บทที่ 134 คุณหนูเซี่ย

เว่ยฉิงเดินตรงไปที่ต้นไม้ เขาพยักหน้าทักทายคุณหนูเซี่ยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองว่าวที่ติดอยู่บนต้นไม้แทน ตัวว่าวไม่ได้ติดอยู่สูงนัก แค่เอาเก้าอี้มาปีนเหยียบก็เก็บได้แล้ว เว่ยฉิงไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงต้องทำเป็นเรื่องใหญ่โตจนถึงกับต้องไปตามเขามาเก็บให้

แต่เว่ยฉิงก็กินเงินเดือนจากสกุลเซี่ย คุณหนูเซี่ยถือได้ว่าเป็นเจ้าของจวนเซี่ยเช่นกัน ดังนั้นเขาจะทำตามคำสั่งของนาง ชายหนุ่มดีดตัวขึ้นไปหยิบว่าวจากบนต้นไม้ ก่อนจะค่อย ๆ ทิ้งกายลงบนพื้นอย่างสวยงาม พละกำลังของเขานั้นแข็งแกร่งมาก

สาวใช้ตัวน้อยตกตะลึง ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดคุณหนูถึงถูกใจชายผู้นี้

เว่ยฉิงมอบว่าวให้คุณหนูเซี่ยฟางเฟย นางรับไปพร้อมกับคลี่ยิ้มที่น่าหลงใหล

“ขอบคุณหัวหน้าเว่ย ข้าขอเลี้ยงน้ำชาหัวหน้าเว่ยสักถ้วยได้หรือไม่?”

“คุณหนูของข้าเก่งกาจด้านศิลปะการชงชามากที่สุดในเมืองหลวง หัวหน้าเว่ยนี่ถือเป็นโอกาสที่ดีเชียวนะ” สาวใช้ตัวน้อยรีบพูดทันที

“คุณหนูเซี่ยไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าหรอก” เว่ยฉิงพูดจบก็หันหลังเดินจากไปทันที

เซี่ยฟางเฟยและสาวใช้ตกตะลึง

“เขาโง่หรือไรเจ้าคะ? คุณหนูชวนดื่มชาแต่กลับปฏิเสธ! ข้าไม่อยากจะเชื่อเลย!”

ดวงตาของเซี่ยฟางเฟยเป็นประกายอย่างตื่นเต้น

ผู้ชายที่เคยพบมา แค่กระดิกนิ้วใส่ ทุกคนก็พร้อมจะหลงใหลเชื่อฟังนางทั้งนั้น ดูแล้วน่าเบื่อเหลือทน แต่ตอนนี้นางกลับเจอสิ่งที่น่าสนใจมากกว่าแล้ว ช่างน่าท้าทายเหลือเกินว่านางจะเปลี่ยนบุรุษเย็นชาโง่เขลาผู้นี้ให้กลายเป็นลูกหมาตัวน้อยเลี้ยงไว้ข้างกายนางได้อย่างไร?

………….

ณ เป่าชิงเก๋อ

เมื่อมีเจิ้งติ่งเป็นผู้ช่วย ถังหลี่จึงรู้สึกผ่อนคลายกับงานมากขึ้น หลังจากทำงานเสร็จ นางเดินดูรอบ ๆ ร้านจนถึงช่วงบ่าย จู่ ๆ ร่างหนึ่งก็พุ่งเข้ามาในเป่าชิงเก๋อราวกับพายุหมุน ก่อนจะคว้าข้อมือของถังหลี่ไว้ ทันทีที่สัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่ายนางรู้ทันทีว่าคนผู้นี้คือสามีของตัวเอง หญิงสาวปล่อยให้อีกฝ่ายพาไปยังห้องด้านใน

เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดอยู่ในห้อง เว่ยฉิงจึงปิดประตูแล้วโอบกอดภรรยาไว้ในอ้อมแขน เพื่อตักตวงความหอมหวานจากนาง

เว่ยฉิงใช้ประโยชน์จากช่วงว่างในการออกปฏิบัติภารกิจนอกจวน

เขาคิดถึงถังหลี่มากเหลือเกิน

ชายหนุ่มเหมือนสุนัขตัวใหญ่ที่เพิ่งเคยได้ลิ้มรสเนื้อ หลังจากอดทนมาเกือบทั้งวัน ย่อมมีพลังเหลือเฝือ หลังจากนั้นไม่นานนักก็ถึงเวลาที่เขาต้องกลับไป

“เจ้าคนร้ายกาจ!” ถังหลี่บ่นราวกับโกรธเคือง ทว่าใบหน้างดงามของนางยังคงแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม

เมื่อคิดถึงเว่ยฉิงแล้ว หัวใจก็เต็มไปด้วยความหวาน ถ้าไม่ใช่เพราะมีงานล่ะก็ นางต้องรับศึกหนักทุกวันแน่

ถังหลี่ตบหน้าเพื่อเรียกสติ ป้องกันไม่ให้ตนเองหมกมุ่นลุ่มหลงจนตกอยู่ในความรักมากนัก !

……..

ถังหลี่จัดเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะออกมาจากห้องด้านใน นางเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าประตูร้าน เขาดูคุ้นตาอย่างน่าแปลกใจ อายุราวยี่สิบปีสวมชุดสีขาวท่าทางเหมือนพวกบัณฑิตทั่วไป เขาปักหลักยืนนิ่งอยู่หน้าประตูราวกับเป็นเสาต้นหนึ่ง ไม่เพียงแค่ถังหลี่เท่านั้นที่สงสัย คนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็เช่นกัน

“นั่นใครหรือ เหตุใดมายืนที่ประตูเช่นนั้น ข้าเหมือนเคยเห็นเขาเมื่อวานนี้”

“ดูคุ้น ๆ นะ เป็นคนจากสกุลหวางที่อยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองใช่หรือไม่? ที่ว่าจะได้เป็นจ้วงหยวน[1]คนต่อไปน่ะ!”

“ใช่แล้ว บุตรชายของแม่ม่ายตู้ ข้าได้ยินมาว่าเขาเป็นคนเก่งมีความสามารถ สักวันจะได้เป็นขุนนางอย่างแน่นอน”

“น่าอิจฉาแม่ม่ายตู้จริง ๆ”

“แต่นางเป็นม่ายนะ”

“หากลูกข้าสอบติดอันดับต้น ๆ ได้เป็นจ้วงหยวนจริง ๆ ข้าจะยอมเป็นม่ายเช่นกัน!”

ถังหลี่มองไปที่ชายผู้นั้น เขาเป็นว่าที่จ้วงหยวนหรือ? แล้วเหตุใดถึงได้มายืนที่หน้าร้านของนางเล่า?

“นายหญิง เขามารอพบพี่ลู่ชิงขอรับ” ฉางลู่พูด

“เมื่อวานข้าก็บอกเขาไปแล้วว่าพี่ลู่ชิงไม่อยู่ที่นี่ เหตุใดเขาถึงยังได้มาอีกนะ?

พอได้ยินที่ฉางลู่พูด ถังหลี่จำได้ทันทีว่าชายผู้นี้คือคนที่ดักรอลู่ชิงอยู่ที่ทางเข้าตรอกตอนที่นางไปเยี่ยมบ้านของลู่ชิง

ถังหลี่ยืนมองอยู่ชั่วครู่

เมื่อมีคนผ่านไปผ่านมามากขึ้น คนเหล่านั้นก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย พวกเขาถามชายหนุ่มว่าเหตุใดถึงได้มายืนตรงนี้

“ขอโทษเถอะพ่อหนุ่ม” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างสงสัย

“เจ้าชอบแม่นางคนใดหรือ?”

เขาหน้าแดง กระดากอาย

“ใช่คนในเป่าชิงเก๋อหรือไม่?”

“เจ้าชอบเถ้าแก่เนี้ยถังไม่ได้นะ นางแต่งงานแล้ว” ใครบางคนพูดเย้าแหย่ขึ้นมา

ชายหนุ่มในชุดขาวหน้าแดง เขารีบอธิบายขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“ไม่ใช่เถ้าแก่เนี้ยถัง เป็นแม่นางหลู่ชิงต่างหาก”

“ข้าจำเจ้าได้แล้ว เจ้าเป็นบัณฑิตสกุลหวาง ที่เป็นคู่หมั้นของแม่นางหลู่ใช่หรือไม่?”

“สัญญาหมั้นหมายของข้ากับนางถูกยกเลิกแล้ว ข้าไม่คู่ควรกับนาง…แม่นางหลู่ไม่อยากเห็นข้า ข้ารู้ว่าข้าไม่ควรมารบกวนเช่นนี้ แต่ข้าไม่สามารถห้ามหัวใจตัวเองได้..” เขาพูดออกมาตรง ๆ

คนที่ได้ยินก็พอเดาเรื่องได้ส่วนที่เหลือได้

“บัณฑิตหวาง สัญญาหมั้นหมายของเจ้ากับแม่นางหลู่นั้น นายท่านหลู่เป็นผู้ตัดสินใจใช่หรือไม่? นายท่านหลู่ให้เจ้าหมั้นหมายกับนางโดยไม่คำนึงถึงฐานะว่าเจ้ายากจน หรือว่าเมื่อสิ้นนายท่านหลู่แล้ว แม่นางหลู่ไม่พอใจที่เจ้ามีฐานะด้อยกว่าจึงได้ฉีกสัญญาหมั้นหมายทิ้งเสีย?

“บัณฑิตหวาง ข้าไม่ได้ดูแคลนว่าเจ้ายากจนหรอกนะ อย่างไรเสียภายหน้าเจ้าย่อมประสบความสำเร็จแน่นอน ข้าหมายถึง…หรือว่าแม่นางหลู่จะเป็นพวกเกลียดคนจนรักคนรวย?”

“นายท่านหลู่เป็นคนดีมาก ไม่คิดเลยว่าบุตรสาวของเขาจะเป็นเช่นนี้

“บัณฑิตหวางเจ้าอย่าท้อนะ ทำงานให้หนัก สอบจ้วงหยวนให้ได้”

“ใช่ หากเป็นจ้วงหยวน! จะได้ไม่มีใครดูถูก!”

ผู้ชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งต่างพากันปลอบโยนบัณฑิตหวาง

“ไม่หรอก ..แม่นางหลู่ไม่ใช่คนแบบนั้น นางอาจจะมีปัญหา..” หวางชูเชิงรีบพูดขึ้น

เขาดิ้นรนอยากจะอธิบายแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถพูดออกไปได้ ทำให้คนที่อยู่บริเวณนั้นคิดว่าหลู่ชิงเป็นพวกรังเกียจคนจนรักคนรวย น่าเสียดายที่บัณฑิตหนุ่มผู้นี้รักและเทิดทูนนาง

พอถังหลี่ได้เห็นเช่นนั้น ก็อดขมวดคิ้วรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล

นางไม่เคยรู้ถึงความสัมพันธ์ของหลู่ชิงกับผู้ชายคนนี้ แต่ในช่วงเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมา จากที่นางได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับหลู่ชิง ถังหลี่มั่นใจได้ว่านางไม่ได้เป็นคนแบบนั้นอย่างแน่นอน

หากเขามีความจริงใจกับหลู่ชิงล่ะก็ เขาจะกระทำสิ่งเหล่านี้เพื่อทำลายชื่อเสียงของนางด้วยเหตุใด?

“พี่ชายท่านนี้” ถังหลี่เดินเข้าไปหาบัณฑิตหนุ่ม “ข้ามีคำถามเล็กน้อย ไม่ทราบว่าท่านจะตอบได้หรือไม่?”

“แม่นางเชิญพูดมาเถิด” บัณฑิตหนุ่มมองมาที่นาง

“ถ้าหากท่านต้องการคืนดีกับหลู่ชิง ท่านควรไปหานางที่โรงงานนะ มาที่เป่าชิงเก๋ออย่างไรก็ไม่ได้พบนางหรอก”

“อาชิงหมางเมินข้าหลายครั้ง นางเดินหนีข้าไปก่อนข้าจะพูดได้ไม่เกินครึ่งคำ” เขาพูดด้วยท่าทางหดหู่

“หากนางไม่สนใจท่านก็ไม่มีประโยชน์ที่จะมาอยู่ยืนที่นี่ ทำเช่นนี้ไม่เท่ากับว่าอยากให้ทุกคนเพ่งเล็งหลู่ชิง บีบบังคับนางมาหาท่านหรือ?

“คิดไปแล้ว…ข้าอดสงสัยในความจริงใจที่ท่านมีต่อนางไม่ได้?”

…………………….

[1] จ้วงหยวน หรือจอหงวน คือชื่อตำแหน่งของผู้ที่สอบได้อันดับ 1 ในการสอบคัดเลือกข้าราชการของจีนแผ่นดินใหญ่ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์