ตอนที่ 35 แรงกดดันทางสายเลือด

เมื่อหยางเย่พลิกข้อมือ ดาบขั้นสีดำปรากฏขึ้นในมือพร้อมแสดงท่าทีเคร่งขรึมออกมา เขาไม่อาจรอได้อีกต่อไปว่าจะอยู่หรือตาย ถึงแม้ต้องตายก็ต้องตายอย่างสมศักดิ์ศรี

สำหรับสตรีชุดขาว นางมีท่าทีที่สงบอย่างยิ่งขณะที่ฝูงสัตว์อสูรทมิฬพุ่งลงมาราวกับแสงจากหิ่งห้อย

ฝูงนกรัตติกาลบินโฉบล้อมหยางเย่และสตรีชุดขาวเป็นตาข่ายสีดำ แรงกดดันที่พวกมันปลดปล่อยออก ถึงกับทำให้ทั้งสองตื่นตะลึงสุดขั้ว

“ข้าต้องมาตายที่นี่จริง ๆ งั้นหรือ?” หยางเย่บ่มพึมพำในลำคอขณะมองไปยังฝูงนกรัตติกาลที่ปกคลุมไปทั่วสวรรค์และปฐพี ถึงแม้ไม่ต้องการจะจบชีวิตที่นี่ และอยากต้านทานมากเท่าไหร่ เขาก็ตระหนักดีอยู่แล้วว่า แม้การบ่มเพาะพลังจะไม่ถูกผนึก ก็ไม่อาจจะหนีจากฝูงนกรัตติกาลได้อย่างแน่นอน

มี๊ก!

ขณะที่ตาข่ายสีดำของฝูงนกรัตติกาลอยู่ห่างจากทั้งสองเพียงไม่ถึงสองกิโล ทันใดนั้นเองแสงสีม่วงได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา เสียงแผดร้องที่ไม่แหลมมากดังขึ้นไปบนท้องฟ้า ขณะเดียวกันพลังแสงสีม่วงได้ห่อหุ้มหยางเย่และสตรีชุดขาวเอาไว้

หลังจากการปรากฏตัวของมิงค์ม่วง เหตุการณ์ที่ตามมาช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก

ไม่นานหลังจากมิงค์ม่วงปรากฏตัว ฝูงนกจำนวนมหาศาลหยุดกลางอากาศอย่างกะทันหัน พวกมันแทบไม่กล้าขยับตัว ด้วยจำนวนที่มากมายของฝูงนกรัตติกาลที่อยู่ด้านหลัง เมื่อด้านหน้าหยุดบินอย่างฉับพลัน ฝูงนกด้านหลังได้ชนเข้ากับพวกที่อยู่ด้านหน้าเข้าอย่างจัง

หยางเย่และสตรีชุดขาวตกตะลึงจนพูดไม่ออกเมื่อเห็นฝูงนกที่หวาดกลัวตรงหน้า จากแสงสว่างของหินแสงจันทร์ พวกเขาสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนทุกอย่าง ฝูงนกด้านหน้ากำลังกลัวจนตัวสั่นเหมือนหมาป่าสีเทาก่อนหน้านี้

แม้พวกมันจะไม่กล้าบินตรงเข้ามา แต่ด้วยจำนวนฝูงนกที่มหาศาล มันถูกดันจากด้านหลังมาล้อมรอบพวกเขาจนมืดมิด ท้ายที่สุดหยางเย่และสตรีชุดขาวลูกล้อมไว้ราวกับถูกครอบด้วยระฆังสีดำ

ขณะที่มองไปยังดวงตาสีเขียวจำนวนนับร้อยพัน หยางเย่รู้สึกมึนงงเนื่องจากจำนวนที่มากเกินไปของฝูงนกรัตติกาล แม้การบ่มเพาะพลังของหยางเย่หรือสตรีชุดขาวไม่ถูกผนึก ไม่ว่ายังไงก็ต้องดับสิ้นอยู่ใต้ก้นเหวนี้

สตรีชุดขาวดูเหมือนจะมีสติมากกว่าหยางเย่ นางไม่ได้มองไปที่ฝูงนกรัตติกาล แต่มองไปยังมิงค์ม่วงแทนพร้อมกับขมวดคิ้วแน่น

มี๊ก!

เมื่อเห็นว่าฝูงนกยังไม่ยอมหยุดและร่วงลงมาตัวแล้วตัวเล่า มิงค์ม่วงเหมือนเริ่มจะเริ่มโมโห มันแผดเสียงร้องดังก้องออกมาอีกครั้ง ขนสีม่วงทั้งตัวได้ฟูออก จากนั้นแรงกดดันมหาศาลแผ่ออกมาจากตัวมัน

แรงกดดันที่ปล่อยออกมาแม้จะมองไม่เห็น แต่ทั้งสองก็สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน ฝูงนกรัตติกาลเองก็สามารถสัมผัสได้เช่นกัน โดยเฉพาะฝูงนกด้านหน้า พวกมันไม่อาจทนได้อีกต่อไป เสียงแผดร้องดังขึ้นก่อนจะหันไปต่อสู้กับฝูงมันเอง

มีนกรัตติกาลในแถวหลังมากเกินไป แต่เหตุใดพวกแถวหน้าจึงหันไปโจมตีกันเองในทันที? เหตุการณ์แปลกประหลาดยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ฝูงนกรัตติกาลด้านหน้าไม่สามารถหนีออกไปได้ พวกมันจึงหันไปโจมตีกันเอง มันราวกับว่าหากยังอยู่ที่นี่ บางสิ่งที่น่าสยดสยองจะเกิดขึ้นกับพวกมัน

ดวงตาหมาป่าสีเทาเปล่งประกายความสุขจากการเห็นฝูงนกที่โชคร้ายเหล่านั้น ตั้งแต่มิงค์ม่วงปรากฏตัวหมาป่าสีเทาก็ยืนผงาดขึ้นทันที ร่างกายของมันไม่สั่นกลัวอีกต่อไป

เมื่อเห็นฝูงนกรัตติกาลโจมตีกัน หยางเย่และสตรีชุดขาวทำได้เพียงมองตากันไปมา แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึง จากนั้นทั้งคู่มองไปยังมิงค์ม่วงที่ลอยอยู่กลางอากาศ คำถามหนึ่งปรากฏขึ้นในหัวของพวกเขา มิงค์ม่วงตัวนี้แต่เดิมคืออะไรกันแน่? มันสามารถทำให้ฝูงนกรัตติกาลเข่นฆ่ากันเองเพียงเพื่อจะหนีเอาชีวิตรอด

หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม นกรัตติกาลได้กระเจิดกระเจิงหายไปจนหมดสิ้น แต่พวกมันยังไม่ได้บินไปไหนไกล ฝูงนกรัตติกาลยังคงบินวนเวียนอยู่บนท้องฟ้า ดวงตาสีเขียวทั้งคู่จำนวนนับไม่ถ้วนมองลงมาอย่างหิวโหย เห็นได้ชัดว่าพวกมันยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะกินสมองของทั้งคู่ พวกมันแค่อยู่ให้ห่างมิงค์ม่วงแค่นั้น

เมื่อเห็นฝูงนกรัตติกาลยังวนเวียนอยู่บนท้องฟ้า สหายตัวจ้อยจึงตั้งใจจะขึ้นไปจัดการพวกมันต่อ แต่หยางเย่ก็รีบรั้งเอาไว้ ถึงแม้นกรัตติกาลจะเกรงกลัวสหายตัวจ้อย แต่หากพวกมันจนมุมจริงและตอบโต้กลับ เช่นนั้นแล้วมันจะลำบากยิ่งกว่าเดิม ดังนั้นหากสหายตัวจ้อยกดดันพวกมันมากเกินไป พวกมันอาจจะคลุ้มคลั่งและโจมตีอย่างไม่คิดชีวิต

สหายตัวจ้อยไม่อาจขัดใจหยางเย่ได้ สุดท้ายมิงค์ม่วงทำได้เพียงมองอย่างชิงชังไปที่ฝูงนกรัตติกาล สหายตัวจ้อยขยับกรงเล็บอย่างไม่พอใจ มันรู้สึกว่าพวกสัตว์ชั้นต่ำเหล่านั้นยังไม่เข็ดหลาบ