ตอนที่ 130 มีรางวัล
สิ่งน่ากลัวอันยิ่งใหญ่ถาโถมเข้าใส่ เจียงเพ่ยถึงกับถอยหลัง
นางไม่รู้ว่าตัวเองกระวนกระวายสิ่งใดอยู่ แต่เจียงเชี่ยนที่อยู่ตรงหน้าทำให้นางรู้สึกเย็นวาบไปถึงก้นลึกของหัวใจ
“ที่จวนวุ่นวายถึงเพียงนี้ ข้าไม่รบกวนพี่รองจัดการความเรียบร้อยแล้วก็แล้วกัน ข้าขอพาน้องๆ กลับจวนก่อนนะเจ้าคะ” เจียงเชี่ยวเอ่ยออกไปในเวลาที่เหมาะสม
จากนี้ไปจะทำอย่างไรต่อ นางยังต้องปรึกษาหารือกับบิดามารดาก่อน เวลานี้จะทำสิ่งใดโดยไม่ไตร่ตรองให้ดีก่อนคงไม่ได้
“เรื่องวันนี้คงทำให้น้องๆ หวาดกลัวเป็นอย่างมาก” เจียงเชี่ยนเอ่ยด้วยแววตาแดงก่ำ ท่าทางนั้นฝืนทนจากการถูกโจมตีอย่างเต็มที แทบไม่มีความเยือกเย็นอย่างเมื่อครู่เหลืออยู่เลย
เมื่อเห็นเจียงเชี่ยนมิได้หักห้ามใดๆ เจียงเชี่ยวพลางรู้สึกโล่งอกไปที มือหนึ่งจับเจียงซื่อไม่ปล่อย “พี่รองเองก็ดูแลตัวเองด้วยนะเจ้าคะ ไม่ต้องไปส่งพวกเราแล้วเจ้าค่ะ”
นางกลัวเจียงเชี่ยนกลายเป็นสุนัขจนตรอก จนมาลงอารมณ์ที่น้องสี่เสียจริง
“น้องๆ กลับกันดีๆ ล่ะ ไว้ข้าจะไปปลอบขวัญน้องๆ ในภายหลัง”
เจียงเพ่ยถึงกับตัวสั่นระริก
นางไม่ต้องการการปลอบขวัญ จวนโหวน่ากลัวมากเกินไปแล้ว และนางก็ไม่อยากมาที่นี่อีก!
ระหว่างทางกลับจวน บรรยากาศภายในรถม้าเงียบสงัด ไม่มีใครยอมเอ่ยปากพูดแม้เพียงคำเดียว บรรยากาศตึงเครียดนี้ยืดยาวจนกลับถึงจวน
“พี่สาม พวกเราควรไปรายงานเรื่องนี้กับท่านย่าหรือไม่” เจียงลี่ผู้ไม่ชอบเป็นที่สนใจได้ทำลายบรรยากาศนั้นลง
นางไม่เคยพบเจอเรื่องน่าหวาดกลัวเช่นนี้มาก่อน พอถึงตอนนี้ นางไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว
“ต้องรายงานสิ เรื่องเช่นนี้จะปิดบังสำเร็จได้อย่างไรกัน” เจียงเชี่ยวเม้มริมฝีปาก
นางจินตนาการได้เลยว่าจวนปั๋วจะก่อพายุขึ้นอย่างไรจากเหตุการณ์ในจวนฉังซิงโหววันนี้ แต่ว่า…
แล้วอย่างไรเล่า สัตว์เดรัจฉานที่รังแกน้องสี่จะจบสิ้นแล้วนี่ ช่างสะใจเสียเหลือเกิน!
อย่างไรเสีย บิดาของนางก็เป็นเพียงบุตรชายของอนุ เกียรติยศจวนปั๋วก็มิเคยได้มาอย่างราบรื่น ซึ่งความเป็นจริงก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อครอบครัวของพวกนางเท่าไหร่นัก
ในเรือนฉือซิน หนังตาของเฝิงเหล่าฮูหยินกระตุกแต่เช้า หลังจากผ่านเหตุการณ์สูญเสียการมองเห็นมาแล้วหนึ่งครั้ง เหล่าไท่ไท่[1] จึงสนใจดวงตาของตนเองมากเป็นพิเศษ จนต้องเรียกให้เอ้อร์ไท่ไท่เซียวซื่อรีบเชิญหมอมาตรวจดูอาการ
ถึงแม้หมอรายงานอาการว่ามิได้เป็นอะไร แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เฝิงเหล่าฮูหยินรู้สึกดีขึ้น เอ้อร์ไท่ไท่เซียวซื่อกับซานไท่ไท่กัวซื่อจึงต้องคอยอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนไม่ห่างไปไหน
“เหล่าฮูหยิน คุณหนูทั้งหลายกลับเข้าจวนแล้ว กำลังมาน้อมทักทายท่านเจ้าค่ะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินนวดที่ขมับสองข้างพร้อมตอบกลับด้วยเสียงเบื่อหน่าย “บอกให้คุณหนูกลับไปพักเถอะ”
หญิงสาวเหล่านี้ วันนี้ไปร่วมงานชื่นชมดอกไม้ พรุ่งนี้ออกไปเที่ยวเล่น จะมารับรู้ความทุกข์ของคนมีอายุได้อย่างไร
ยามไม่สบอารมณ์ เฝิงเหล่าฮูหยินยิ่งไม่อยากพบหน้าเหล่าหลานสาวที่มีใบหน้างดงามดั่งดอกไม้
อาฝูสาวรับใช้ที่มีอายุมากที่สุดออกไปไม่นานก็กลับมารายงาน “เหล่าฮูหยิน พวกคุณหนูแจ้งว่ามีเรื่องจะรายงานให้ทราบเจ้าค่ะ”
เซียวซื่อขมวดคิ้วก่อนที่เฝิงเหล่าฮูหยินจะแสดงปฏิกิริยาใดๆ อีก
วันนี้พวกคุณหนูไปงานชื่นชมดอกไม้ที่จวนโหวกัน กลับมาถึงก็กล่าวว่ามีเรื่องจะรายงาน ต้องมิใช่เรื่องดีเป็นแน่
“งั้นให้พวกนางเข้ามา”
ไม่นานนัก เจียงซื่อและคนอื่นๆ ก็เดินเข้ามา เฝิงเหล่าฮูหยินมองดูพร้อมลุกขึ้นนั่งตัวตรง
เมื่อเห็นสีหน้าแต่ละคนซีดขาว พลางนึกคิดว่าคงก่อเรื่องอีกแล้วเป็นแน่
“เกิดอะไรขึ้นล่ะ”
เจียงเชี่ยวคุกเข่าลงคนแรก “ท่านย่า จวนโหวเกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ”
“เรื่องอะไร” เซียวซื่อพลันยืนขึ้นพร้อมกับมองเจียงเชี่ยวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
นังเด็กนี่ ถ้านางกล้าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ จะจัดการนางอย่างสาสม!
เวลานี้เจียงเชี่ยวหาได้หวาดกลัวเซียวซื่อไม่ นางตอบอย่างฉับไว “เจ้าหน้าที่ศาลาว่าการพระนครขุดพบศพหญิงสาวสิบศพในสวนจวนโหว และจับตัวฉังซิงโหวซื่อจื่อไปแล้วเจ้าค่ะ…”
“ว่าอย่างไรนะ” เซียวซื่อพลันจับพนักเก้าอี้ทันที จึงไม่ได้ทำให้ล้มลงไป
เฝิงเหล่าฮูหยินพลั้งมือจนแก้วน้ำชาคว่ำ น้ำชาพลางไหลลงที่พื้นตามขอบโต๊ะ แต่เวลานี้เช่นนี้ แม้แต่สาวรับใช้ก็ยังมิกล้าเข้าไปเก็บกวาด ต่างพากันก้มหัวเพื่อไม่ให้ตัวเองเป็นจุดสนใจ
“เล่าเรื่องทั้งหมดให้ข้าฟังเดี๋ยวนี้!” เฝิงเหล่าฮูหยินเพิ่งจะได้สงบสติ พลันตบเข้าโต๊ะดังปัง
เจียงเชี่ยวเล่าเรื่องราวทั้งหมดอย่างฉะฉานพร้อมลงท้ายด้วยประโยคสุดท้าย “หลักฐานแน่นหนา ตอนพวกหลานออกมา ศพเหล่านั้นยังถูกวางอยู่ในสวนดอกไม้ยังไม่ได้ย้ายออกไปเลยเจ้าค่ะ…”
สีหน้าเฝิงเหล่าฮูหยินนิ่งสงัดราวกับน้ำนิ่ง แต่สองมือจับที่วางมือของเก้าอี้แน่นพร้อมกับหายใจเฮือกใหญ่
“เชี่ยนเอ๋อร์ล่ะ พี่รองของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เซียวซื่อดูแลความเรียบร้อยในเรือนมาหลายปี แต่พอได้ยินเรื่องน่าหวาดผวาเช่นนี้ สภาพจิตใจก็แย่ไม่ต่าง จึงเอ่ยถามออกไป
“ตอนนี้พี่รองมิเป็นไรเจ้าค่ะ คงกำลังจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ แต่ฉังซิงโหวฮูหยินเป็นลมหมดสติไปเจ้าค่ะ”
“ให้ตายเถอะ เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร!” เซียวซื่อนั่งลงที่เก้าอี้เต็มก้น ภายในใจมีเพียงความคิดเดียว นั่นคือ ลูกสาวแย่แน่
แม้ว่าสีหน้าของเฝิงเหล่าฮูหยินไม่สู้ดีนัก แต่ตอนนี้ถือว่าดีขึ้นกว่าเดิมมาก นางออกคำสั่งบ่าวรับใช้ทันทีให้ไปเรียกเจียงอันเฉิงสามพี่น้องกลับจวนเพื่อปรึกษาหารือกับเรื่องนี้
แล้วเรื่องนี้ก็หาใช่เรื่องที่เจียงซื่อและคนอื่นๆ สามารถเข้าร่วมได้ หลังออกจากประตูใหญ่เรือนฉือซิน เจียงซื่อกำลังเตรียมตัวกลับเรือนไห่ถัง พลันถูกเจียงเชี่ยวดึงไว้ “น้องสี่ ข้าอยากไปเรือนเจ้าหน่อย”
เจียงซื่อไม่มีวันปฏิเสธ จึงยิ้มตอบ “พี่สามตามข้ามาเถอะ”
เจียงเพ่ยอ้าปากพะงาบอยู่หลายที
ตอนนี้นางทั้งรู้สึกตกใจและหวาดกลัว นางรู้สึกอัดอั้นราวกับคนใกล้ตาย และอยากตามไปด้วยอีกคน
แต่พอนึกถึงความสัมพันธ์ของตนกับเจียงซื่อแล้ว เจียงเพ่ยทำได้เพียงถอนหายใจและมองดูสองคนนั้นเดินจากไปอย่างใจคอเหี่ยวแห้ง
เมื่อกลับถึงเรือนไห่ถัง เจียงเชี่ยวกระดกน้ำชาไปหลายอึก แล้วเอามือทาบอกพร้อมกล่าว “น่ากลัวมากจริงๆ จนถึงตอนนี้ใจของข้ายังเต้นแรงไม่หยุดเลย”
เจียงซื่อขำ “ข้าว่าวันนี้พี่สามทำได้ดีมากแล้วเจ้าค่ะ”
“เป็นการแสดงทั้งนั้นน่ะ” เจียงเชี่ยวไม่ยินดีที่จะเรียกเจียงเชี่ยนว่า “พี่รอง” อีก
นางไม่ใช่คนโง่ ในเมื่อเจียงเชี่ยนช่วยฉังซิงโหวซื่อจื่อคิดร้ายกับลูกพี่ลูกน้องแท้ๆ แล้วผู้หญิงที่ตายไปเหล่านั้น เจียงเชี่ยนไม่มีส่วนรู้เห็นด้วยจริงหรือ
แน่ล่ะ เพื่อชื่อเสียงของจวนปั๋วแล้ว นางไม่พูดมั่วซั่วเป็นแน่ แต่นั่นก็ไม่อาจห้ามไม่ให้นางรู้สึกห่างเหินกับเจี่ยงเชี่ยนมากขึ้นกว่าเดิม
คำตอบของเจียงซื่อกลับทำให้เจียงเชี่ยวรู้สึกอึดอัดใจไม่น้อย “บางทีนางอาจจะกลับมาที่จวนปั๋ว”
“หมายความว่าเช่นไร”
“เพื่อให้เรื่องนี้ส่งกระทบต่อจวนปั๋วน้อยที่สุด เจ้าคิดว่าท่านย่ากับอารองคุยกันเสร็จแล้วจะทำอย่างไรต่อไป”
เจียงเชี่ยวเข้าใจทันที “หย่า! เพราะเจียงเชี่ยนยังไม่มีบุตร การหย่ากับฉังซิงโหวซื่อจื่อที่เป็นคนเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ทำได้ หรือแม้กระทั่งบังคับให้หย่าก็อาจเป็นไปได้”
พอพูดถึงตรงนี้ เจียงเชี่ยวพลางถอนหายใจ “น่ารำคาญเสียจริง!”
นางรู้สึกอยู่ไม่สุข เมื่อนึกถึงตนที่ต้องอยู่ร่วมชายคาเดียวกับพี่น้องที่มีจิตใจเช่นนั้น
“ไม่มีอะไรหรอก ตอนนางอยู่ที่จวนโหว นางเป็นฮูหยินซื่อจื่อผู้สูงส่ง ยังไม่สามารถทำอะไรพวกเราได้ กลับมาอยู่ที่จวนปั๋วแล้วจะทำสิ่งใดได้อีกรึ” เจียงซื่อเอ่ยโต้เรียบๆ
เจียงเชี่ยวกะพริบตา “น้องสี่ เจ้ามีเรื่องปิดบังข้าอยู่”
“อะไรนะ”
“เจ้าบอกข้ามาเดี๋ยวนี้ สุนัขตัวใหญ่นั่นหมายความว่าอย่างไร”
“หืม?” เจียงซื่อแกล้งมึนงง
เจียงเชี่ยวเอ่ยต่อด้วยเสียงตื่นเต้น “ครั้งนั้น ระหว่างทางที่กลับจากจวนฉังซิงโหว แล้วสุนัขตัวใหญ่นั่นทำลายงานมงคลของจี้ฉงอี้ ครั้งนี้วิ่งเข้าไปตะกุยสวนดอกไม้จวนโหวจนเจอศพ มันต้องรู้จักเจ้าแน่ๆ!”
เจียงซื่อให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมรับ “ไม่หรอก บางทีอาจไม่ใช่สุนัขตัวเดียวกันก็ได้นะเจ้าคะ”
เจียงเชี่ยวหยิกแก้มเจียงซื่อ “เจ้าคิดว่าพี่โง่หรืออย่างไร สุนัขตัวใหญ่ที่ฉลาดหลักแหลม ดุดันดุร้ายเพียงนั้น จะมีสองตัวได้อย่างไร เฮ้อ ไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของของมัน”
เวลานี้ ในส่วนลึกที่เงียบสงัดของตรอกซอยเชวี่ยจื่อมีเรือนชาวบ้านอยู่หลังหนึ่ง อวี้จิ่นลูบคลำที่หัวของเอ้อร์หนิวพร้อมเอ่ยชม “ทำได้ดีมาก ให้รางวัลเป็นกระดูกหนึ่งถาดแก่เจ้า”
หากพาอาซื่อมาด้วยได้ คงดีกว่านี้
———————————————-
[1] เหล่าไท่ไท่ หมายถึง เหล่าฮูหยิน