บทที่ 124 ‘ผู้แสวงหาความจริง’ ผู้ไร้กฎเกณฑ์และงมงาย

เจ้าของร้านพิศวง

แลงดอน ฮู้ดคือ ‘ผู้แสวงหาความจริง’ ผู้ซื่อสัตย์สุด ๆ

เขาเป็นส่วนหนึ่งของแผนกช่างกลของสมาคมแห่งสัจธรรมและนักวิชาการระดับสัตว์ประหลาดที่เป็นลูกน้องของโรเวล ฟีจ ฮู้ดนั้นโดดเด่นในด้านยุทโธปกรณ์และยังเป็นคนรักอาวุธหนักอีกด้วย

ต้องย้ำว่าหัวหน้าแผนกช่างกลฟีจและหัวหน้าฝ่ายเล่นแร่แปรธาตุเลโอนาร์ดเป็นเพื่อนเก่าที่พูดประชดประชันกันอยู่ในห้องทำงานของแอนดรูว์ก่อนหน้านี้

ความสัมพันธ์ใกล้ชิดของฟีจเผชิญกับการตั้งคำถามและการกีดกันจากนักวิชาการมากมายหลังจากแอนดรูว์ถูกตั้งข้อหาและถูกจับตามอง

ยิ่งกว่านั้น การโจมตีเครื่องลูปยังสื่อถึงการทิ้งงานในส่วนของฟีจด้วย หากไม่ใช่เพราะการตัดสินใจยึดอำนาจควบคุมและเทความรับผิดชอบทั้งหมดไปที่แอนดรูว์โดยรองประธานคนอื่น ๆ ฟีจก็อาจจะถูกถีบไปอยู่ชั้นล่างสุดไปแล้ว

แน่นอนว่าเหตุผลหลักนั้นมาจากโปรเจกต์ ‘เทวรูปดิน’ ต้องใช้กำลังคน วัตถุดิบและกำลังทุนจำนวนมาก แล้วผลงานที่ดีที่สุดกลับถูกขโมยไป

ตัวทดลองที่เหลืออยู่ทั้งหมดและกระทั่งห้องแลปและคลังเก็บของต่าง ๆ ก็ถูกทำลายจนหมด ความสูญเสียนั้นใหญ่หลวง นำไปสู่ความเดือดดาลจากทุกฝ่าย

ในสมาคมแห่งสัจธรรมนั้นมีหลายคนที่ต่อต้านโปรเจกต์ ‘เทวรูปดิน’ มาตั้งแต่แรก ในตอนนี้ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง โปรเจกต์ ‘เทวรูปดิน’ ก็ถูกยกเลิกเพื่อตัดความสูญเสีย และการจัดงบประมาณก็เบนไปที่การพัฒนาชุดเกราะกระดองที่ใช้ได้จริงมากกว่าแทน

สรุปสั้น ๆ ก็คือ การโจมตีนี้ได้ทำให้สถานการณ์อันกระอักกระอ่วนและเต็มไปด้วยการวิวาทภายในแผนกช่างกลแย่กว่าเดิม ฟีจกลัดกลุ้มยิ่งกว่าครั้งใด เขาฝังตัวเองในการวิจัยเดี่ยวและไม่สนใจเรื่องอื่นอยู่สักพักแล้ว

ลูกน้องของฟีจก็ลำบากไปด้วย ด้วยไร้งบประมาณและไร้โครงการ พวกเขาก็เลยว่างสนิทจนกระทั่งโครงการใหม่ถูกส่งมาให้พวกเขา

ในสถานการณ์เช่นนี้ ข้อมูลที่เกี่ยวพันกับร้านหนังสือที่แอนดรูว์แพร่งพรายให้พวก ‘ผู้แสวงหาความจริง’ รู้พลันกลายเป็นจุดประสงค์หลักของนักวิชาการพวกนี้

ในความเป็นจริงแล้ว ต่อให้คำสั่งของแอนดรูว์จะไม่ถูกนำไปเขียนใหม่ พวกเขาก็ยังอยากไปร้านหนังสือกันอยู่ดี…

สำหรับพวก ‘ผู้แสวงหาความจริง’ พวกนี้แล้ว ไม่มีอะไรน่าหลงใหลไปกว่าความรู้แล้ว

และถ้ามีของแบบนั้นอยู่จริง มันก็จะเป็นได้เพียงความรู้ที่มากมายขึ้นอีก!

พวกเขาดูราวกับพวกคลั่งศาสนาที่ไม่ยอมลดละการไล่ตามความรู้และไม่กลัวที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มันมา

คนบางคนที่มีความขัดแย้งกับ ‘ผู้แสวงหาความจริง’ เรียกพวกเขาว่า ‘พวกดูดวิญญาณ’ เพื่อปรามาสต่อจริยธรรมของคนกลุ่มนี้

ทว่าทั้งพวก ‘นักเทศน์ความรู้’ และหอพิธีกรรมต้องห้ามไม่มีวิธีสั่งลงโทษพวกเขาเลย เพราะสิ่งที่พวกเขาปล้นชิงนั้นก็แค่ความรู้ ไม่ใช่ชีวิต เจตจำนงหรือวิญญาณที่จะเป็นอันตรายต่อใคร

และเหยื่อที่ถูกขโมยความรู้ไปก็ใช่ว่าจะเอาคืนไม่ได้ พวกเขาแค่ต้องเรียนใหม่เท่านั้นเอง

มันพูดได้ว่านี่คือกลุ่มพวกไร้กฎเกณฑ์และงมงายที่วนเวียนอยู่บนเส้นบาง ๆ ที่คั่นระหว่างขอบเขตของสิ่งที่สิ่งเหนือธรรมชาติไม่ถูกอนุญาตให้ทำอะไรกับบุคคลธรรมดาได้

ถึงอย่างไรก็ตาม หากการกระทำของพวก ‘ผู้แสวงหาความจริง’ ถูกถือว่าเป็นการแหกกฎ ถ้าเช่นนั้นการกระทำที่ลบความทรงจำของคนธรรมดาคงร้ายแรงยิ่งกว่า

ในสมาคมแห่งสัจธรรม จำนวน ‘ผู้แสวงหาความรู้’ โดยคร่าวอยู่ที่หนึ่งในยี่สิบ ในขณะที่ฝ่าย ‘นักเทศน์ความรู้’ ที่ปรารถนาอยากจะเผยแพร่ความรู้มีจำนวนแค่หนึ่งในร้อย

ดังนั้นพวก ‘ผู้แสวงหาความรู้’ จึงเป็นกลุ่มคนจำนวนมากในหมู่นักวิชาการของสมาคมแห่งสัจธรรมซึ่งไม่สามารถถูกมองข้ามได้

คนเหล่านี้ไม่ใช่คนโง่ และคงไม่ฉลาดถ้าจะมองว่าพวกเขาธรรมดา เจ้าพวกคลั่งความรู้พวกนี้บางคนคลั่งการเรียนมากจนพวกเขาใช้ชีวิตตามปกติส่วนใหญ่ไม่ได้ด้วยซ้ำ

ในทางกลับกัน พวกเขาทะเยอทะยาน วิปริต บุ่มบ่าม และบางครั้งก็เฉยเมยต่อชีวิตคนด้วย!

เจ้าพวกนี้เป็นกลุ่ม ‘คนบ้า’ อย่างแท้จริง

ในตอนที่คำสั่งของแอนดรูว์ถูกขัดเป็นครั้งที่สอง กลุ่ม ‘ผู้แสวงหาความรู้’ กลุ่มหนึ่งก็อยู่ที่ซอย 23 แล้ว

พวกเขาเลือกจะเฝ้ามองก่อนอย่างระแวดระวัง

ในข้อมูลที่แอนดรูว์จัดหามา อำนาจของเจ้าของร้านหนังสือนั้นยังไม่เป็นที่แน่นอน ดังนั้นฮู้ดจึงระแวดระวังอย่างมากและเพราะเช่นนั้นจึงเฝ้ามองอยู่นานขึ้น

อันที่จริง หลังจากเฝ้ามองมาประมาณสัปดาห์ครึ่ง ฮู้ดก็รู้สึกว่าเจ้าของร้านหนังสือนี้ดูจะไม่ได้ทำตัวเหมือนสิ่งที่ตัวตนแข็งแกร่งอย่างแท้จริงเขาทำกันเลย

อย่าว่าแต่สิ่งอื่นใด การให้หอการค้าแอชมารีโนเวตร้านใหม่นั่นก็เกินไปแล้ว มันไม่เหมือนตัวตนที่แข็งแกร่งเลยสักนิด!

หากขี้เกียจก็ว่าไปอย่าง แต่เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วสำหรับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูงเหรอ?

การทำเรื่องไปตามขั้นตอนทั้งหมดนั้นยุ่งยากกว่ามากอย่างแน่นอน

การจะบอกว่าเจ้าของร้านหนังสือมองว่ามันเป็นเรื่องบันเทิงใจคงจะเป็นคำอธิบายเดียว แม้ว่าจะไม่มีน้ำหนักนักก็ตาม

ทว่ามันดูจะมีความย้อนแย้งกับบุคลิกของเจ้าของร้านหนังสือผู้ลึกลับที่ชอบแนะนำหนังสือให้คนอื่นอยู่ เพราะกลุ่มคนจากหอการค้าแอชไม่ได้นำหนังสือเล่มใดออกไปเลยแม้พวกเขาจะเดินเข้าเดินออกร้านอยู่หลายครั้งก็ตามที

หลังจากเฝ้าสังเกตอยู่สักพัก พวก ‘ผู้แสวงหาความจริง’ บางคนก็ยืนยันได้ว่าพวกคนจากหอการค้าแอชกลุ่มนี้ถูกส่งมาที่นี่เป็นพิเศษแค่เพื่อรีโนเวตร้าน

เรื่องนี้แปลกมากจริง ๆ

การคาดเดาอย่างใจกล้าเริ่มเป็นรูปเป็นร่างในใจพวก ‘คนบ้า’ พวกนี้บางคน บางทีเจ้าของร้านหนังสือนี้ที่เป็นที่หวาดกลัวของคนมากมายและพูดกันว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการอัญเชิญราชาเอลฟ์โบราณ ที่จริงแล้วไม่มีพลังอะไรเลย!

ไร้พลังไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นบุคคลธรรมดา

แต่บางทีเขาอาจจะเสียพลังไป หรือถูกจำกัดพลังด้วยเหตุผลบางอย่าง

การค้นพบนี้ทำให้พวก ‘คนบ้า’ พวกนี้ตื่นเต้นและตั้งตารอปฏิบัติการอย่างใจจดใจจ่อสุด ๆ หลังจากปรึกษากันไปหลายยก พวกเขาก็ตัดสินใจจะลงมือในคืนนี้โดยการแทรกซึมเข้าไปในร้านหนังสือแล้วสืบหาหาความรู้ในร้านหนังสือและเจ้าของร้านด้วย

อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงคือผู้ช่วยเจ้าของร้านหนังสือ

ในฐานะลูกน้องของฟีจ ฮู้ดนั้นได้เข้าไปพัวพันกับโปรเจกต์ ‘เทวรูปดิน’ มาก่อนหน้านี้ด้วย

ในขณะที่ความเชี่ยวชาญของเขาไม่ได้อยู่ในการศึกษาการสร้างก็ตาม ฮู้ดได้ทำงานในห้องแลปในระยะเวลาสั้น ๆ ในตอนที่โปรเจกต์ ‘เทวรูปดิน’ ขาดกำลังคน

เขาพอจะรู้อะไรเกี่ยวกับมนุษย์ประดิษฐ์จากตอนที่เขาอยู่ในแล็ปมาบ้าง และบังเอิญกว่านั้น เขาดูจะเคยเห็นผู้ช่วยคนนี้มาก่อนด้วย

ฮู้ดเกือบแน่ใจแล้วว่าแผลที่ท้ายทอยของผู้ช่วยคนนี้ต้องเป็นผลจากการนำบาร์โค้ดออกแน่

คืนนั้น…

‘ผู้แสวงหาความจริง’ จากสมาคมแห่งสัจธรรมงัดประตูของร้านหนังสือราวกับกลุ่มโจร พวกเขามาที่นี่เพื่อปล้นสะดมสิ่งที่มีค่าที่สุด ‘ความรู้’

“พวกนายอยู่ชั้นล่าง ตรวจสอบหนังสือ ถอยทันทีถ้าพวกนายเห็นว่ามีอะไรผิดพลาด เข้าใจมั้ย?”

หลังจากแนะนำเสร็จ ฮู้ดก็ยกปืนขึ้นแล้วค่อย ๆ เดินขึ้นบันได

เกราะกระดองเบาไม่ได้ทำให้เกิดเสียง และฟังก์ชันพรางตัวไม่ได้ทำเพียงซ่อนตัวเขา แต่ยังลบทุกร่องรอย ทำให้ตัวเขาลับ ๆ ล่อ ๆ ได้ราวกับแมว

การคาดเดาของฮู้ดแรงกล้าขึ้นกว่าเก่าจากความจริงที่เจ้าของร้านหนังสือไม่ได้ทำแม้แต่จะติดตั้งคาถาป้องกันอะไรไว้เลย

ฮู้ดย่องขึ้นไปอย่างระมัดระวังสุดขีด แล้วในที่สุดก็มาถึงห้องนอนของหลินเจี๋ย