บทที่ 123 วิชาดาบและอีเธอร์

เจ้าของร้านพิศวง

สนามลาดเอียงที่เต็มไปด้วยดอกไอริสทักทายหลินเจี๋ย ต้นไม้ยักษ์ตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกล ร่มเงาอันหรูหราของมันถูกยกขึ้นโดยกิ่งก้านที่ดูราวเส้นเลือดที่กำลังปกปิดท้องนภา

แม้ว่าเกือบจะผ่านไปหนึ่งเดือนแล้วก็ตาม ความฝันที่หลินเจี๋ยเคยฝันก็ยังคงสดใหม่ในความทรงจำ

ในตอนนี้ซิลเวอร์ ‘บุคคลในฝัน’ ของชายหนุ่มกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาอีกครั้งแล้ว

เหมือนเช่นที่ทั้งสองตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ ว่าจะได้พบกันอีกครั้งในค่ำคืนถัดไป…

แม้ว่า ‘คืนถัดไป’ นี่ดูจะนานไปสักหน่อยก็ตามที แต่คิดดี ๆ แล้ว ซิลเวอร์ก็ไม่ได้นิยามคำว่า ‘ถัดไป’ และต่อให้ผ่านไปหลายวันก็ไม่เป็นไรนัก

ทว่าเรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือ หลินเจี๋ยได้ฝันถึงเรื่องเดิมอีกครั้งหนึ่งจริง ๆ แล้ว

หลังจากประสบความฝันที่ได้พบกับวิญญาณของแคนเดลา หลินเจี๋ยก็รู้สึกว่าครั้งนี้มีบางอย่างไม่ถูกต้อง…

หลินเจี๋ยเคยอ่านหนังสือของฟรอยด์และหนังสืออื่น ๆ รวมไปถึงตัวอย่างต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความฝันมาก่อน และมีคำอธิบายสำหรับปรากฏการณ์ความฝันต่อเนื่องเช่นนี้อยู่บ้าง

แต่การฝันถึงภาพฉากและบุคคลเดียวกันซ้ำ ๆ สองรอบติดและทั้งคู่ต่างเป็นความฝันที่ควบคุมตัวเองได้นี่ออกจะเกินไปสักหน่อย…

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อย้อนคิดแล้ว มันก็ดูเหมือนว่าความเปลี่ยนแปลงของร่างกายของเขาเริ่มขึ้นหลังจากกินผลไม้จากต้นไม้ต้นนี้ในระหว่างความฝันครั้งก่อน

ก่อนหน้านี้ความคิดนี้ไม่ได้แล่นเข้ามาในใจของหลินเจี๋ยเลย แต่เมื่อได้กลับมาในความฝันนี้ในตอนนี้แล้ว เขาพลันประจักษ์แล้วลากเส้นโยงระหว่างสองเรื่องนี้เข้าด้วยกัน

หากผลไม้ที่ชายหนุ่มกินเข้าไปเปลี่ยนเขาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบได้ ถ้าอย่างนั้น ซิลเวอร์กับความฝันนี้คืออะไรกันแน่…

ในขณะที่ครุ่นคิดต่อ หลินเจี๋ยก็แย้มยิ้มให้กับซิลเวอร์แล้วทักทายเธอ

“สวัสดีอีกครั้งครับ หนังสือที่ผมให้คุณไปเป็นยังไงบ้างครับ?”

ก่อนหน้านี้ หลินเจี๋ยได้มอบหนังสือนิทานกริมม์หนึ่งเล่มที่เขาสร้างขึ้นในความฝันจากการ ‘จินตนาการถึงมัน’ ให้กับซิลเวอร์ โดยหวังว่าซิลเวอร์จะไม่รู้สึกเดียวดายนักและสามารถอ่านหนังสือฆ่าเวลาได้

ในตอนนั้น ทั้งหมดเป็นเพราะความช่างฝันในใจหลินเจี๋ยกำเริบขึ้นมา อีกฝ่ายเป็นเพียงตัวละครสมมติในความฝันของตัวเอง และชายหนุ่มก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรเรื่องเธอเลย

แต่ตอนนี้ที่บางอย่างเกี่ยวกับความฝันนี้ทั้งหมดดูจะผิดไป หลินเจี๋ยก็รู้สึกว่าซิลเวอร์อาจจะอ่านมันจริง ๆ

ในขณะเดียวกัน ชายหนุ่มก็ค้นพบว่าดาบศักดิ์สิทธิ์ที่เขาดึงออกมาจากร่างของแคนเดลาอยู่ในมือของตัวเองในตอนนี้

สว่างไสวเจิดจ้าราวเพลิงสีขาวอันโชติช่วง ด้ามดาบทรงกางเขนฝังคริสตัลอันประณีตดูราวกับผลงานศิลปะอันงดงาม

เมื่อได้ยินคำถามของเขา รอยยิ้มสุภาพก็ปรากฏบนใบหน้าของซิลเวอร์ “มันเป็นหนังสือที่น่าสนใจมาก เป็นโลกที่ข้ามิเคยได้เห็นมาก่อน ทั้งโรแมนติกและงดงาม มนุษย์และสัตว์ประหลาดสามารถอยู่ด้วยกันได้อย่างสงบสุข และมีการแบ่งแยกระหว่างดีและชั่วอย่างชัดเจน…”

“ข้าเพลิดเพลินไปกับของขวัญของเจ้าจริง ๆ นี่เป็นครั้งแรกเลย มันทำให้ข้ารู้สึกราวกับมีใครสักคนอยู่ข้าง ๆ ข้า”

เธอหันกลับมา ยกกระโปรงผ้าก๊อซสีขาวของเธอขึ้นเล็กน้อยแล้วเริ่มเดินเข้าไปหาต้นไม้ยักษ์

แล้วเธอก็หันกลับมาถาม “เจ้าเองก็ปรารถนาโลกเช่นนั้นด้วยไหม?”

หลินเจี๋ยอยากจะตอบ แต่ก็เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกว่าบางอย่างผิดไป หลังจากคิดให้ลึกกว่านั้นแล้ว เขาก็ค้นพบว่าดาบในมือตัวเองทำให้เขาทำตัวไม่ถูก

เพราะถึงอย่างไร เขาก็แค่คุยกับอีกฝ่าย และการถือดาบราวกับว่าเขาอยากจะฟันมันใส่เธอนั้นไม่ได้ดูเป็นมิตรนักเลย

สวบ!

เขาปักใบดาบลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยต้นไอริสอย่างลวก ๆ แล้วพยักหน้าตอบ “ใครจะไม่อยากได้โลกแบบนั้นล่ะครับ? แต่ในความเป็นจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้อย่างแท้จริง มนุษย์นั้นอ่อนแอแต่มีจิตใจที่ทรงปัญญาที่สุด และหัวใจที่ร้ายกาจที่สุดด้วย สัตว์ประหลาด…เรียกว่าสัตว์ประหลาดไปก่อนนะครับ พวกมันมีความแข็งแกร่งสูงแต่กลับไม่สามารถอธิบายได้ว่าดีหรือร้ายเหมือนที่หนังสือระบุ และพวกมันก็ไม่ได้ช่วยเหลือผู้คนอย่างไร้ข้อแม้ด้วย พูดตามตรงแล้ว พวกมันโง่เกินเยียวยาเลยล่ะครับ”

ซิลเวอร์มองหลินเจี๋ยแล้วแย้มยิ้ม “เจ้าดูมองโลกในแง่ร้ายนะ ก่อนหน้านี้ในตอนที่เจ้าแนะนำให้ข้ามีความสุขกว่านี้ ข้าคิดว่าเจ้าเป็นคนช่างฝันที่มีบุคลิกเชิงบวกที่มองโลกในแง่ดีเสียอีก”

หลินเจี๋ยหัวเราะหึแล้วส่ายหน้า “ผมถือตัวเองว่าเป็นคนช่างฝันแทบจะเป็นส่วนใหญ่ครับ แต่มันก็ขึ้นกับสถานการณ์ด้วย ผมเลือกที่จะเชื่อในความดีที่แท้จริงในธรรมชาติของมนุษย์ แต่ก็บ่อยครั้งที่ผมแนะนำผู้คนให้ตัดสินผู้อื่นโดยเผื่อความเป็นไปได้ที่แย่ที่สุดในใจด้วย”

“จริงของเจ้า เรื่องทั้งสองนี้ดูไม่ได้ขัดแย้งกันในเรื่องมนุษย์เลย” ซิลเวอร์ไม่คงประเด็นนี้ไว้อีกต่อไปในขณะที่เธอปรายตามองไปมา “ดาบเล่มนั้นดูคุ้น ๆ นะ”

หลินเจี๋ยเหลือบมองดาบที่ปักพื้นอยู่แล้วอธิบายที่มาของมันคร่าว ๆ “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันตามผม…เอ่อ ผ่านความฝันมาได้ยังไง”

ซิลเวอร์หัวเราะคิก “แคนเดลาสาบานด้วยวิญญาณของเขาว่าจะเป็นดาบและม้าของเจ้าไปแล้ว ซึ่งหมายความว่าเขาจะติดตามเจ้าเสมอ ไม่ว่าเป็นในความจริงหรือความฝัน”

หลินเจี๋ยเคลือบแคลงอยู่ลาง ๆ ว่าซิลเวอร์ดูจะรู้เกี่ยวกับแคนเดลาและราชอาณาจักรอัลฟอร์ด ดังนั้น หลังจากลังเลเล็กน้อย เขาจึงหยั่งเชิง “คุณรู้จักเขาเหรอครับ?”

“แน่นอนสิ” ซิลเวอร์พยักหน้า เธอสาวเท้าเข้ามากำดาบเอาไว้ ดึงมันขึ้นมาแล้วพินิจดู “ราชันย์สุดท้ายแห่งอัลฟอร์ด ผู้คนเรียกเขาว่า ‘ราชาผู้บ้าคลั่ง’ และ ‘ที่มาแห่งมหาโรคระบาด’ เขาเคยภาวนาต่อข้า”

“แต่ในความเป็นจริงแล้ว เป็นเช่นที่เขาพูด ไม่มีโรคระบาดหรือความบ้าคลั่งใด ๆ อัลฟอร์ดนั้นถูกแคนเดลาทำลายโดยสมบูรณ์ และมนุษย์ก็แค่สับสนระหว่างประวัติศาสตร์ส่วนนี้กับส่วนอื่น”

ซิลเวอร์นั้นเป็นสาวงามผู้เป็นผู้ใหญ่และสง่างาม มีรอยยิ้มอันอ่อนโยนและอ้างว้างราวกับสตรีสูงศักดิ์จากยุคกลางอยู่เสมอ ทว่าเมื่อเธอถือดาบยาว มันกลับไม่มีความขัดแย้งใด ๆ เลย ดวงตาสีเงินของเธอคมปลาบราวกับคมดาบ

ภาวนา…ในใจหลินเจี๋ยนึกย้อนไปถึงซากปรักหักพังของโถงสีขาวอันยิ่งใหญ่และประเพณีการบูชา ‘เทพเจ้า’ ในอัลฟอร์ดขึ้นมา

จะเป็นไปได้ไหมว่าซิลเวอร์คือ ‘เทพเจ้า’ ที่ราชอาณาจักรอัลฟอร์ดศรัทธามาแต่เดิม?

ความคิดอันเหลือเชื่อจำนวนหนึ่งหมุนวนผ่านในใจเขา แต่ทั้งหมดที่หลินเจี๋ยถามออกมามีแค่ “ประวัติศาสตร์ถูกเขียนให้สับสนเหรอครับ?”

ซิลเวอร์กลับด้านดาบแล้ววางด้ามของมันลงในมือของหลินเจี๋ย แล้วเธอก็เดินมาหาเขา นิ้วของเธอลูบผ่านเขา

แทนที่จะตอบคำถามของเขา เธอกลับแย้มยิ้มแล้วพูดว่า “แคนเดลาให้ความทรงจำของเขากับเจ้า แต่เจ้าไม่ได้เห็นมันทั้งหมด มีเพียงวิชาดาบเท่านั้นที่อยู่ครบ ข้าเข้าใจถูกไหม?”

การอยู่ด้วยกันในระยะประชิดเช่นนี้เผยให้เห็นความแตกต่างของความสูงระหว่างทั้งสอง

“ครับ มันเหมือนเป็นความทรงจำที่ผมมีมาแต่แรก แต่ก็ยังไม่ได้ลองใช้มันเลย”

หลินเจี๋ยมองเป๋งไปเบื้องหน้า ระยะสายตาของเขาอยู่ประมาณระดับอกของซิลเวอร์

ซิลเวอร์ขยับเข้ามาใกล้ขึ้น จับมือหลินเจี๋ยแล้วยกขึ้น ชี้ใบดาบอันแหลมคมและเปล่งประกายไปเบื้องหน้า

“เรามาแลกเปลี่ยนกันอีกครั้งเถอะ ข้าจะสอนวิชาดาบให้ และเมื่อเจ้าบรรลุมันแล้ว ข้าจะบอกเจ้าว่าพวกเขาสับสนกันเรื่องอะไร” ซิลเวอร์พูดด้วยดวงตาที่เป็นประกาย

หลินเจี๋ยพูดไม่ออกนิดหน่อย “…ได้สิครับ”

เขาอยากรู้สุดขีดเลยล่ะในเรื่องของการส่งผ่านประวัติศาสตร์ในระหว่างยุคที่สองและสาม และความทรงจำกับความสามารถที่แคนเดลามอบให้เขา หลินเจี๋ยปรารถนายิ่งกว่าสิ่งใดว่าตัวเองจะมีโอกาสได้เจาะลึกเรื่องนี้ได้อย่างหมดจด

ยิ่งกว่านั้น การแลกเปลี่ยนนี้หลินเจี๋ยได้เปรียบเต็มประตู และชายหนุ่มก็รู้สึกว่าไร้เหตุผลที่จะปฏิเสธด้วย

ทว่าคำถามแรกของซิลเวอร์ในตอนที่เธอสอนเขาทำให้หลินเจี๋ยประหลาดใจ

เธอถามว่า “เจ้ารู้เกี่ยวกับอีเธอร์หรือไม่?”

ในขณะเดียวกัน ฝ่าย ‘ผู้แสวงหาความจริง’ ของสมาคมแห่งสัจธรรมก็ได้เริ่มปฏิบัติการของพวกเขาแล้ว