ตอนที่ 35 แรงกดดันทางสายเลือด

“อย่าโกรธไปเลย!” หยางเย่โอบอุ้มสหายตัวจ้อยพร้อมลูบหัวที่ขนฟูอยู่พร้อมกล่าว “ขอบใจเจ้ามาก”

เขากล่าวออกมาจากใจจริง สหายตัวจ้อยได้ช่วยชีวิตถึงสองครั้ง ตั้งแต่ครั้งแรกที่คิดว่าสหายตัวจ้อยไร้ซึ่งพลังใดนอกจากวิ่งหนี สุดท้ายมันก็ถูกพิสูจน์แล้วว่าเขาคิดผิด

ดวงตาสหายตัวจ้อยเล็กลงพร้อมเผยรอยยิ้มน่ารัก มันไปยืนอยู่บนไหล่ของหยางเย่และเริ่มคลอเคลียแก้มของเขาราวกับเป็นสหายที่สนิทกันมานาน

หยางเย่กอดสหายตัวจ้อยอีกครั้ง เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม “สหายตัวจ้อยอย่าเพิ่งหายไปไหนนะ อยู่กับพวกเราป้องกันพวก…” ขณะกล่าวหยางเย่ชี้ขึ้นไปด้านบน

สหายตัวจ้อยมองตามไปที่ดวงตาสีเขียวเหล่านั้นและพยักหน้า

หยางเย่ยิ้มทันทีที่เห็นสหายตัวจ้อยพยักหน้า จากนั้นจึงเอ่ยถาม “ทำไมพวกมันถึงหวาดกลัวเจ้ากันนะ?”

ในวันนั้น หยางเย่ตกตะลึงอย่างมากเมื่อเห็นหมาป่าสีเทากลัวสหายตัวจ้อย แต่ไม่ได้คาดคิดว่าฝูงนกมากมายก็ยังหวาดกลัวด้วยเช่นกัน พวกมันไม่กล้าโฉบเข้ามาหากไม่มีทางชนะ ยิ่งกว่านั้นพวกมันยังสังหารกันเองเพื่อหนีเอาชีวิตรอด!

มิงค์ม่วงกระพริบตาปริบ ดูเหมือนมันจะไม่ทราบว่าควรตอบยังไง

“มันคือแรงกดดันทางสายเลือด!” ทันใดนั้นเองสตรีชุดขาวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงต่ำ “สัตว์อสูรทมิฬจะเน้นไปทางสายเลือด สัตว์อสูรที่มีสายเลือดชนชั้นสูงไม่เพียงแค่มีความเร็วในการบ่มเพาะพลัง พวกมันยังสามารถกดดันบรรดาสัตว์อสูรที่ต่ำต้อยกว่าได้ มันราวกับแรงกดดันมังกรที่มาจากมังกรศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน เมื่อสัตว์อสูรทมิฬระดับต่ำกว่ายืนอยู่ตรงหน้า ไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้ แค่แรงกดดันพวกมันก็ไม่อาจต้านทานได้แล้ว!”

สหายตัวจ้อยมองไปที่สตรีชุดขาวพร้อมกระพริบตา แต่ก็ไม่ได้ส่ายหัวหรือพยักหน้า

“สายเลือดชนชั้นสูง?” หยางเย่ถึงกับงุนงง “สายเลือดนั้นกลายเป็นชนชั้นสูงได้ยังไง?”

สตรีชุดขาวมองไปที่หยางเย่ประหนึ่งคนหน้าโง่นางกล่าว “มันเป็นไปตามธรรมชาติ เพราะเมื่อยอดฝีมือขั้นปราณอรหันต์ท่ามกลางหมู่มนุษย์หรือบรรพบุรุษของสัตว์อสูรทมิฬ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือว่าสัตว์อสูรเมื่อพวกเขาบรรลุขั้นปราณอรหันต์แล้ว สายเลือดในร่างกายจะวิวัฒนาการเองพร้อมกับความสามารถพิเศษบางอย่าง ยิ่งกว่านั้นลูกหลานของพวกเขายังได้รับสิ่งพิเศษจากการกลายพันธุ์นี้ ตัวอย่างเช่นพรสวรรค์ทางธรรมชาติในการบ่มเพาะพลัง การเกิดมาพร้อมกับพละกำลังมหาศาล และสิ่งอื่นอีกมามาย แน่นอนพวกเขาต้องถูกกระตุ้นสายเลือดก่อน”

หยางเย่ไม่สนใจสายตาที่เย้ยหยันแต่กลับกล่าวอย่างตื่นเต้น “ท่านบอกว่ายอดฝีมือขั้นปราณอรหันต์ได้ปรากฏขึ้นในหมู่บรรพบุรุษของสหายตัวจ้อยงั้นหรือ?”

ยอดฝีมือขั้นปราณอรหันต์! เพื่อที่จะบรรลุเป็นยอดฝีมือขั้นปราณอรหันต์ได้ ผู้นั้นจำต้องบรรลุขั้นปราณมนุษย์ ขั้นปราณสวรรค์ ขั้นปราณราชัน ขั้นปราณจิตวิญญาณ ขั้นปราณจุติ ขั้นปราณจักรพรรดิ ก่อนจะบรรลุเข้าสู่ปราณอรหันต์ ทุกระดับของแต่ละขั้นถูกแบ่งเป็นเก้าระดับด้วยกัน ดังนั้นการเป็นยอดฝีมือขั้นปราณอรหันต์มันยากราวกับขึ้นไปสู่สวรรค์เลยทีเดียว! จากที่เห็นดูเหมือนจะไม่มีใครสักคนในเขตใต้ที่เป็นยอดฝีมือขั้นปราณอรหันต์

สตรีชุดขาวมองไปที่หยางเย่พร้อมกล่าว “เนื่องจากมันสามารถใช้แรงกดดันทางสายเลือดได้ นั่นหมายความว่ามียอดฝีมือขั้นปราณอรหันต์ในบรรพบุรุษของมันอย่างแน่นอน แต่ที่ข้าไม่เข้าใจคือ มันเป็นตัวมิงค์ ข้าไม่เคยพบเจอตัวมิงค์เช่นนี้มาก่อน ยิ่งกว่านั้นยังไม่มีข้อมูลใดที่อยู่ในบันทึกสัตว์อสูรทมิฬเลยสักอย่าง”

หยางเย่สับสนเล็กน้อยเช่นกัน แต่เดิมสหายตัวจ้อยเองก็ดูลึกลับอยู่แล้ว แต่เขาไม่ได้สนใจสิ่งนั้น เพราะสหายตัวจ้อยเป็นพวกเดียวกับเขาแล้วตอนนี้ และมันไม่ได้ทำอันตรายใด เมื่อกล่าวถึงเรื่องลึกลับ ตันเถียนน้ำวนที่เขามีก็ลึกลับพอกัน

ทันใดนั้นเองสหายตัวจ้อยชี้กรงเล็บไปที่หยางเย่ จากนั้นมันหันกรงเล็บชี้ไปทางทิศเหนือ

“มีบางสิ่งอยู่ทางนั้นงั้นหรือ?” หยางเย่ถาม

สหายตัวจ้อยส่ายหัวจากนั้นชี้อีกครั้ง

“เจ้ากำลังบอกให้พวกเราไปทางนั้นใช่หรือไม่?” สหายตัวจ้อยพยักหน้า

หยางเย่ไม่ลังเลอีกพร้อมกับกระโดดขึ้นหลังของหมาป่า จากนั้นมองไปที่สตรีชุดขาว นางลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกระโดดไปนั่งด้านหลังหยางเย่

หยางเย่ลูบหัวหมาป่าสีเทา มันเข้าใจทันทีพร้อมกับพุ่งอย่างรวดเร็วไปทางทิศเหนือ

ถึงแม้จะไม่ทราบว่าเหตุใดสหายตัวจ้อยถึงต้องการให้ไปทางนั้น หยางเย่ก็เชื่อใจอย่างไม่มีเงื่อนไขใดทั้งสิ้น เพราะสัญชาตญาณบอกว่าสหายตัวจ้อยไม่ได้คิดร้ายอย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้นไม่ว่าจะไปทางทิศเหนือหรือใต้ก็ไม่ได้แตกต่างกันอยู่ดี

จากการที่มีสหายตัวจ้อยอยู่ด้วย หมาป่าสีเทาไม่ขัดขืนทั้งยังเร่งความเร็วกว่าเดิม มันทำให้หยางเย่รู้สึกพอใจอย่างมาก แต่ยังมีบางสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ ฝูงนกรัตติกาลที่บินอยู่บนฟ้า พวกมันยังคงมองมาที่ทั้งสองและติดตามมาด้วยความเร็วที่ไม่ลดลง ดังนั้นเมื่อหยางเย่หันไปมอง ดวงตาสีเขียวหลายคู่ก็จ้องเขากลับมาเช่นกัน

จากการวิ่งที่รวดเร็วของหมาป่าสีเทา หยางเย่ไม่อาจกระทำสิ่งใดได้ แต่มันไม่ส่งผลกระทบอะไรมาก หากฝูงนกรัตติกาลยังไม่บินโฉบลงมาโจมตี

ตลอดทั้งคืนเป็นเวลาสี่ชั่วยามที่หมาป่าสีเทาวิ่งอย่างคลุ้มคลั่งโดยไม่หยุด มันวิ่งจนถึงเช้าบนกองกระดูกตลอดทาง ท้ายที่สุดฝูงนกรัตติกาลก็ได้หายไปจนหมดสิ้นเมื่อถึงยามรุ่งอรุณ เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว หยางเย่รู้สึกโล่งใจอย่างมาก

หลังจากวิ่งมาอีกหนึ่งชั่วยาม แสงอาทิตย์ได้สาดส่องมาจากข้างบน

ท่าทีดีใจปรากฏขึ้นบนหน้าหยางเย่ทันทีที่เห็นแสงสว่าง ตั้งแต่ที่แสงอาทิตย์ส่องลงมา แม้พวกเขายังไม่สามารถออกจากเหวมรณะได้ มันก็เห็นประกายแสงแห่งความหวังแล้ว เพราะก่อนหน้านี้แสงอาทิตย์ไม่สามารถส่องเข้ามาได้จากจุดที่พวกเขาอยู่

เมื่อเห็นแสงอาทิตย์ส่องลงมา สตรีชุดขาวด้านหลังก็เผยรอยยิ้มออกมาเช่นกัน