ตอนที่ 34 เหตุการณ์ไม่คาดฝันอีกครั้ง 2

สตรีชุดขาวมองไปที่หมาป่าสีเทา จากนั้นกระโจนขึ้นข้างหลังหยางเย่ นางนั่งห่างจากหยางเย่เล็กน้อย เห็นเช่นนั้นหยางเย่ค่อนข้างผิดหวัง แต่เดิมเขาตั้งใจให้สตรีชุดขาวนั่งข้างหน้าและโอบกอดไว้ขณะสั่งหมาป่าให้พุ่งอย่างรวดเร็ว โชคไม่ดีแผนนี้ต้องพังลง

หมาป่าสีเทาเข้าใจคำสั่งเมื่อหยางเย่ลูบที่หลัง

ฟิ้ว!

มันกลายเป็นประกายแสงสีเทาทันทีที่พุ่งตรงไป

หมาป่าสีเทาพุ่งไปอย่างรวดเร็วเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม ตลอดทางมันเต็มไปด้วยซากกระดูก มันทำให้ท่าทีของทั้งสองอึดอัดยิ่งนัก ด้วยความเร็วของหมาป่าสีเทา มันพุ่งได้ถึงหนึ่งร้อยห้าสิบกิโลเมตรในหนึ่งชั่วยาม แต่ตลอดทางก็ยังเต็มไปด้วยซากกระดูก สิ่งนี้ทำให้พวกเขาตกตะลึงในใจอย่างมาก ความสงสัยผุดขึ้นมาว่ามีกี่ชีวิตกันที่ถูกฝังใต้เหวนี้ ยิ่งกว่านี้มันยังทอดยาวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

หลังจากหมาป่าสีเทาวิ่งมาเป็นเวลาอีกครึ่งชั่วยาม ท้องฟ้ากลายเป็นมืดครึ้ม มันกลายเป็นสีดำทึบอยู่ตรงหน้าพวกเขา หยางเย่ทำสิ่งใดไม่ถูกนอกจากบอกให้หมาป่าสีเทาหยุด

เขาหยิบหินแสงจันท์ออกมาพร้อมคิ้วที่ขมวดแน่นเมื่อมองไปตรงหน้า เหวมรณะแห่งนี้ช่างลึกลับน่ากลัวอย่างยิ่ง ทั่วพื้นที่เต็มไปด้วยซากกระดูก ทั้งยังมีหมอกสีแดงข้างบน ส่งผลให้มันเต็มไปด้วยสัมผัสแปลกประหลาดอยู่รอบกาย นอกจากกระดูกและหมอกสีแดงพวกเขายังไม่พบสิ่งที่จะเป็นอันตราย แต่หยางเย่มีความรู้สึกบางอย่างว่าต้องมีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นแน่

ทันใดนั้นเองสตรีชุดขาวเอ่ยถาม “เจ้ากำราบสัตว์อสูรระดับเก้าตัวนี้ได้ยังไง?”

เรื่องราวที่เกิดขึ้นทำนางสับสนไม่ใช่น้อย โดยปกติสัตว์อสูรทมิฬไม่ผูกไมตรีกับมนุษย์ ในความเป็นจริงมันเป็นไปได้ยากที่มันจะยอมจำนนด้วยซ้ำ แต่หยางเย่ครอบครองถึงสองสัตว์อสูรทมิฬ ทั้งคู่ยังเชื่อฟังคำสั่งเขาทุกคำ หากไม่เห็นตัวตาตนเอง นางคงไม่เชื่อในเรื่องนี้แน่นอน

“เสน่ห์ไง เมื่อข้าเจอมันที่หุบเขาหมาป่าใต้ มันถูกกำราบโดยเสน่ห์ของข้า จากนั้นมามันก็ไม่ยอมไปไหนอีกเลย ด้วยเหตุนี้มันจึงติดอยู่กับข้า” หยางเย่มองไปรอบด้านในขณะที่กำลังหาข้อแก้ตัว

“ข้าเหมือนคนโง่งั้นหรือ?” สตรีชุดขาวกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย

หยางเย่กล่าวต่อ “ข้าว่าท่านควรกังวลเกี่ยวกับการหาทางออกก่อน ไม่ใช่เรื่องที่หมาป่าสีเทาฟังคำสั่งข้า ความแข็งแกร่งของท่านร้ายกาจ และความรู้ก็กว้างขวางกว่า เป็นไปได้หรือที่ท่านไม่มีหนทางใด? หรือความคิดใดก็ไม่มีงั้นหรือ? ท่านไม่กลัวความตายเลยหรือไง?”

“ข้าไม่มีหนทางใดทั้งนั้น! และยังไม่มีความคิดใดด้วย!”

“ท่านไม่เกรงกลัวความตายเลยงั้นหรือ?” หยางเย่มองไปที่สตรีชุดขาวขณะถาม ตลอดเส้นทางนั้นเต็มไปด้วยอันตราย แต่สตรีชุดขาวยังไม่แสดงอาการกังวลหรือความกลัวเลยแม้แต่น้อย เขาค่อนข้างรู้สึกเลื่อมใสนางเล็กน้อย

“ศิษย์สำนักดาบราชันสามารถตกตาย แต่ไม่อาจมีความกลัวในหัวใจ” สตรีชุดขาวคล้ายจะชี้แนะหยางเย่

หยางเย่กลอกตาและกล่าว “หากท่านต้องการสื่อว่าข้ากลัวตายก็บอกกันโดยตรงเถอะ”

“เจ้าไม่ได้กลัวความตายหรอก!”

“ทำไมล่ะ?” หยางเย่ถามอย่างจริงจัง

สตรีชุดขาวมองอย่างเย็นชาไปที่หยางเย่ “หากเจ้ากลัวตาย คงไม่สามารถสังหารหัตถ์โลหิตได้หรอก หากเจ้ากลัวตายก็คงไม่พาข้าหนีมาด้วยเช่นกัน บุคลิกและการจัดการของเจ้าเหมาะสมที่จะฝึกฝนในเส้นทางแห่งดาบอย่างยิ่ง” ขณะกล่าวจบ ดวงตาของสตรีชุดขาวแสดงถึงความยกย่อง

แขว้ก!

ขณะที่หยางเย่กำลังจะกล่าวบางอย่าง เสียงร้องแหลมดังบาดหูอยู่ด้านบน เสียงร้องแรกดังขึ้น เสียงที่สองตามมา ครั้งที่สามก็ดังต่อเนื่องมาไม่หยุด ไม่นานนักเสียงร้องแสบหูได้ดังก้องไปทั่วเหว

ท่าทีหยางเย่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงร้องนี้ จากนั้นจึงเงยหน้ามองท้องฟ้า ข้างบนถูกปกคลุมไปด้วยจุดสีเขียวสองคู่จำนวนนับไม่ถ้วน ถึงแม้จะไม่เห็นรูปลักษณ์ของสัตว์อสูรทมิฬแน่ชัด หยางเย่ก็ทราบดีว่ามันคือแสงจากดวงตาของสัตว์อสูรทมิฬอย่างแน่นอน!

แม้กระทั่งหมาป่าสีเทาระดับเก้ายังแสดงท่าทีหวาดกลัวออกมา ร่างกายของมันสั่นเทาขณะหมอบคลานลงกับพื้นและไม่ยอมขยับ หากมันอยู่กับฝูงก็คงไม่เกรงกลัวสัตว์อสูรระดับต่ำกว่าอย่างพวกนี้ แต่ปัญหาคือมันไม่ได้อยู่ในถิ่นตนเอง ดังนั้นมันทำได้เพียงรอความตาย

“สัตว์อสูรทมิฬระดับแปดนกรัตติกาล พวกมันจะจำศีลในตอนกลางวันและออกหากินเวลากลางคืน ทั้งยังอยู่กันเป็นกลุ่ม สิ่งที่โปรดปรานอย่างยิ่งคือสมองมนุษย์ ข้าไม่คาดคิดเลยว่าสัตว์อสูรชนิดนี้จะอาศัยอยู่ที่เหวมรณะ” สตรีชุดขาวบ่นพึมพำขณะมองไปที่ดวงตาสีเขียวจำนวนมากบนท้องฟ้า

“ท่านพอจะมีวิธีรอดไหม?” หยางเย่กล่าวด้วยอาการร้อนรน

สตรีชุดขาวส่ายหัวพร้อมกล่าว “แม้การบ่มเพาะพลังของข้าจะไม่ถูกผนึก ข้าก็หวาดกลัวสัตว์อสูรทมิฬที่ออกล่าเป็นกลุ่มเช่นนี้ ข้าไม่คาดคิดเลยว่าพวกเราจะไม่สามารถรอดพ้นจากความตายอยู่ดี”

ทันทีที่สตรีชุดขาวกล่าวจบ ดวงตาสีเขียวทั้งหมดในท้องฟ้าโฉบบินมายังทั้งคู่อย่างรวดเร็ว