ตอนที่ 129 คำโกหก
“อย่าจับลูกข้า ปล่อยลูกข้านะ!” ฉังซิงโหวฮูหยินที่ดูเป็นคนอ่อนแอ พอถึงเวลานี้กลับแสดงอารมณ์ออกมาอย่างน่าตกใจ นางใช้แรงที่มีทั้งหมดกระแทกใส่ร่างเจ้าหน้าที่จนเกือบล้มลง

“ซื่อจื่อ นี่ไม่ใช่ความจริงใช่หรือไม่ ท่านพูดอะไรหน่อยสิ…” เจียงเชี่ยนฉวยโอกาสเกาะฉังซิงโหวซื่อจื่อพลางตะโกนเอ่ยถามเสียงแหบ และใช้โอกาสที่ทุกคนไม่ทันระวัง กระซิบเสียงต่ำออกไป “ข้าตั้งท้อง…”

แววตาแห่งความว่างเปล่าของฉังซิงโหวซื่อจื่อพลันเปลี่ยนเป็นกระจ่างใสในทันใด เขาจ้องเจียงเชี่ยนเขม่น

ว่าอย่างไรนะ ตั้งท้อง?

เจียงเชี่ยนผงกหัวอย่างสุดกำลัง

ได้โปรดเชื่อเถอะ ขอเพียงเชื่อที่นางกล่าว เขาคงไม่มีวันลงมือกับผู้หญิงที่อุ้มลูกของเขา ให้จบสิ้นไปพร้อมๆ กับเขาหรอกกระมัง

“พาตัวไป!”

แม้ญาติฝ่ายหญิงในจวนฉังซิงโหวจะร้องห่มร้องไห้อย่างไร ก็ไม่ส่งผลใดๆ ต่อเจินซื่อเฉิงแม้แต่น้อย เขามีเพียงออกคำสั่งกับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาให้พาตัวฉังซิงโหวซื่อจื่อกับบ่าวรับใช้สองคนออกไป

ส่วนกระดูกเหล่านั้น ไม่สามารถจัดการทั้งหมดในเวลาอันสั้นได้ สวนดอกไม้ที่มีดอกไม้บานสะพรั่งของจวนโหวได้กลายเป็นที่วางศพไปชั่วขณะ มันชวนให้คนรู้สึกหวาดกลัวอย่างที่สุด

ฉังซิงโหวฮูหยินไล่ตามมาด้านหลัง “อวี้เอ๋อร์ข้าเป็นคนดี ไม่มีทางทำร้ายคน พวกเจ้าเข้าใจผิดแน่ๆ…”

“ใต้เท้าเจิน ได้โปรดเมตตาด้วย ข้ามีลูกชายเพียงคนเดียว!” ความแน่วนิ่งอย่างเมื่อครู่ของฉังซิงโหวหายไปหมดแล้ว เวลานี้มีเพียงดึงเจินซื่อเฉิงเอาไว้แน่นจนแทบจะคุกเข่าลงไป

“ครอบครัวผู้อื่น บางทีก็อาจมีลูกสาวเพียงคนเดียวเช่นกัน” เจินซื่อเฉิงประสานสองมือด้วยสีหน้านิ่งเรียบ “อีกสักครู่ อาจต้องเชิญพวกท่านไปให้ปากคำที่โถงศาลด้วย รบกวนท่านโหวให้ความร่วมมือด้วย ข้าขอลากลับก่อน!”

ฉังซิงโหวถึงกับเซถอยหลังด้วยใบหน้าซีดไร้เลือด

เจินซื่อเฉิงหันตัวกลับและก้าวเท้าอย่างฉับไว แล้วพลันหยุดชะงักและหันกลับมา แววตาของเขามองผ่านฉังซิงโหวไปตกอยู่ที่พุ่มดอกไม้ที่อยู่ไม่ไกล

ตรงนั้นมีหญิงสาวสองคนยืนอยู่ หนึ่งในนั้นสวมใส่เสื้อท่อนบนสีขาวคู่กระโปรงสีแดง รูปลักษณ์งดงามยิ่งกว่าดอกไม้งาม

หญิงสาวคนนั้น เขาไม่สามารถทำเป็นมองไม่เห็นอย่างแน่นอน

แต่นางมาปรากฏตัวอยู่ตรงนั้นได้อย่างไรกันนะ แล้วนางมีความเกี่ยวข้องกับคดีนี้อย่างไรอีก

พลันมีความคิดมากมายแล่นผ่านสมองของเจินซื่อเฉิง แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะพูดคุยกัน เขาจึงทำได้เพียงมองดูจากตรงนี้ อย่างน้อยก็มองดูเพื่อให้หญิงสาวได้รู้ว่าเขามองเห็นนางแล้ว

หญิงสาวคนนี้เป็นคนกล้าหาญและฉลาดหลักแหลม ถ้าไม่ทำการยืนยันว่าได้พบเห็นในครั้งนี้ ไม่แน่ว่า หากได้ถามถึงในภายหลัง นางอาจไม่ยอมรับก็เป็นได้

แต่ใครเล่าจะคิด หญิงสาวเสื้อท่อนบนสีขาวคู่กระโปรงแดงจะยิ้มกลับมาพร้อมน้อมทักทายอย่างกุลสตรีให้กับเขา

เจินซื่อเฉิงตะลึงงันพลางเผยอปากอย่างไม่ทันรู้ตัว จากนั้นก็พาเจ้าหน้าที่เดินจากไป

เมื่อได้เห็นสถานการณ์อันน่าตกใจและสะพรึงกลัวเช่นนี้ เจียงเชี่ยวตระหนกตกใจจนหน้าซีดขาวไปหมด เมื่อรู้สึกหายใจโล่งขึ้น นางพลันคว้ามือเจียงซื่อและเอ่ยถาม “น้องสี่ เมื่อครู่นี้ใต้เท้าเจิน…มองมาที่เจ้าใช่หรือไม่”

เจียงซื่อแกล้งโง่ “คงมิใช่หรอก เขาจะมองมาที่ข้าได้อย่างไรกัน พวกเราไม่รู้จักกันเสียหน่อย”

เจียงเชี่ยวกลอกตา “แล้วเหตุใดเจ้าถึงได้น้อมทักทายกลับเล่า”

เจียงซื่อยังคงแกล้งโง่ “ก็ข้ารู้สึกตื่นเต้นไปหน่อย ที่ใต้เท้าเจินผู้ตัดสินคดีราวกับเทพเจ้ามองมาทางนี้นี่”

อืม หลังจากที่ได้รู้จักกับคนบางคน หน้าก็หนาขึ้นไม่เบา

“แล้วจะทำอย่างไรต่อไป” เจียงเชี่ยวเอ่ยถามอย่างสงสัย เพราะในสวนเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้โหยหวนผสมกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งสร้างความรู้สึกแย่ให้กับคนเป็นอย่างมาก

เจียงซื่อชำเหลืองมองเจียงลี่กับเจียงเพ่ยพร้อมเอ่ย “ไปหาพวกน้องห้าก่อนดีกว่าเจ้าค่ะ”

ประตูบานใหญ่จวนโหวเปิดออกกว้าง ด้านนอกนั้นเต็มไปด้วยผู้คนที่ชอบดูความคึกคัก

เกิดเรื่องขนาดนี้ ข่าวคงถูกแพร่ออกไปด้านนอกตั้งนานแล้ว เวลานี้ ผู้คนรู้กันหมดแล้วว่าฉังซิงโหวซื่อจื่อลงมือทำร้ายคน และสวนดอกไม้ของจวนโหวก็ขุดศพขึ้นมาได้สิบศพ

สิบศพเชียวนะ มันหมายความว่าอย่างไรเล่า มีคนมากมากมายที่ในชีวิตนี้ยังไม่เคยเห็นศพมากขนาดนี้มาก่อน แล้วเกิดเรื่องคึกคักเช่นนี้ขึ้น พวกเขาจะให้พลาดได้อย่างไร

เหล่าป้าน้าอาที่มีความรู้สึกอยู่บ้าง ได้เตรียมผักใบเน่าและเปลือกไข่ไว้เรียบร้อย รอเพียงฆาตกรโหดร้ายนั่นเดินออกก็จะทำการขว้างของเหล่านี้ใส่ทันที

อะไรนะ เหตุใดถึงไม่มีไข่เน่าล่ะ

ล้อเป็นเล่นไป ไข่ไก่ราคาสูงลิ่ว ยามมันเน่ายังเอาให้หมูกินได้ แล้วจะทำให้เสียของกับคนเช่นนี้ได้อย่างไร

“ถังหูลู่ ถังหูลู่…”

“ปิงเฝิ่นเย็น ปิงเฝิ่นเย็นอร่อยๆ กินสักถ้วย ดูเรื่องคึกคัก จะได้ไม่เป็นไข้แดด…”

เพียงชั่วเวลาเดียว ด้านนอกจวนฉังซิงโหวคึกคักยิ่งกว่าวันจ่ายตลาดเสียอีก

ในบรรดาผู้คน มีสตรีที่แต่งงานแล้วนางหนึ่งแสดงสีหน้าเฉยชา พูดว่านางแสดงสีหน้าเฉยชา หากดูดีๆ จะเห็นว่าในสายตาของสตรีนางนี้มีพายุหนึ่งลูกกำลังก่อตัวขึ้น

“ออกมาแล้วๆ” เหล่าผู้คนเริ่มพากันเคลื่อนไหว

เมื่อมองเห็นเจ้าหน้าที่จับกุมฉังซิงโหวซื่อจื่อออกมา มีคนตะโกนเอ่ยขึ้น “เป็นฉังซิงโหวซื่อจื่อจริงด้วย!”

พลเมืองอายุน้อยใหญ่ที่มีความฉลาด ในสายตาของพวกเขา การที่บุคคลผู้อยู่ในตระกูลชนชั้นสูงเช่นนี้ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมไว้ คงเป็นผู้ร้ายแน่นอนไม่ผิดแน่

สตรีนางนั้นพุ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็วปานพายุ นางฟาดใบหน้าของฉังซิงโหวซื่อจื่ออย่างแรง จากนั้นทั้งมือและเท้าก็เริ่มใช้งานพร้อมกัน นางแทบจะใช้อวัยวะทุกส่วนของร่างกายเป็นอาวุธเพื่อฆ่าคนตรงหน้าให้ตาย “ไอ้สัตว์เดรัจฉาน เอาชีวิตของลูกข้าคืนมา! นิวๆ ไปซื้อขนมดอกกุ้ยฮวาให้ข้า เจ้าทำร้ายนางลงได้อย่างไร นางเป็นทั้งชีวิตของข้า…”

“ท่านป้า ช่วยสงบสติก่อน…” เจ้าหน้าที่เอ่ยปากเกลี้ยกล่อม

ซิ่วเหนียงจื่อไม่สามารถรับสารใดๆ ได้อีกแล้ว ภายในใจนางมีเพียงความคิดเดียว นั่นคือถึงแม้ต้องใช้ปาก แต่ก็จะใช้ปากกัดสัตว์เดรัจฉานนี่ให้ตายเพื่อแก้แค้นให้บุตรสาวให้ได้

เจินซื่อเฉิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ “อาซ้อ ปล่อยมือท่านเถิด ในสวนดอกไม้ขุดขึ้นมาเป็นสิบศพ คนที่สูญเสียบุตรสาวไปเฉกเช่นเดียวกับท่านยังมีอีกเก้าครอบครัว ข้าสัญญาว่าจะให้ความยุติธรรมแก่พวกท่านอย่างแน่นอน”

ซิ่วเหนียงจื่อถอยออกไปช้าๆ พลางยกมือขึ้นปิดปากและเริ่มร้องไห้อย่างเจ็บปวดหัวใจ

ถึงแม้จะได้ความยุติธรรมกลับคืนมา แต่บุตรสาวของนางก็ไม่สามารถกลับคืนมาได้อีกแล้ว…

“สัตว์เดรัจฉาน ไร้ความเป็นคน!” พลเมืองที่มุงดูเริ่มด่าทออย่างอดไม่ได้ เริ่มขว้างผักใบเน่าและเปลือกไข่ใส่ตัวของฉังซิงโหวซื่อจื่อ

“พวกเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ ห้ามเหยียบย่ำลูกรักของข้าเช่นนี้…” ฉังซิงโหวฮูหยินเอาตัวบังด้านหน้าฉังซิงโหวซื่อจื่ออย่างสุดชีวิต

การกระทำของพลเมืองที่มุงดูชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นผักใบเน่าก็ถูกขว้างออกไปมากขึ้นกว่าเดิม “ลูกของเจ้าถึงจะเรียกว่าลูกรักเท่านั้นหรือ แล้วลูกสาวของคนอื่นเกิดมาได้เพราะลมพัดมาหรืออย่างไรเล่า”

เมื่อสถานการณ์เริ่มแย่ลง ฉังซิงโหวพลันออกคำสั่งให้คนไปนำตัวฉังซิงโหวฮูหยินออกมา

“ข้าไม่ไป ข้าจะปกป้องอวี้เอ๋อร์ของข้า…” แล้วฉังซิงโหวฮูหยินก็หมดสติล้มลงทันที

ในสวนดอกไม้ เจียงเพ่ยบุตรสาวคนที่หก รู้สึกตกใจจนเข่าแทบทรุด นางพิงกับเสาสีแดงนิ่งไม่ขยับ

เจียงลี่บุตรสาวคนที่ห้า แม้ว่าสีหน้าไม่ได้ดีไปกว่าเท่าไหร่ แต่พอเห็นพวกเจียงซื่อสองคนเดินมาก็ยังพอมีเรี่ยวแรงทักทายอยู่บ้าง “พี่สาม พี่สี่…”

ในสี่พี่น้อง เจียงเชี่ยวโตที่สุด เวลานี้นางมีความเป็นพี่สาวสูงมาก นางเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางแน่วนิ่ง “กลับจวนกันเถิด กลับถึงจวนแล้วค่อยคุยกัน”

ตอนนี้เจียงเพ่ยแทบไม่มีเรี่ยวแรงต่อปากต่อคำกับเจียงซื่อ นางเพียงพยักหน้าหงึกๆ อย่างเชื่อฟัง

นางอยากกลับเรือนแล้ว นางอยากออกจากสถานที่อันน่ากลัวแห่งนี้เต็มทน

“พี่ พี่รอง…” เจียงเพ่ยสีหน้าพลันซีดขาว สายตาจับจ้องทางข้างหน้า

เจียงเพ่ยหันกลับมาพบว่าเจียงเชี่ยนเดินมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ด้วยสีหน้านิ่งเรียบยืนอยู่ด้านหลังคนหลายคน ท่าทางนั้นราวกับผีร้ายที่รอเวลาที่เหมาะสมเพื่อเข้าสิงมนุษย์

ช่วงวินาทีนั้น เจียงเพ่ยพบสิ่งน่ากลัวบางอย่างเข้าจนกรีดร้องเสียงแหลมออกมาอย่างไม่รู้ตัว

สายตาเย็นเยียบของเจียงเชี่ยนตกอยู่ที่ใบหน้าของเจียงเพ่ย

คนต่ำต้อยที่มีชีวิตอย่างสุขสงบด้วยการพึ่งพาแต่มารดาอย่างนาง กล้าตะโกนกรีดร้องใส่นางถึงเพียงนี้เชียวรึ

“น้องหกกลัวข้ารึ” เจียงเชี่ยนเอ่ยถามเสียงทุ้มต่ำ