ตอนที่ 33 โชคเข้าข้าง

ซากกระดูก!

กองกระดูกที่หนาแน่นปรากฏขึ้นเต็มดวงตาพวกเขา กระดูกเหล่านี้เป็นทั้งของมนุษย์และสัตว์อสูรทมิฬ มันทับทมกันหนาแน่นจนเป็นกองพะเนิน ภาพที่เห็นนี้มันช่างดูสยดสยองและน่ากลัวยิ่งนัก

หยางเย่ขมวดคิ้วทันทีที่เห็นกองซากกระดูก พื้นที่แห่งนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ‘ยามนี้เรากับแม่นางชุดขาวได้สูญเสียการบ่มเพาะพลังไปแล้ว นี่มันเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างแท้จริง!’

เมื่อนึกได้หยางเย่หันไปมองสตรีชุดขาวด้านข้าง ทันใดที่สังเกตเห็นนางกำลังขมวดคิ้วแน่นเช่นกัน ใจเขาถึงกับผวา “แม้แต่ท่านก็ไม่คุ้นเคยสถานที่เช่นนี้หรือ?”

นางมองไปยังหยางเย่เมื่อได้ยิน “ตามบันทึกของสำนักดาบราชัน เหวมรณะคือสถานที่ของสัตว์อสูรทมิฬใช้เขี่ยซากมนุษย์ลงมา บรรดามนุษย์ที่เข้าสู่เทือกเขามรณะโดยไม่ได้รับอนุญาต พวกเขาจะถูกสัตว์อสูรทมิฬสังหารและโยนลงมาในเหวมรณะนี้”

เมื่อกล่าวจบ นางหันไปมองรอบด้าน “อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ปัจจุบัน มันคงไม่ง่ายเสียแล้วล่ะ!”

หยางเย่เงียบไปชั่วขณะก่อนจะกล่าว “พวกเราสามารถใช้ยันต์สื่อสารเพื่อแจ้งให้คนของสำนักดาบราชันทราบได้หรือไม่?”

นางส่ายหัวพร้อมมองขึ้นไปที่หมอกสีแดง ใบหน้านางแสดงให้เห็นถึงความกังวลใจขณะที่บ่นพึมพำ “พลังงานแปลกประหลาดที่ปกคลุมที่นี่ มันเป็นข้อจำกัดของพลังงานลึกลับ”

เมื่อกล่าวจบ ดวงตานางเกิดประกายสงสัย จากนั้นมองไปที่หยางเย่อย่างเย็นชา “อย่าถามข้าว่าข้อจำกัดนั้นมันคืออะไร เพราะเจ้าเองก็ไม่อาจเข้าใจมันได้หรอก”

‘ท่านวิเศษนักหรือไง! ยังไงตอนนี้ท่านก็เพียงเป็นคนปกติอยู่ไม่ใช่หรือ!?’ หยางเย่กัดริมฝีปากพร้อมมีอาการไม่พอใจเล็กน้อยในใจ แต่เดิมตั้งใจจะถามว่ามันคือข้อจำกัดอะไร แต่เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาทำได้เพียงล้มเลิกความคิดทั้งหมด

หยางเย่พยายามหยุดให้นางเย้ยหยัน เขาหยิบแหวนมิติที่ฉกมาจากหัตถ์โลหิตก่อนหน้านี้ พลังปราณไหลซึมเข้าไป เมื่อเห็นของวิเศษข้างใน หยางเย่แสดงท่าทางยินดียิ่งนักออกมา

แค่หินพลังปราณข้างในก็ไม่น้อยไปกว่าสามหมื่นก้อนแล้ว ข้างในนั้นยังมีของวิเศษมากกว่ายี่สิบชิ้น ทั้งยังมีดาบอยู่ในบรรดาของวิเศษอีก

หยางเย่รู้สึกตื่นเต้นทันทีที่ได้เห็นดาบ เพราะมันคือดาบขั้นสีดำ ถึงแม้มันจะเป็นระดับต่ำ มันก็ยังเป็นถึงของวิเศษขั้นสีดำ ยิ่งกว่านั้นบรรดาศิษย์นอกสำนักก็ไม่มีผู้ใดครอบครองของวิเศษขั้นสีดำสักคน

นอกจากดาบขั้นสีดำ ยังมีของวิเศษอีกชิ้นที่เป็นระดับสูงของขั้นสีเหลือง สิ่งนี้ทำให้หยางเย่ค่อนข้างผิดหวัง

แต่ก็ไม่ได้ผิดหวังนานเท่าไหร่ เพราะยังมีคัมภีร์อยู่ข้างในแหวนมิติอีก พวกมันคือวิชาทั้งหมด มันถูกเรียงดังนี้ วิชาขั้นสีดำระดับต่ำเพลงกระบี่ดื่มโลหิต กระบวนท่าขั้นสีเหลืองระดับกลางวิชาเท้าวายุ และวิชาขั้นสีดำระดับต่ำวิชาคลื่นมังกรทมิฬ

หยางเย่ไม่ได้สัมผัสถึงอาการไม่พอใจของสตรีชุดขาวที่ยืนอยู่ด้านหลัง เขานำวิชาทั้งสามออกมา ขณะที่มองไปยังพวกมัน สตรีชุดขาวกล่าวขึ้นมาทันที “นอกจากวิชาเท้าวายุ เจ้าห้ามฝึกวิชาอื่นเด็ดขาด!”

หยางเย่ชะงักพร้อมถามกลับ “ทำไมกัน? วิชาเหล่านี้ล้วนเป็นขั้นสีดำทั้งนั้น!”

ขณะที่เขานึกบางสิ่ง หยางเย่มองสตรีชุดขาวด้วยแววตาสงสัย “ท่านคงไม่คิดจะเก็บวิชาทั้งสองนี้ไว้เองใช่หรือไม่?”

ทันทีที่กล่าวจบ หยางเย่รู้สึกมั่นใจถึงความเป็นไปได้มากขึ้น เขาเดินถอยหลังเล็กน้อยออกจากสตรีชุดขาว

เมื่อนางได้ยินหยางเย่และเห็นท่าทีเช่นนั้น เปลือกตาสตรีชุดขาวถึงกับกระตุก นางแสดงอาการโมโหออกมา แต่ก็สงบลงในเวลาไม่นาน นางกล่าวอย่างเย็นเยือก “เจ้าอยากทำสิ่งใดก็ทำ ในยามนั้นเจ้าต้องสามารถหนีทั้งสำนักภูตผีและสำนักดาบราชันได้ด้วยพลังของเจ้าเอง!”

หยางเย่ชะงักเมื่อได้ยิน เขาเข้าใจว่าต้องหลบหนีพวกสำนักภูตผีอยู่แล้ว แต่ที่สงสัยคือเหตุใดสำนักดาบราชันต้องไล่ล่าเขาด้วย?

เมื่อเห็นว่าสตรีชุดขาวไม่ได้พูดล้อเล่น หยางเย่ลังเลใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกล่าว “มันเป็นเพียงวิชาขั้นสีดำระดับต่ำสองอันเท่านั้น มันมีความสำคัญอันใดงั้นหรือ?”

แต่เดิมนางไม่ได้ตั้งใจจะสนทนากับหยางเย่ แต่เมื่อเห็นหยางเย่เป็นศิษย์สำนักดาบราชัน และดูมีแววจะเป็นผู้นำได้ในภายภาคหน้า ดังนั้นนางจึงไม่ต้องการให้หยางเย่เดินทางผิด

นางเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าว “สำนักดาบราชันและสำนักภูตผีเป็นศัตรูกันมาเนิ่นนาน เมื่อคนของทั้งสองสำนักเจอกัน พวกเขาจะต้องเข่นฆ่ากันอย่างแน่นอน หากเจ้าฝึกฝนวิชาจากสำนักภูตผี ศิษย์ของสำนักทั้งสองย่อมไม่ปล่อยเจ้าไว้ และสำนักภูตผีไม่ยอมให้คนของสำนักดาบราชันฝึกวิชาพวกมันแน่นอน และสิ่งที่สำคัญสุดคือ วิชาของหัตถ์โลหิตต้องใช้เลือดระดับหนึ่ง เจ้าจะไม่สามารถใช้มันได้หากไม่สังหารคนปกติถึงหนึ่งหมื่นคน”

‘สังหารถึงหนึ่งหมื่นคนเลยหรือ?’ หยางเย่ค่อนข้างสับสน ได้ยินเช่นนั้นเขารีบเปิดอ่านคำกล่าวในคัมภีร์ หลังจากอ่านจบ จึงหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา ดังเช่นที่นางกล่าว วิชานี้ต้องใช้เลือดเป็นตัวขับเคลื่อน หากคิดจะฝึกฝนมันถึงระดับหัตถ์โลหิต ก็คงเป็นไปไม่ได้โดยไม่สังหารคนถึงหนึ่งหมื่น!

เขาสังหารคนที่สมควรถูกสังหารเท่านั้น หากสังหารเพื่อฝึกวิชา เขาคงไม่ให้ตนเองทำเช่นนั้นเป็นแน่

ท้ายที่สุดหยางเย่ล้มเลิกความตั้งใจในสองวิชานี้ ด้านหนึ่งคือเขาไม่ต้องการสังหารคนถึงหนึ่งหมื่น อีกด้านคือไม่ต้องการถูกไล่ล่าจากทั้งสองสำนักเมื่อฝึกฝนวิชา

ถึงแม้วิชาขั้นสีดำจะยอดเยี่ยมเพียงใด แต่ชีวิตเขาย่อมสำคัญกว่าแน่นอน!

เมื่อเห็นหยางเย่แสดงท่าทางไม่พอใจ สตรีชุดขาวกล่าวอย่างเย็นเยือก “มันแค่สองวิชาเท่านั้น มันทำให้เจ้าต้องไม่พอใจขนาดนี้เชียวหรือ? ดูเจ้าทำเหมือนสำนักดาบราชันของข้าไม่มีวิชาที่ดี!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หยางเย่บันดาลโทสะออกมาพร้อมกล่าว “ท่านหยุดวิจารณ์เสียทีได้ไหม? ท่านทราบหรือไม่ว่าข้าต้องฝึกฝนวิชาอะไรมาบ้าง? ข้าฝึกแค่วิชาพื้นฐานของสำนักดาบราชันเท่านั้น วิชาที่ดีที่สุดที่ข้ามีคือวิชาดาบแยกลมปราณ มันคือสิ่งที่ข้าได้มาด้วยโชค ทั้งยังเป็นฉบับคัดลอกและไม่มีคำอธิบายใดประกอบ ท่านคิดว่าสำหรับข้ามันง่ายงั้นหรือ?”

เมื่อเห็นหยางเย่ไม่สบอารมณ์ สตรีชุดขาวกล่าวอย่างเย้ยหยัน “ก็แค่วิชาไม่ใช่หรือ?”

ขณะกล่าวนางพลิกข้อมือและโยนคัมภีร์เล่มหนึ่งให้หยางเย่ “มันคือวิชาขั้นสีดำระดับกลางดัชนีดาบราชัน เมื่อฝึกฝนจนถึงระดับสูง เจ้าจะสามารถใช้ปราณดาบจำนวนมหาศาลได้เท่าที่พลังปราณในร่างกายมี”

หยางเย่ถึงหน้าแดงก่ำเมื่อสตรีชุดขาวเผยท่าที ทว่าภายในตื่นเต้นเป็นล้นพ้น เพราะวิชาดัชนีดาบราชัน มันคือวิชาที่นางใช้ต่อกรกับหัตถ์โลหิตเป็นกระบวนท่าสุดท้าย

เมื่อนึกถึงปราณดาบที่ปกคลุมทั่วท้องฟ้า หยางเย่ตื่นเต้นอย่างมาก “ขั้นสีดำระดับกลาง! ข้ามีวิชาขั้นสีดำระดับกลางแล้ว…”

จะไม่ให้ตื่นเต้นได้ยังไง? แม้กระทั่งผู้อาวุโสนอกสำนักอย่างผู้อาวุโสเชียน ยังไม่มีวิชาขั้นสีดำระดับกลางด้วยซ้ำ!

ดวงตาหยางเย่เปิดกว้างเมื่อกางคัมภีร์ดูข้างใน เขาเหลือบมองสตรีชุดขาวพร้อมกล่าว “ท่านเป็นคนเขียนมันเองงั้นหรือ?”

สตรีชุดขาวมองไปที่หยางเย่แต่ไม่กล่าวอันใด

หยางเย่เองก็ไม่โกรธเคือง เขายิ้มให้พร้อมเอ่ยคำ “ขอบคุณ!”

มันเป็นคำพูดที่มาจากใจอย่างแท้จริง เพราะวิชาขั้นสีดำเป็นของล้ำค่ามาก แต่นางกลับไม่ลังเลที่จะมอบให้เขา ยิ่งกว่านั้นมันยังเป็นวิชาที่มีคำอธิบายประกอบด้วย กล่าวคือเมื่อฝึกฝนวิชานี้ในอนาคต เขาจะฝึกฝนได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าเดิม!

“ถือว่าเป็นค่าตอบแทนที่ช่วยชีวิตข้าไว้” สตรีชุดขาวกล่าวอย่างเย็นชา จากนั้นเหมือนจะนึกบางอย่างและกล่าวอีกครั้ง “อีกอย่างจงอย่าได้ใช้กระบี่โลหิตของหัตถ์โลหิต”

หยางเย่ชะงักเมื่อได้ยินเช่นนั้น ‘ข้าเกือบจะลืมเรื่องกระบี่โลหิตไปแล้ว’

ด้วยการพลิกข้อมือ กระบี่โลหิตปรากฏขึ้นมาทันที กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งออกมากระทบจมูกเขา

หยางเย่ขมวดคิ้ว เขาพยายามทนกลิ่วคาวเลือดขณะมองมันอย่างระมัดระวัง

กระบี่โลหิตยาวประมาณเมตรกว่าและกว้างห้านิ้ว หัวกะโหลกจำนวนมากประดับอยู่ที่ด้ามจับ กระบี่ที่ย้อมสีแดงราวกับเลือดสด หยางเย่ทราบว่าของเหลวสีแดงนั้นไหลออกมาจากกระบี่

“มันคือของวิเศษขั้นสีดำระดับกลาง” สตรีชุดขาวมองไปที่กระบี่โลหิตในมือหยางเย่ จากนั้นนางกล่าวเสียงต่ำ “ศาสตราวุธนี้สามารถเติบโตได้ ด้วยสถานะปัจจุบัน มันสามารถบรรลุระดับสูงได้หากดื่มเลือดมนุษย์อีกหมื่นคน”

“ขั้นสีดำระดับกลาง?” ดวงตาหยางเย่เปล่งประกาย ของวิเศษอะไรกันนี้!

นอกจากระดับขั้นการบ่มเพาะพลังที่จำเป็นในการต่อสู้แล้ว วิชาและของวิเศษยังจำเป็นพอกัน

เมื่อเห็นดวงตาหยางเย่เปล่งประกาย สตรีชุดขาวกล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำ “กระบี่โลหิตนี้สังหารศิษย์สำนักดาบราชันมานับไม่ถ้วน ดังนั้นข้าจะสังหารเจ้าทิ้งหากบังอาจใช้มัน!”

หยางเย่หุบรอยยิ้มทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น “ท่านขู่ข้างั้นหรือ?”

คติของเขาคือหากผู้อื่นเคารพเขาก็ย่อมเคารพผู้อื่นตอบ หากมีใครขู่เอาชีวิตเขา ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นใคร เขาจะถือว่าเป็นศัตรู

“หากเป็นเช่นนั้นแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับข้างั้นหรือ?” สตรีชุดขาวมองไปที่หยางเย่ขณะกล่าวอย่างใจเย็น

หยางเย่สะบัดกระบี่ไปอีกทางและกล่าว “หากเป็นเช่นนั้น พวกเราก็ต้องเป็นศัตรูกัน ข้าจะไม่มีวันปรานีศัตรู แม้ว่าศัตรูจะงดงามเพียงใดหรือเป็นศิษย์สำนักดาบราชันก็ตาม”

เมื่อกล่าวจบ จิตสังหารแผ่ออกมาจากตัวหยางเย่ มีเหตุผลมากมายที่เขาไม่ต้องการสังหารนาง แต่ก็มีเหตุผลที่จะสังหารเธอได้เช่นกัน ดังเช่นก่อนนี้นางทราบถึงความลับบางอย่างของเขา แค่เพียงเหตุผลนี้ก็เพียงพอที่จะสังหารนาง ยังไม่รวมถึงที่ถูกขู่สังหารอีก

“เจ้าอยากสังหารข้างั้นหรือ?” สตรีชุดขาวยิ้มอย่างยั่วยุ