จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 130
“ขอแสดงความยินดีกับผู้เล่น “ฉินเทียน” สําหรับการสังหารหวังซี ได้รับค่าประสบการณ์ 500,000 หน่วย ค่าพลังปราณ 110,000 จุด ค่าการรอดชีวิต 10,000 จุด…”
” ขอแสดงความยินดีกับผู้เล่น “ฉินเทียน” สําหรับการเพิ่มระดับ ระดับการบ่มเพาะปัจจุบัน ระดับหกขั้นกลั่นวิญญาณ…”
” ขอแสดงความยินดีกับผู้เล่น “ฉินเทียน” สําหรับการได้รับ ทักษะเทพแห่งความมืดทําลายล้าง” ท่านต้องการยอมรับและเรียนรู้หรือไม่?”
“ยอมรับ” ฉินเทียนตอบตกลงอย่างไม่ลังเล สมองของเขาคงไปถูกลาเตะมาหากไม่เรียนทักษะระดับอมตะนี้
หวังซีตกตาย ฉินเทียนยินดี
นอกจากระดับจะเพิ่มขึ้นเป็นระดับหกขั้นกลั่นวิญญาณแล้ว เขายังได้รับทักษะระดับอมตะ “เทพแห่งความมืดทําลายล้าง” พลังการดูดกลืนของความมืดนั้นน่าตกตะลึงราวกับราชาแห่งยมโลกปรากฏตัวขึ้นลงมือด้วยตัวเอง
หากไม่ใช่เพราะความกลัวในจิตใจและต้องใช้พลังสวรรค์มากมายไปป้องกันเงาโลหิต เทพแห่งความมืดทําลายล้างของหวังซีก็คงได้แสดงความน่ากลัวอย่างเต็มที่ และฉินเทียนก็คงไม่รอด
เทพแห่งความมืดทําลายล้าง เป็นทักษะระดับอมตะ ผู้ฝึกฝนจะสามารถหยิบยืมพลังแห่งความมืดของราชานรกมาใช้งาน เป็นทักษะที่น่าสะพรึงอย่างมาก
ด้วยเพราะฝึกฝนทักษะเทพแห่งความมืดทําลายล้างนี้เอง หวังซีจึงสามารถทะลวงผ่านไปขั้นสวรรค์ได้ก่อนอายุร้อยปี หากไม่ได้เทพแห่งความมืดทําลายล้าง เขาก็คงไม่ประสบความสําเร็จอย่างทุกวันนี้
กระนั้นเขาก็เพิ่งทะลวงผ่านมาได้เพียงเดือนกว่าๆ เพิ่งขึ้นเป็นผู้ดูแลได้ไม่ทันไรก็ต้องมาถูกฉินเทียนฆ่าตาย นับว่าน่าคับแค้นใจนัก
หลังจากสังหารหวังซีได้แล้ว ฉินเทียนก็สลายปราณเพลึงสีม่วง จากนั้นจึงยืนอย่างสง่างามอยู่ท่ามกลางสนามประลองที่พังทลาย ท่วงท่าอันสูงส่งนี้ทําให้เหล่าศิษย์สตรีที่พบเห็นต่างกรีดร้องเรียกชื่อของฉินเทียน…………..
“ฉินเทียน!”
หยางฮั่นที่อยู่ภายในห้องส่วนตัวกัดฟันแน่น ความโกรธสุมอัดแน่นอยู่ในอก ร่างกายของเขาสั่นเทิ้ม นัยน์ตาแดงก่ํา ขณะที่จ้องมองฉินเทียนเขาก็รู้สึกโกรธจนไม่อาจบรรยาย ” หวังซี เจ้าสวะเอ๊ย….”
“รอก่อนเถอะ…เจ้ามีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานนักหรอก” ประกายสังหารวูบผ่านแววตา จากนั้น หยางฮันจึงหมุนตัวเดินออกจากห้องไป……………
“มารดามันเถอะ! ศิษย์พี่ฉินเทียนแข็งแกร่งเกินไปแล้ว”
“สนามประลองแทบจะถูกเขาทําลายทิ้งไป ดูเหมือนจะโนครั้งแรกที่เกิดเรื่องเช่นนี้ใช่หรือเปล่า?”
“แข็งแกร่ง แข็งแกร่งยิ่งนัก…แล้วคนชุดดําที่ต่อสู้กับเขาเป็นใครกันนะ?”
ฉางเฟิงและฟางขุยเริ่มพูดคุยกันด้วยความตื่นเต้น สายตาที่มองดูฉินเทียนเปลี่ยนเป็นเทิดทูน
หลินหยานนิ่งอยู่เป็นนาน ร่างกายค่อยๆสั่นเพิ่มขึ้นอย่างพลุ่งพล่านใจ เวลาไม่ถึงหนึ่งปี ฉินเทียนก็ทิ้งห่างพวกเขาไปไกลลิบ เปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งไว้ประมาณ มองย้อนกลับมาดูตัวเอง หัวใจของเขาก็พลันสงบ แววตาเปลี่ยนเป็นมุ่งมั่นขึ้นมา สายตายกขึ้นมองฟ้า ในใจตัดสินใจเรื่องราวได้ประการหนึ่ง
คิ้วที่ขมวดมุ่นของยี่เชียนหานในที่สุดก็ผ่อนคลายลงเมื่อเห็นว่าฉินเทียนยังมีชีวิตอยู่ นางอดหัวเราะออกมาเบาๆไม่ได้ เหตุการณ์ที่ราวกับภูเขาน้ําแข็งหลอมละลายนี้สร้างความตกตะลึงให้กับคนรอบตัวนัก
ผู้ตัดสินชราก้าวเดินขึ้นเวที สายตาชําเลืองมองร่างของหวังซีก่อนจะถอนหายใจกล่าวกับฉินเทียน “เจ้าก่อปัญหาขึ้นแล้ว”
แน่นอนว่าฉินเทียนย่อมทราบว่าตนเองได้เพาะสร้างเป็นความแค้นกับกลุ่มชิงเทียนเข้าเสียแล้ว และวันคืนอันสงบสุขภายในสํานักแห่งนี้ก็คงจบลงด้วยเช่นกัน แต่เขาได้วางแผนการเอาไว้เนิ่นนานแล้ว เขาจะนําแต้มผลงานไปแลปเปลี่ยนกับคุณสมบัติการเป็นศิษย์สายในทันที เขาจะรับงานและหาโลกมิติจําเพาะเพื่อเพิ่มเลเวลขึ้นอย่างเงียบๆ หลังจากบรรลุขั้นสวรรค์แล้วค่อยกลับมา ถึงตอนนั้น ต่อให้กลุ่มชิงเทียนคิดเล่นงานเขา มันก็คงไม่ง่ายอีกแล้ว
ศิษย์ที่มีระดับบ่มเพาะถึงขั้นสวรรค์ พวกเขาย่อมมีฐานะสูงส่งในสํานัก
แม้แต่ประมุขของแปดตําหนักก็ยังต้องให้ความสนใจต่อตัวเขา ที่เขาต้องทําก็เพียงเข้าร่วมกับขุมกําลังหนึ่งในแปดฝ่ายนั้น และกลุ่มชิงเทียนก็จะไม่อาจลงมือกับเขาอย่างโจ่งแจ้งได้อีก
หลังจากความคิดของตนเองออกไป ผู้ตัดสินชราก็ถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะเดินลงจากเวทีไป
ฉินเทียนหัวเราะ
กลุ่มชิงเทียนมักใหญ่ใฝ่สูง ควบคุมการรับสมัครศิษย์ใหม่และกระทั่งสงครามชิงอํานาจ สร้างความกริ่งเกรงขึ้นในใจผู้คน บนเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ หากหัวใจก่อเกิดเป็นความกลัวขึ้นมา เช่นนั้นแล้วยังจะประสบความสําเร็จในเส้นทางอันไร้สิ้นสุดนี้ได้อีกหรือ?
ตัวเขาฝึกฝนอยู่ในเตาแห่งการฆ่า ไร้ซึ่งการฆ่า ก็ไร้ซึ่งหนทางบรรลุเตา
ไม่ว่าจะกลุ่มชิงเทียนหรือหลงเสี่ยวเทียน สําหรับเขาแล้ว ทั้งหมดก็เป็นเพียงบันไดขั้นหนึ่งในเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ
หลังสงครามชิงอํานาจสิ้นสุดลง ฉินเทียนและกลุ่มของหลินหยานก็พูดคุยกันสองสามประโยคก่อนแยกจาก
เมื่อมีแต้มผลงานกว่าสองแสนสี่หมื่นแต้มอยู่ในมือ เขาก็ทั้งตื่นเต้นและกังวล
เมื่อฟ้าเริ่มมืดค่ํา ฉินเทียนก็ไปยังหอภารกิจก่อนจะตรงดิ่งขึ้นไปยังชั้นสาม
ชั้นที่สามของหอภารกิจชั้นนอกจะเป็นสถานที่ที่มีการแลกเปลี่ยนขนาดใหญ่ตั้งแต่ห้าหมื่นแต้มขึ้นไป
ขณะที่เขาเดินเข้ามา ชายชราผู้หนึ่งก็ปั้นรอยยิ้มเดินเข้ามารับหน้า เขาโค้งตัวลงก่อนจะเอ่ยปากถามอย่างสุภาพ “คุณชายต้องการจะแลกเปลี่ยนสิ่งใด?”
น้ําเสียงอันเปี่ยมด้วยความนอบน้อมทําให้ผู้ฟังรู้สึกสบายใจ ฉินเทียนรู้สึกราวกับตนเองเป็นเศรษฐีมีเงินคนหนึ่ง
ฉินเทียนเดินดูรอบๆ ชายชราก็เดินติดตามพร้อมรอยยิ้มอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหงุดหงิดแต่อย่างใด ผู้ที่สามารถขึ้นสู่ชั้นสามได้ย่อมได้รับการตรวจสอบตัวตนมาก่อนแล้ว เขาย่อมไม่กังวลว่าฉินเทียนจะไม่มีแต้มผลงานเพียงพอจับจ่าย
” ขอถามได้หรือไม่ว่าข้าจะแลกเปลี่ยนคุณสมบัติการเข้าเป็นศิษย์สายในได้ที่ไหน?” หลังจากเดินวนดูจนทั่ว เขาก็ยังหาไม่พบ ดังนั้นจึงต้องเอ่ยถามออกมา
ชายชราชะงัก การใช้แต้มผลงานแลกเปลี่ยนคุณสมบัติเข้าเป็นศิษย์สายในนับเป็นการทําการค้ารายใหญ่ รอยยิ้มที่มองดูฉินเทียนเปลี่ยนเป็นมิตรมากขึ้นราวกับว่าเขากําลังมองไปยังบิดาบังเกิดเกล้าของเขาเอง “คุณชายโปรดรอสักครู่ การแลกเปลี่ยนคุณสมบัติเป็นศิษย์สายในนั้นผู้อาวุโสของหอภารกิจจะเป็นผู้ดําเนินการให้ด้วยตนเอง”
ฉินเทียนพยักหน้าก่อนจะตอบกลับ “อา เช่นนั้นต้องขอรบกวนเชิญท่านผู้อาวุโสแล้ว”
ย่อมแน่นอน” ชายชราโค้งตัวก่อนจะเดินเข้าไปยังห้องขนาดเล็กห้องหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง
ฉินเทียนนั่งลงรอคอยอย่างอดทน
ผ่านไปพักหนึ่ง ประตูก็เปิดออกและชายชราที่ร่างผอมแห้งผู้หนึ่งก็เดินหัวเราะออกมา เมื่อมาถึงตรงที่ฉินเทียนอยู่ เขาก็มองฉินเทียนคราหนึ่งก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา “เจ้าต้องการแลกเปลี่ยนคุณสมบัติเข้าเป็นศิษย์สายใน?” น้ําเสียงของเขาเต็มไปด้วยความดูถูก
ฉินเทียนลุกขึ้นยืน ” ขอรับ”
“เหอเหอ เจ้ามีแต้มผลงานพอหรือ?” ชายชราแค่นเสียงพลางกวาดสายตามองขึ้นมองลงบนร่างฉินเทียน ร่องรอยของความดูถูกยิ่งมายิ่งมากขึ้น
ฉินเทียนงุนงง ก่อนจะขึ้นมายังชั้นสามก็ต้องถูกตรวจแต้มผลงามก่อนรอบหนึ่งแล้ว ผู้อาวุโสที่อยู่ตรงหน้าก็สมควรจะทราบเรื่องนี้ แล้วทําไมยังถามคําถามนี้อีก?
ฉินเทียนรู้สึกรําคาญอยู่บ้าง แต่เขาก็ตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม “เรียนผู้อาวุโส แต้มผลงานของข้าเพียงพอแลกเปลี่ยนคุณสมบัติเข้าเป็นศิษย์สายใน”
“โอ้? เช่นนั้นก็ดี” ชายชรายกมือขึ้นแคะจมูก “งั้นตอบข้ามา เจ้าไปได้แต้มผลงานมาจากไหน?”
” เอ๊ะ?” ฉินเทียนงุนงง เขาจ้องชายชรา ไม่เข้าใจว่าคําพูดนี้หมายความว่าอย่างไร
” อะไร? ไม่เข้าใจคําถามของข้างั้นรึ? บอกมาว่าเจ้าไปเอาแต้มผลงานมาจากไหน?” ชายชราตะคอกพลางจ้องฉินเทียนเขม็ง
“เรื่องนี้จําเป็นต้องให้ผู้อาวุโสท่านทราบด้วยหรือ?” สีหน้าของฉินเทียนแปรเปลี่ยนไป หากมีคนล้ําเส้น เขาก็ย่อมไม่ไว้หน้าอีกฝ่ายอีกต่อไป การกดดันของชายชราทําให้ฉินเทียนไม่พอใจ น้ําเสียงจึงแข็งกระด้างขึ้นมา
“เป็นเพียงศิษย์ประตูหวงก็กล้าขึ้นเสียงกับข้าเช่นนี้ ดูเหมือนเจ้าจะเบื่อหน่ายชีวิตแล้ว” ทันใดนั้นชายชราก็ตะโกนออกมา “ข้าสงสัยว่าแต้มผลงานที่เจ้าได้รับมาจะมาจากช่องทางที่ไม่โปร่งใส จงส่งป้ายไม้ของเจ้ามาและรับการไต่สวนเสีย”
“บัดซบ!” ฉินเทียนสบถ
” กล้าสบถใส่ข้า?” ชายชราแค่นเสียง “ล้วนเข้ามา จับตัวเขาเอาไว้ การเสียมารยาทต่อผู้อาวุโสแห่งหอภารกิจ ดูเหมือนเจ้าจะโอหังอวดดีจนไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาแล้ว”
มีคนหกคนรีบเข้ามาล้อมฉินเทียนเอาไว้ ทุกคนล้วนเป็นผู้บ่มเพาะยอดฝีมือ
ไฟโทสะเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของฉินเทียน