขนของสัตว์อสูรที่เริ่มงอกเงยขึ้นเป็นแผง ต่อให้ถูกศิลาทองคำกระบี่หยกฟาดปะทะก็ยังไม่สะดุ้งสะเทือน
ร่างกลายเป็นสูงสามจั้ง แขนขาทั้งสี่ตั้งตรงดุจเสาต้นกว้าง นิ้วทั้งห้ากางแผ่เสมือนขนของปักษา
ปงปงปง!
หลงเฟิงพยายามขวางการเปิดใช้ข่ายปราณ แต่ก็ถูกเจ้าเป้ากดดันจนร่นถอยอย่างต่อเนื่อง พลังฝีมือขั้นสองกลั่นดวงธาตุมิอาจดูเบาได้เลย
อักขระบนข่ายปราณยังคงโคจรเริ่มต้นพลัง สูญศิลาวิญญาณไปล้านก้อน จึงพ่นเอาพลังจู่โจมออกมาได้สิบสาย แต่ละสายพุ่งเข้าหาฉินจิ่วเกอ หลังถูกหลงเฟิงตัดทอนกำลัง ถึงจะไม่ทรงพลังเทียบเท่ากลั่นดวงธาตุดังเดิม แต่ก็ยังอยู่ในช่วงชั้นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุดอยู่ดี
หรือก็คือ หลังจากที่หลงเฟิงพยายามสุดชีวิตเพื่อปกป้องฉินจิ่วเกอแล้วนั้น
พลังจู่โจมที่เทียบเท่าผู้ฝึกยุทธ์พิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุดสิบคนก็ยังคงดาหน้าเข้าหาฉินจิ่วเกออยู่ดี!
พลังจู่โจมสิบสาย ทุกทิศรอบทางล้วนถูกล็อกตรึงไว้แน่น นอกจากสามารถเคลื่อนย้ายตัดมิติ ก็ไม่มีทางรอดใดอีก
“เจ้ายื้อเจ้าเป้าต่อไป ตรงนี้ข้าจัดการเอง! ”
อาภรณ์บนตัวเป่งพอง ทำให้ร่างของฉินจิ่วเกอดูใหญ่โตขึ้นกะทันหัน บ่งบอกว่าร่างอันบอบบางของชายหนุ่มนั้น ก็สามารถรับมือกับหายนะครั้งนี้ได้เช่นกัน
บรรทัดตารางนิ้วทองคำที่ยาวเพียงสองฉื่อถูกฉินจิ่วเกอกระชับไว้ในมือแน่น ซ่อนอยู่ใต้ชายเสื้อที่ถลกขึ้นเล็กน้อย
แสงสีทองส่องประกายวูบวาบอยู่เป็นพักๆ จากภายในคลื่นลมมรสุมแน่นหนา เป็นภาพอันชวนขนลุก
“พิสุทธิ์ไพศาลขั้นต้น ไม่เจียมสังขาร แค่ส่งพลังจู่โจมลวกๆ เจ้าก็ตายแล้ว! ” เจ้าเป้าระเบิดพลัง กดดันหลงเฟิงให้ใช้ออกด้วยพลังทุกหยาดหยดจนไม่เหลือสมาธิจะไปสนใจสิ่งอื่น
“มันจะตายไม่ได้ ถ้ามันตาย เขาพิรุณเซียนของเจ้าเองก็จะล่มสลายไปพร้อมกับมัน” เสียงอันเยือกเย็นไร้อารมณ์ของหลงเฟิงดังขึ้น
“น่าขัน”
เจ้าเป้าเมินเฉย ทุ่มพลังสุดตัว ปะทะหักหาญกับหลงเฟิงอย่างดุเดือดเลือดพล่าน แต่ก็ไม่อาจชิงความได้เปรียบเหนืออีกฝ่าย
สองกลั่นดวงธาตุปะทะกันอย่างดุเดือด ระลอกไอวิญญาณกระจายออกดั่งทำนบแตก กวาดเอาทุกสิ่งบนพื้นให้ราบเป็นหน้ากลอง
สมุนไพรรอบตัวถูกทำลาย ระลอกพลังเปลี่ยนลักษณ์ไม่หยุดยั้ง
ฉินจิ่วเกอมือขวาห้อยอยู่ข้างตัว ในมือกุมบรรทัดตารางนิ้วไว้ ประกายสีทองกระหวัดอยู่รอบตัว
นัยน์ตาหรี่ลงจนเหลือขีดเดียว ฉินจิ่วเกอใช้มือซ้ายจับไว้ที่สายรัดเอวสีม่วงทอง ปล่อยให้ลมมรสุมคลั่งพัดมาจากทางตะวันออก
หลังเท้าเริ่มมีชั้นดินบางๆ ปกคลุมขึ้นมา บ่งบอกว่าเท้าของมันเริ่มจมลึกไปข้างหลัง
พลังสิบสายที่เทียบเท่าพลังจู่โจมสุดตัวของสิบพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุด ต่อให้เป็นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุดเหมือนกัน ก็ยังต้องบาดเจ็บสาหัส
ครืนนนน!
ทันใดนั้น เสียงกึกก้องประดุจอสนีบาตก็เคลื่อนมาจากไกลสู่ใกล้…..