บทที่ 125 เหตุลักทรัพย์

เจ้าของร้านพิศวง

ดวงตาของหลินเจี๋ยไล่ตามคมดาบอันสว่างไสวเจิดจ้าไปจนถึงปลายดาบ

หิมะที่ดูราวกับเถ้าธุลีจรดลงมาที่ปลายดาบอย่างนุ่มนวล แล้วละลายอย่างรวดเร็ว

อีเธอร์เหรอ?

แน่นอน ในฐานะของนักวิจัยนิทานพื้นบ้านที่มักจะต้องเผชิญกับความเชื่อในสิ่งลี้ลับ หลินเจี๋ยย่อมเคยได้ยินแนวคิดเช่นนี้มาก่อน

อีเธอร์ เอเธอร์ หรืออาคาชา…

ทั้งหมดนี้ต่างอ้างอิงถึงมิติหรือท้องฟ้า ธาตุพื้นฐานแรกในการสร้างทุกสรรพสิ่ง เป็นธาตุที่ห้าควบคู่ไปกับดิน น้ำ ลมและไฟที่อยู่ในทุกสิ่งในโลกวัตถุ

แน่นอนว่านี่เป็นคำอธิบายถึงมันที่ลึกลับกว่า

ในสมัยกรีกโบราณ อีเธอร์เป็นสสารอย่างหนึ่งที่นักปราชญ์กรีกโบราณ อริสโตเติลเป็นผู้คิดขึ้นมา เป็นแนวคิดของวัตถุในจินตนาการที่นักฟิสิกส์โบราณใช้ช่วยพวกเขาในขณะที่คิดเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์บางอย่าง

หลังจากนั้น นักวิทยาศาสตร์ก็มีคำอธิบายมากมายเกี่ยวกับอีเธอร์ แต่ด้วยการพัฒนาของวิทยาศาสตร์ ทฤษฎีของอีเธอร์ก็ค่อย ๆ ถูกลบล้างไป

หลินเจี๋ยไม่ได้มีความเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้ดีนักเพราะเขาไม่ได้สนใจฟิสิกส์เท่าไหร่และไม่ค่อยได้อ่านเรื่องพวกนั้นในตอนที่เขาอ่านหนังสือเลย

ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ คำถามที่ลึกลับเล็กน้อยของซิลเวอร์จึงน่าจะเป็นแนวปรัชญา

แต่มันคงไม่ได้มีความหมายตรงตัวหรอก

หลินเจี๋ยคิดนิดหน่อยแล้วตอบกลับ “ความฝันนี้…คืออีเธอร์เหรอครับ?”

อีเธอร์คือธาตุที่ห้า และในเวลาเดียวกันก็เป็นหนึ่งในสี่ธาตุพื้นฐานแห่งการสร้าง มีอยู่ในทุกที่และเป็นพื้นฐานของทุกสิ่ง

หากคิดจากการเชื่อมโยงสิ่งต่าง ๆ แล้ว ที่ที่เขาอยู่ในตอนนี้ก็ไม่ใช่ความฝันของเขา แต่เป็นมิติที่เป็นจริงมาก ๆ ที่มีอยู่นอกเหนือจากโลกวัตถุ

และมิติ…ไม่ใช่ว่ามันคืออีเธอร์เหรอ?

นี่ทำให้หลินเจี๋ยคิดขึ้นมาได้เช่นนี้…

เป็นไปได้ไหมว่าในอาซีร์ อีเธอร์จะไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดเชิงปรัชญาแต่เป็นพลังงานรูปแบบหนึ่งที่มีอยู่จริง หรือเป็น ‘จิตสำนึกสายหนึ่ง’?

เดี๋ยวก่อนนะ อาซีร์!

หลินเจี๋ยชะงักงันไปครู่หนึ่ง ชื่อของโลกนี้คืออาซีร์ แต่มันก็เป็นเพียงการแปลทับศัพท์มาจากอักษรจีนเท่านั้น

การอ่านออกเสียงจริง ๆ ของมันคือเอเซอร์ หมายถึงสีของท้องฟ้าหรือสวรรค์ ซึ่งหมายถึงอีเธอร์!

นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ!

ในขณะที่หลินเจี๋ยครุ่นคิด คำถามหนึ่งที่ไม่เคยกวนใจเขามาก่อนพลันเด้งขึ้นมาในใจ ทำไมเจ้าดำถึงส่งเขามาที่โลกนี้ล่ะ?

ลึก ๆ แล้วเขาก็รู้ว่าไม่มีใครให้คำตอบกับเขาได้หรอก

ซิลเวอร์แปลกใจเล็กน้อยแล้วตอบด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนเจ้าจะมีความเข้าใจที่ค่อนข้างกระจ่างชัดนะ”

“เอ่ออ…” หลินเจี๋ยตัดสินใจพูดความจริงแล้วตอบแบบเนียน ๆ “ที่จริงแล้วผมก็ไม่ได้กระจ่างสักเท่าไหร่…”

“ไปที่ก้าวต่อไปกันเถอะ” ซิลเวอร์พูดอย่างสำราญใจ

ผมไม่ได้กระจ่างจริง ๆ คร้าบ!

หลินเจี๋ยโหยหวนเงียบ ๆ พลางหงุดหงิดใส่คำตอบที่คลุมเครือของตัวเอง ทว่าการจี้ถามเพิ่มในตอนนี้ไม่เหมาะไม่ควรเท่าไหร่

ซิลเวอร์สังเกตเห็นริมฝีปากที่สั่นเล็กน้อยของเขา จึงลดรอยยิ้มติดเจ้าเล่ห์นิด ๆ ของเธอลง แล้วพูดต่ออย่างจริงจังเล็กน้อย “เหตุผลที่เจ้าไม่ค่อยกระจ่างในเรื่องอื่นนอกจากวิชาดาบบางอย่างนั้นไม่ใช่เพราะความทรงจำของแคนเดลาคลุมเครือหรอก แต่เป็นเพราะความรู้ในตอนนี้ของเจ้ามีไม่พอที่จะเข้าใจมัน มันจึงปิดกั้นตัวเองเพื่อไม่ให้เจ้าสับสนน่ะ”

เป็นความทรงจำที่มีสามารถมากจริง ๆ หลินเจี๋ยไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเรื่องฟิลเตอร์อัตโนมัติที่กรองเอาเนื้อหาที่ไม่กลมกลืนออกไปให้ด้วย

ซิลเวอร์หัวเราะคิกแล้วจ้องลึกเข้าไปในตาของเขา “คนส่วนใหญ่ไม่มีความสามารถ ความรู้และความทรงจำแบบนี้หรอก เรื่องพวกนี่เกี่ยวพันลึกล้ำกับจิตสำนึกที่ไหลจากที่สูงสู่ที่ต่ำเหมือนกระแสน้ำ หากเขื่อนไม่มั่นคงพอ มันก็จะถูกพังลงอย่างง่ายดาย”

หลินเจี๋ยเดาว่าคงเป็นเจ้าดำ ตัวเขาเองไม่ได้มีความสามารถเทือกนั้นหรอก

ความเงียบปกคลุมอยู่ในระยะเวลาหนึ่งก่อนที่เขาจะตอบอย่างยากลำบากเล็กน้อย “งั้นถ้าผมอยากได้ความทรงจำที่สมบูรณ์ อย่างแรกที่ผมต้องทำก็คือทำความเข้าใจว่าความทรงจำนี้เกี่ยวกับอะไร แบบนี้เหรอครับ?”

ไม่ใช่ว่านี่คลับคล้ายกับคำถามไก่กับไข่เหรอ? ที่เป็นลูปไม่รู้จบ

ซิลเวอร์ส่ายหน้า “ทุกอย่างที่เจ้าต้องการก็มีเพียงกุญแจ”

เธอพูดพลางจับมือหลินเจี๋ยที่จับดาบอยู่แล้วชูมันขึ้น “หลับตาเจ้าเสีย แล้วเพ่งจิตที่ดาบ”

ที่จริงแล้ว หลินเจี๋ยพอจะเดาอยู่แล้วว่าสิ่งที่ซิลเวอร์พยายามสอนเขาคือกุญแจ… อีเธอร์

เขาไม่มีทางเข้าใจความทรงจำของแคนเดลาได้เลย เพราะเขาเป็นเพียงคนธรรมดา ในขณะที่แคนเดลา…พูดว่าความต่างระหว่างทั้งสองนั้นเป็นฟ้ากับดินคงจะเหมาะสม

ทางเดียวที่จะเชื่อมต่อทั้งสองได้ก็คือทำให้หลินเจี๋ยเข้าใจสิ่งเดียวที่เชื่อมต่อพวกเขา ดาบที่มีวิญญาณของแคนเดลาและสัตย์สาบานความภักดีของเขาต่อหลินเจี๋ยอยู่ภายใน

หลินเจี๋ยชะลอการหายใจของตนแล้วหลับตาลง

ทุกอย่างมืดลง แต่ชายหนุ่มยังสัมผัสได้ถึงซิลเวอร์ที่ขยับไปมาข้าง ๆ เขา ฝ่ามือเรียวของเธอวางอยู่ที่หลังมือเขา

ในสภาวะนี้ ความสนใจของหลินเจี๋ยก็ย่อมถูกดึงไปที่ดาบอันเย็นเยือกราวน้ำแข็งในมือเขา

น่าแปลก แม้ว่าเขาจะสัมผัสได้แค่ด้ามจับในมือเขาก็ตาม หลินเจี๋ยกลับสามารถจินตนาการถึงดาบทั้งเล่มชี้ตรงไปข้างหน้าได้อย่างลาง ๆ ราวกับเป็นส่วนต่อของแขนเขาเอง

“ผ่อนคลาย ฝังจิตของเจ้าลงไปในดาบ…” เสียงอันอ่อนโยนของซิลเวอร์ดังขึ้นขณะที่เธอปล่อยมือจากหลินเจี๋ย

หลินเจี๋ยกำลังสงสัยว่าจะ ‘ฝังจิตของเขาลงไป’ ยังไงในขณะที่ซิลเวอร์ปล่อยมือ แล้ววินาทีต่อมาเขาก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าศูนย์ถ่วงของดาบนั้นหนักขึ้น ความรู้สึกของการจมลงกะทันหันนั้นดึงสติของเขาเข้าไป

เธอจงใจทำแบบนี้ชัด ๆ!

เสียงหัวเราะเบา ๆ ของซิลเวอร์อ้อยอิ่งอยู่ข้างหู เขา ‘ร่วงลง’ ไปแล้ว เหมือนกับการเหยียบอากาศแล้วร่วงลงไปในวังวนไร้ก้นบึ้งที่ลึกล้ำและมองไม่เห็น

ครืน…

เสียงอันยิ่งใหญ่ที่ยากจะอธิบายก้องไปทั่ว ค่อย ๆ แทนที่เสียงใบไม้ไหวและดอกไอริสในสายลม

ราวสายลม ราวน้ำบ่า ความฝันทั้งฝันสั่นพ้องอย่างพร้อมเพรียง

วูบ!

เมื่อหลินเจี๋ยคืนสติแล้วลืมตาขึ้น หิมะและดอกไม้เดิม ๆ ก็อยู่ทั่วทุกแห่งหนเหมือนเช่นดาบในมือเขา ทว่าในตอนนี้ ทุกอย่างตรงหน้าเขากลับแต้มด้วยโทนสีแดงเข้มอันโกลาหลทับซ้อนอยู่

ทัศนวิสัยของเขาคือสิ่งที่วิญญาณของแคนเดลาในดาบเห็น

“นี่คือ…อีเธอร์เหรอครับ?”

“นี่คืออีเธอร์ แต่ที่เจ้าเห็นนั้นเป็นเรื่องชั่วคราวนะ เจ้าต้องคิดสร้างพื้นที่เก็บกักมันก่อน” ซิลเวอร์พูดยิ้ม ๆ

หลินเจี๋ยพยักหน้า “เหมือนความฝันนี้ต่อคุณใช่ไหมครับ?”

ซิลเวอร์เหลือบมองเขาแล้วขำคิก “เหมือนความฝันนี้ต่อข้านี่แหละ”

“แล้วยังไงต่อครับ?”

“ข้าจะสอนวิธีใช้มันให้เจ้า…”

หลินเจี๋ยใช้เวลาฝึกฝนอย่างหนักที่ดูจะนานในความฝันของเขา เขารู้สึกว่าถ้าเขามีระบบสักอันอยู่จริง ๆ ทักษะวิชาดาบของเขาคงจะได้รับ ‘+1 +1 +1…’ จำนวนมากในจังหวะเร็วจี๋แน่ ๆ

ส่วนอีเธอร์ หลินเจี๋ยทำได้เพียงเก็บพวกมันทั้งหมดไว้ที่นี่ก่อน

ในที่สุดเมื่อเขาลืมตาขึ้นจริง ๆ หลินเจี๋ยก็ได้ยินเสียงลูกบิดประตูห้องนอนของเขาหมุน

เขาตื่นจากความมึนงงทันที

ประตูกำลังถูกใครสักคนเปิด!

หากเป็นมูเอน เธอจะเคาะประตูแน่ ๆ ในตอนที่เธอเข้ามา แล้วตอนนี้ หลินเจี๋ยก็ยืนยันได้แล้วว่าคนคนนี้สูงกว่ามาก และเป็นผู้ชาย!

เหตุลักทรัพย์!

หลังจากรีโนเวตชั้นสองใหม่ ห้องนอนของหลินเจี๋ยก็เล็กลงมาก และมีช่องว่างจากเตียงถึงประตูแค่ราว ๆ สามเมตร

เมื่อนึกถึงสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน หลินเจี๋ยก็คว้าดาบที่ข้างเตียงแล้วกลิ้งออกมาด้วยการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วครั้งเดียว จากนั้นหยุดปลายดาบของเขาชี้ไปที่คอของผู้บุกรุกอย่างแม่นยำ

เจ้าโจรไหวตัวไม่ทัน ใบหน้าของเขาก็ซีดเผือดในวินาทีต่อมา

ในความมืด แสงสะท้อนของดาบอาบไล้ใบหน้าครึ่งหนึ่งของหลินเจี๋ย เขาหรี่ตาลงพินิจ ‘ชุดแปลก ๆ’ ของผู้บุกรุก “เจ้าหัวขโมย!”