ตอนที่ 34 เหตุการณ์ไม่คาดฝันอีกครั้ง 1

หยางเย่ใจเต้นรัว เพราะไม่คิดว่านางจะเห็นเป็นเช่นนั้น เขามองไปที่สตรีชุดขาวอยู่นานก่อนจะกล่าว “ไม่ว่ายังไง ก็ถือว่าข้าช่วยชีวิตท่านไว้แล้ว ท่านจะปฏิเสธสิ่งนี้หรือไม่?”

“เจ้าได้ช่วยชีวิตข้าไว้!” สตรีชุดขาวหาได้ปฏิเสธสิ่งนี้ไม่

หยางเย่กล่าวต่อ “ข้าไม่ได้หวังว่าท่านจะต้องสำนึกบุญคุณ แต่ก็ไม่ได้หวังว่าคนที่ข้าช่วยเหลือนั้นจะเนรคุณ สถานะในสำนักดาบราชันของท่านไม่ได้ต่ำต้อย ทั้งความแข็งแกร่งยังร้ายกาจอย่างยิ่ง สิ่งที่ถูกใจและหลักการหลายอย่างมันก็เป็นปัญหาของท่าน ข้าไม่จำเป็นต้องมีใครมาสั่งว่าต้องทำอะไร!”

ไม่ใช่ว่าไม่ต้องการทำตามนาง แต่เขาไม่ชอบเมื่อเห็นรอยยิ้มยั่วยุนั้น หยางเย่ไม่เชื่อว่ายอดฝีมือระดับนางจะไม่มีหนทางที่จะเอาชีวิตรอด ยิ่งกว่านั้นพวกเขาอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง หยางเย่ไม่ต้องการจะสร้างความขัดแย้งระหว่างกันในตอนนี้

สตรีชุดขาวเงียบอยู่ชั่วขณะ “เจ้าเป็นศิษย์สำนักดาบราชัน ดังนั้นไม่ใช่สิ่งดีที่จะใช้ของวิเศษของสำนักภูตผี ยิ่งกว่านั้นมันยังอาบไปด้วยเลือดของศิษย์สำนักดาบราชันมากมาย!”

หยางเย่ตอบกลับ “ข้าไม่ใช่ศิษย์สำนักดาบราชันโดยแท้จริง ข้าเป็นเพียงศิษย์ใช้แรงงาน ศิษย์ใช้แรงงานไม่นับว่าเป็นศิษย์ของสำนักดาบราชันด้วยซ้ำ”

“เจ้าหมายความว่ายังไง?” สตรีชุดขาวมองไปที่หยางเย่พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำ

หยางเย่กล่าวต่อ “ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่ไม่ต้องการให้ใครมาสั่งว่าต้องทำยังไง แน่นอนหากท่านไม่ชอบใจข้าจะกลับไปยังจักรวรรดิต้าฉินเมื่อออกจากที่นี่ได้ อย่างน้อยข้ายังมีศักดิ์เป็นถึงอาจารย์ยันต์ เช่นนั้นแล้วก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องในอนาคต”

ที่จริงเขาไม่ต้องการออกจากสำนักเพียงเพราะความโกรธ ยิ่งกว่านั้นหากมีสำนักดาบราชันหนุนหลัง เขาย่อมมีความปลอดภัยยิ่งขึ้นเมื่อออกท่องยุทธภพในอนาคต แต่หากสตรีชุดขาวใจแคบและสร้างปัญหาให้หลังจากกลับขึ้นไป เช่นนั้นแล้วเขาคงไม่มีทางเลือกใดนอกจากออกสำนัก

“บทลงโทษของคนที่ทรยศสำนักคือตาย!” สตรีชุดขาวกล่าวอย่างเคร่งขรึม

หยางเย่ส่ายหัวตอบกลับ “จากความรู้ที่ข้ามี ศิษย์ใช้แรงงานเป็นเพียงคนที่สำนักดาบราชันรับมาเพื่อทำความสะอาดสำนัก และนามของศิษย์ใช้แรงงานยังไม่ได้ถูกบันทึกในสำนักดาบราชันด้วยซ้ำ กล่าวคือข้ายังไม่ใช่ศิษย์สำนักดาบราชัน เมื่อข้าไม่ใช่ศิษย์สำนักดาบราชันแล้ว ท่านจะกล่าวหาว่าข้าทรยศได้ยังไง?”

สตรีชุดขาวเงียบอยู่ชั่วครู่ หากเป็นบุคคลอื่นหรืออัจฉริยะเทียบอันดับของสำนักนอกมากล่าวเช่นนี้ นางคงหัวเราะอย่างดูถูกพร้อมเหยียดหยามไปแล้ว แต่ชายหนุ่มนามว่าหยางเย่คนนี้ไม่ใช่ เขาครอบครองพลังปราณห้าธาตุทองคำ ทั้งยังเป็นอาจารย์ยันต์ ยิ่งกว่านั้นความแข็งแกร่งของเขานับว่าแกร่งที่สุดในบรรดายอดฝีมือขั้นปราณมนุษย์ หากศิษย์คนนี้ออกจากสำนัก ก็นับว่าเป็นการสูญเสียอย่างใหญ่หลวง

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้สตรีชุดขาวกล่าว “ข้าไม่ได้สนใจกิจส่วนตัวของเจ้า หากไม่เกรงกลัวสำนักภูตผีจะมาไล่ล่า เช่นนั้นก็จงใช้กระบี่โลหิตเสีย!”

หยางเย่เผยรอยยิ้มเมื่อเห็นนางเริ่มประนีประนอม “ข้าไม่คิดจะใช้กระบี่โลหิตหรอก ข้าฝึกฝนวิชาดาบ ดังนั้นจะให้ใช้กระบี่ได้ยังไงกัน?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น สตรีชุดขาวเริ่มเข้าใจ ชายผู้นี้อยู่ขั้นปราณมนุษย์แต่ยังกล้าปล่อยจิตสังหารใส่นาง ทั้งยังบอกว่าจะออกจากสำนักเพราะนางขู่บังคับเขา เมื่อนึกถึงเรื่องราว นางจึงมองไปที่หยางเย่พร้อมกล่าวในใจใจ ‘เราไม่คาดเลยว่าผู้ใช้พลังปราณล้ำลึกขั้นปราณมนุษย์คนนี้ จะเป็นคนใจแข็งและเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก เราประเมินเขาต่ำไปเสียแล้ว’

หลังจากคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างทั้งสองเรียบร้อย หยางเย่มองไปรอบด้าน มันคงเป็นเพราะเข้าสู่ช่วงกลางคืนแล้ว วิสัยทัศน์โดยรอบดูแคบลงอย่างต่อเนื่อง แน่นอนแม้จะเป็นช่วงกลางวัน ระยะการมองเห็นก็ไม่ไกลเกินกว่าร้อยก้าวจากการปกคลุมของหมอกแดง

“มันไม่ดีแน่หากเรายังนั่งอยู่เฉย ๆ โดยไม่ทำอะไรอยู่ที่นี่ ท่านมีความคิดเห็นอื่นหรือไม่?” หยางเย่เอ่ยถาม

“ไม่มี!” สตรีชุดขาวตอบอย่างตรงไปตรงมา

หยางเย่ไม่คาดหวังว่านางจะมีความคิดเห็นอยู่แล้ว เขาเดินตรงไปทางใต้ แต่ก็ยังเห็นหมอกปกคลุมอยู่รอบบริเวณด้านหน้า ทั้งยังมีซากกระดูกปกคลุมอยู่รอบพื้นที่ เขาจึงหยุดเดินและเดินกลับไปจากทางที่จากมาพร้อมกล่าว “พวกเราไม่มีอาหารและน้ำที่นี่ ไม่นานคงกลายเป็นหนึ่งในซากกองกระดูกเหล่านี้”

แม้ว่าทั้งสองจะเป็นผู้ใช้พลังปราณล้ำลึก พวกเขาก็ต้องกินและดื่ม โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบันที่การบ่มเพาะพลังถูกผนึกอยู่

“เจ้ามีความคิดอื่นหรือไม่?” สตรีชุดขาวเอ่ยถาม

หยางเย่เริ่มครุ่นคิดอย่างหนัก จากนั้นเขากล่าว “พวกเราจะมุ่งไปทางทิศใต้ ตรงไปและค้นหาสิ่งที่จะทำให้ออกจากสถานที่แห่งนี้ ข้าไม่เชื่อว่าเหวนี้จะเป็นทางวนหรอก”

“ทำไมต้องทิศใต้?” สตรีชุดขาวขมวดคิ้วเมื่อถาม

“เพราะสำนักดาบราชันอยู่ทางใต้!” หยางเย่อธิบาย

สตรีชุดขาวส่ายหัวพร้อมกล่าว “ในสถานการณ์เช่นนี้หากพวกเรามีพลังปราณล้ำลึก มันคงใช้เวลาไม่นานในการไปยังป่าอสรพิษ แต่การบ่มเพาะพลังของพวกเราถูกผนึกอยู่ แม้พวกเราจะสามารถออกไปยังป่าอสรพิษเพราะเดินไปทางใต้ มันก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบวัน พวกเราจะรอดได้ยังไงหากไม่กินไม่ดื่มอะไรเลยเป็นเวลาสิบวัน?”

หยางเย่หัวเราะออกมาเล็กน้อย “ท่านไม่จำเป็นต้องกังวล ข้าพอมีหนทางแล้ว!”

ขณะที่กล่าวเขาส่งกระแสจิตเรียกสัตว์อสูรทมิฬระดับเก้าออกมา

หมาป่าสีเทารู้สึกหงุดหงิดที่ถูกเรียกออกมาโดยหยางเย่ มันจ้องมองไปที่หยางเย่ เพราะมันสะดวกสบายอย่างมากเมื่ออาศัยอยู่ข้างใน

สตรีชุดขาวตกตะลึงเมื่อเห็นสัตว์อสูรระดับเก้าปรากฏ นางมองไปที่มันก่อนจะหันกลับมามองหยางเย่

เมื่อเห็นหมาป่าสีเทาจ้องเขม็งมา หยางเย่ค่อนข้างโกรธเล็กน้อยเมื่อเห็น “เจ้ามองอะไร?”

ขณะที่กล่าวเขาชี้ไปทางทิศใต้ “พาพวกเราไปทางที่ข้าชี้ หากไม่ยอมก็ไสหัวไปเสีย! ข้าไม่ยอมให้ผู้อื่นมาเอาเปรียบ… อืม ข้าหมายถึงหมาป่าน่ะ”

เมื่อได้ยินหยางเย่ หมาป่าสีเทาลังเลอยู่นาน แต่มันก็ยอมแพ้ในที่สุด มันไม่อยากจะทิ้งพื้นที่ที่เต็มไปด้วยพลังปราณ และการทำให้สหายตัวจ้อยขุ่นเคืองคงไม่ดีเช่นกัน

หยางเย่กระโดดขึ้นหลังหมาป่าสีเทาเมื่อเห็นมันยอมแล้ว จากนั้นเขาหันไปยังสตรีชุดขาวพร้อมกล่าว “กระโดดขึ้นมา พวกเราไม่จำเป็นต้องเดินด้วยขาของตนเองที่นี่อีก”