ส่วนคนที่ได้รับการเรียกขานว่าคุณชายและคุณหนูเหล่านั้น ความจริงแล้วเป็นหลานชายและหลานสาวของเว่ยกั๋วกงทั้งสิ้น กล่าวคือเพื่อให้บุตรชายของตนที่เสียชีวิตไปยังมีคนกราบไหว้อยู่ หลายปีก่อนเว่ยกั๋วกงจึงปล่อยข่าวออกมา เขาไม่รับบุตรชายบุญธรรม แต่ต้องการรับหลานชายกับหลานสาวบุญธรรมให้บุตรชายของเขาแทน
เฉินลั่วพยักหน้า เป็นการยืนยันการคาดเดาของหวังซี กล่าวว่า “บุตรสาวเพียงหนึ่งเดียวของเว่ยกั๋วกงแต่งเข้าตระกูลถาน ให้กำเนิดบุตรชายสองคนบุตรสาวหนึ่งคน ส่วนต้ากูไหน่ไนของตระกูลถานแต่งเข้าจวนชิงผิงโหว เจ้าคงจะพอจำได้ คนผู้นั้นก็คือนายหญิงเจ็ดของตระกูลอู๋ที่ไม่เหมือนชาวบ้านท่านนั้น”
“หา!” หวังซีเบิกดวงตากว้าง รู้สึกว่าแวดวงของตระกูลชั้นสูงในจิงเฉิงซับซ้อนกว่าที่นางคิดเอาไว้มาก นางกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “คุณหนูถานท่านนั้น ข้าเองก็น่าจะรู้จักเหมือนกัน”
นางเล่าเรื่องที่ตนเจอญาติแซ่ถานของตระกูลอู๋ท่านนั้นตอนไปร่วมงานวันหมั้นเล็กของคุณหนูรองอู๋ให้เฉินลั่วฟัง “นางเป็นคนลำดับที่สี่ของตระกูลถานใช่หรือไม่ อายุรุ่นราวคราวเดียวกับคุณหนูใหญ่ตระกูลลู่”
คิดไม่ถึงว่าเฉินลั่วจะจำคุณหนูสี่ถานได้เป็นอย่างดี พยักหน้าพลางกล่าว “เป็นนาง!”
หวังซีแปลกใจ เอ่ยถามว่า “อายุของพวกเขาห่างกันเกินไปหรือไม่”
เฉินลั่วกล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ หากมิใช่เพราะอายุห่างกัน เกรงว่าฮ่องเต้คงไม่เห็นด้วยกับการดองกันครั้งนี้ ฝ่ายหญิงอายุยังน้อย จึงไม่ต้องรีบร้อนเรื่องจัดงานแต่งนัก เนื่องจากงานแต่งขององค์ชายรองและองค์ชายสามล้วนยังไม่ได้กำหนดลงมา”
กล่าวถึงตรงนี้ เขาหยุดครู่หนึ่งแล้วถึงได้กล่าวต่อว่า “ก่อนหน้านี้ข้ารู้มาว่าตระกูลถานก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกของฮ่องเต้ แต่คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะจับคู่นางกับองค์ชายสี่ ข้าคิดว่าฮ่องเต้จะเลือกคนใดคนหนึ่งระหว่างนางกับคุณหนูใหญ่ตระกูลลู่ให้องค์ชายเจ็ดเสียอีก”
ปีนี้องค์ชายเจ็ดอายุสิบห้า กับคุณหนูลู่ก็ดี หรือคุณหนูถานก็ดี อยู่ในวัยที่กำลังพอดีทั้งสิ้น
หวังซีได้ยินแล้วรู้สึกกังวลเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “เช่นนั้นคุณหนูลู่จะได้แต่งกับองค์ชายเจ็ดหรือไม่”
นางหาได้คิดว่าการแต่งงานของคู่นี้มีอะไรไม่ดี เพียงแค่รู้สึกว่าถ้าองค์ชายเจ็ดเข้าไปเกี่ยวข้องกับการช่วงชิงจริงๆ การที่ลู่หลิงแต่งกับเขาจึงค่อนข้างมีความเสี่ยง นางชอบลู่หลิงมาก ย่อมไม่อยากให้นางเสี่ยงอันตรายอยู่แล้ว
เฉินลั่วกลับประเมินค่าเจียงชวนป๋อเอาไว้สูงมาก กล่าวว่า “เจ้าวางใจเถอะ บิดาของนางเป็นคนเด็ดเดี่ยวมั่นคงผู้หนึ่ง ไม่มีทางทนมองบุตรสาวของตัวเองวิ่งเข้ากองไฟอย่างแน่นอน”
นึกถึงตรงนี้ เขาอดมองหวังซีครั้งหนึ่งไม่ได้
เส้นผมดำขลับ ใบหน้าขาวเนียนละเอียด ยังมีดวงตาฉลาดเจ้าเล่ห์นั่นอีก ทั้งหมดนั่นทำให้นางมีความงามประเภทหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกว่ามันพิเศษมาก
บัดนี้จิงเฉิงวุ่นวาย งานแต่งของบุตรชายหญิงจากตระกูลชั้นสูงทรงอิทธิพลทั้งหลายล้วนกลายเป็นเบี้ยเป็นหมาก แต่หวังว่านางจะอยู่ห่างจากเรื่องเหล่านี้ ซ่อนตัวจากเคราะห์ร้ายนี้ไปได้
ขณะที่คิดอยู่นั้น เฉินลั่วก็อดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ว่าเหตุใดนางถึงอยากมาเป็นแขกที่สะพานศิลาขาว ยังกล่าวเย้านางว่า “ข้าคิดว่าข้าจะได้ประหยัดไปสักมื้อหนึ่ง เข้าใจว่าที่เจ้าพูดว่าจะมาเป็นแขกที่สะพานศิลาขาวเป็นเพียงคำพูดตามมารยาททางสังคมเท่านั้นเสียอีก”
แน่นอนว่าหวังซีพูดไปตามมารยาททางสังคมจริงๆ แต่มนุษย์ก็เปลี่ยนแปลงได้ตลอดมิใช่หรือ ท่านหมอเฝิงออกจากเมืองหลวงไปแล้ว นางอยากหาสถานที่ให้ออกไปเยี่ยมเยียนสักแห่งล้วนหาไม่ได้ ก็เลยต้องมาที่สะพานศิลาขาว!
แต่นางรู้สึกว่าการสารภาพออกไปตรงๆ เช่นนี้ดูน่าขายหน้าเล็กน้อย กระแอมไอครั้งหนึ่งแล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกข้าคิดถึงอาหลี ประจวบเหมาะกับมีเวลาว่างพอดี จึงมาเยี่ยมสักหน่อย”
เฉินลั่วไม่เชื่อ
หวังซีอยากให้เฉินลั่วช่วยสืบเรื่องบางอย่างให้พอดี ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วกระซิบเล่าเรื่องงานแต่งระหว่างตระกูลหวงกับตระกูลฉังให้เฉินลั่วฟัง ยังถามด้วยว่า “เรื่องของเจ้าจัดการไปถึงไหนแล้ว”
นางกำลังถามถึงซือจูกระมัง!
เฉินลั่วแสยะยิ้มเย็น กล่าวว่า “เรื่องนี้ต้องขอบใจเจ้ามากจริงๆ พอข้าได้รับข่าวก็รู้แล้วว่าต้องจัดการอย่างไร นางคิดจะควบคุมงานแต่งของฟู่หยาง ช่างทะนงตนเกินไปแล้ว ข้าตั้งใจจะให้บทเรียนนางสักครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม จะทำอย่างไรจริงๆ นั้น ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม ต้องรออีกสักหน่อย”
จากนั้นเขาจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปที่เรื่องงานแต่งของฉังเคอ กล่าวว่า “ตระกูลของคนแซ่หวงผู้นั้นเป็นขุนนาง ข้าไม่ค่อยรู้จักเท่าไรนัก แต่ถ้าต้องสืบเรื่องพวกเขาก็ไม่ยาก คนเช่นนี้ไม่ใช่คนดีอะไรจริงๆ ดองกันไม่สำเร็จก็ไม่ใช่เรื่องน่าเสียดาย เจ้าอยากให้ข้าไปสืบอะไร หรืออยากให้พวกเขาได้ลิ้มรสความขมขื่นบ้างอย่างนั้นหรือ”
สำหรับหัวข้อนี้ หวังซีกับเฉินลั่วคิดตรงกัน นางย่นจมูก กล่าวอย่างดูแคลนว่า “มูลสุนัขกองนั้น ผู้ใดเหยียบผู้นั้นรู้ซึ้งเอง เหตุใดต้องใช้มีดสำหรับเชือดวัวฆ่าไก่ด้วย การเชิญเจ้าออกมาจัดการพวกเขา เป็นการให้เกียรติพวกเขาเกินไป ข้ามีเรื่องอื่นอยากรบกวนเจ้า”
ปกติเขาเองก็นับว่าเป็นคนไร้หัวใจผู้หนึ่ง ตั้งแต่เล็กจนโตไม่รู้ว่าได้ยินคำประจบเยินยอมามากมายเพียงใด ที่เกินจริงกว่านี้ และแยบยลกว่านี้ก็ไม่รู้มีตั้งเท่าไร ที่ผ่านมาเขาไม่เคยเชื่อมาก่อน
แต่คำพูดของหวังซีกลับทำให้เขารู้สึกสงบสบายใจ เขากล่าวด้วยสีหน้าเป็นมิตรใจดีว่า “เจ้าลองว่ามา!”
ทว่าลอบวางแผนอยู่ในใจว่า ไม่ว่าเรื่องนี้จะต้องปีนภูเขาดาบหรือข้ามทะเลเพลิง อย่างไรเขาก็ต้องช่วยนางจัดการให้สำเร็จให้จงได้
หวังซีพึมพำกล่าว “ข้ารู้สึกอยู่ตลอดว่างานแต่งครั้งนี้มาอย่างแปลกพิกลนัก นอกจากนี้แม่สื่อยังเป็นฮูหยินของสือเหล่ย ผู้บังคับบัญชากองพลทองคำซ้ายอีกด้วย จวนหย่งเฉิงโหวกับตระกูลสือใช่จะได้ไปมาหาสู่กันบ่อย เหตุใดจู่ๆ นางถึงมาเป็นแม่สื่อให้พี่สาวสี่ แต่ตอนมาแลกแผนภูมิดวงชะตากลับเปลี่ยนใจกลับคำพูดอย่างกะทันหัน ข้าจึงอยากรู้ให้กระจ่างว่าตกลงเรื่องนี้มันมีความเป็นมาอย่างไรกันแน่”
“นี่นับเป็นเรื่องยากอะไร” เฉินลั่วได้ยินแล้วรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เขากล่าว “เจ้ารอฟังข่าวดีอยู่ที่บ้านเถอะ อย่างมากพรุ่งนี้ ข้าก็มีข่าวไปบอกแล้ว”
เวลาเขาจัดการเรื่องอะไร หวังซีเชื่อใจเขาเป็นอย่างมาก นางกล่าว “ประเดี๋ยวเจ้าเจอพี่สาวสี่อย่าเผลอพลั้งปากออกไปเชียว นางจะวางหน้าลำบาก”
“รู้แล้ว!” เฉินลั่วตอบอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
วันนั้นเขาหาเห็ดสดใหม่อย่างเห็ดเยื่อไผ่ เห็ดปลวก เห็ดสนและอื่นๆ มาได้จริงๆ แล้วก็ทำน้ำแกงเห็ดรวมมิตรมาชามหนึ่งอย่างที่หวังซีได้กล่าวเอาไว้อีกด้วย
หวังซีพอใจเป็นอย่างมาก กินติดๆ กันถึงสองถ้วยถึงได้เอ่ยถามเขาว่า “เจ้าไปหาเห็ดพวกนี้มาจากที่ใด โดยเฉพาะเห็ดปลวกอันนี้ มันหายากมาก ข้าคิดว่าวันนี้อย่างมากพวกข้าก็คงได้กินแค่โจ๊กปูม้าเท่านั้นแล้ว”
เฉินลั่วปรายตามองหวังซีครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ไปขอมาจากจวนชิงผิงโหว”
หวังซีตะลึงงัน
เฉินลั่วราวกับมองความคิดของนางได้ทะลุปรุโปร่ง กล่าวขึ้นว่า “มิใช่ว่าบ้านข้าหามาไม่ได้ เพียงแต่ว่าตอนเป็นเด็กมารดาข้ากินเห็ดแล้วเคยมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา รายการอาหารของบ้านข้าจึงไม่มีอาหารจานเห็ดอีกเลย ข้าจำต้องไปขอที่จวนชิงผิงโหว อย่างไรก็ตาม เอาชื่อของเจ้าไปขอมา เกรงว่าน้ำใจครั้งนี้เจ้าคงต้องเป็นคนตอบแทนด้วยตัวเองแล้ว”
“เฉินลั่ว!” หวังซีโกรธจนรู้สึกว่าน้ำแกงเห็ดไม่อร่อยแล้ว
จวนชิงผิงโหวทำแต่เรื่องใหญ่ทั้งนั้น วิ่งไปขอเห็ดถึงบ้านของผู้อื่นเช่นนี้ได้อย่างไร ต่อไปเวลาคนตระกูลอู๋พูดถึงขึ้นมา จะไม่คิดว่านางเป็นคนชอบกินหรอกหรือ
เฉินลั่วนึกถึงตอนที่ตนไปจวนชิงผิงโหวแล้วถูกนายท่านเจ็ดของพวกเขาลากตัวไปที่ห้องหนังสือเพื่อสืบเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหวังซี
เขายังจำได้ว่าห้องหนังสือห้องนั้นเปิดหน้าต่างเอาไว้ ดอกพุทธรักษาด้านนอกกำลังเบ่งบาน
นายท่านเจ็ดตระกูลอู๋กล่าว ข้างนอกกำลังลือกันแต่พวกข้าไม่เชื่อ แม้นจวนหย่งเฉิงโหวจะดูไม่น่าเชื่อถือ แต่ข้าฟังจากที่สองอู๋ของพวกข้าพูดมาแล้ว คุณหนูต่างสกุลแซ่หวังของพวกเขาท่านนี้กลับไม่เลวเลย เจ้าอยู่ติดกับจวนพวกเขา เจ้าช่วยบอกสถานการณ์จริงให้ข้าหน่อย ว่าจริงๆ แล้วเด็กสาวผู้นี้เป็นคนเช่นไร พวกข้ามีบุรุษมาก คนที่วัยไล่เลี่ยกับนางก็มีอยู่หลายคน นางเลือกสักคนจากตระกูลพวกข้าได้ตามใจชอบเลย พวกข้าจะปฏิบัติตามหลักสามหนังสือหกพิธีการ หามด้วยเกี้ยวหลังใหญ่แปดคนหาม จะสู่ขอนางกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ไม่ให้มีขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่นิดเดียวอย่างแน่นอน
ตอนนั้นเขาตอบไปว่าอย่างไรน่ะหรือ
ผู้อื่นมีสินเจ้าสาวมาก อย่าบอกว่าเป็นจวนหย่งเฉิงโหวเลย ข้าว่าแม้แต่ตอนที่บุตรสาวของเว่ยกั๋วกงแต่งงานยังมีสินเจ้าสาวไม่ถึงครึ่งของนางด้วยซ้ำ หากพวกเจ้าไม่ถือสา ให้คนไปหยั่งเชิงดูสักครั้งก็ไม่เสียหาย ถ้าไม่อย่างนั้นก็อย่าทำลายผู้อื่น หากเกิดอะไรขึ้น จวนหย่งเฉิงโหวปกป้องนางได้อย่างนั้นหรือ
นายท่านเจ็ดฟังแล้วดวงหน้าเผยความลังเลออกมา
แต่มีเพียงตัวเฉินลั่วเองเท่านั้นที่รู้ว่าในใจเขาเป็นกังวลมากเพียงใด ยังมีความรู้สึกกรุ่นโกรธด้วย
ใช่ ยังมีความรู้สึกกรุ่นโกรธอยู่ด้วย
ในสายตาของคนจำนวนมากนั้น บุรุษทุกคนในจวนชิงผิงโหวล้วนเป็นคนเด็ดเดี่ยวมั่นคงและกล้าหาญตรงไปตรงมา แต่ในสายตาของเฉินลั่ว นอกจากคนอย่างชิงผิงโหวและนายท่านเจ็ดแล้ว ที่เหลือล้วนเป็นบุรุษร่างกำยำที่กล้าหาญแต่ขาดความเฉลียวฉลาดทั้งสิ้น หากให้คนบอบบางอ่อนหวานประหนึ่งบุษบางดงามอย่างหวังซีแต่งเข้าไป…ในหัวของเขามีภาพดอกไม้สดปักอยู่บนกองขี้วัวปรากฏออกมา!
นี่ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
เขารีบขจัดความลังเลที่มีเพียงเล็กน้อยของนายท่านเจ็ดทิ้งไปเสีย กล่าวว่า อีกอย่าง ตระกูลหวังเป็นคหบดีที่ใหญ่ที่สุดของสู่จง เจ้าลองไปสืบดูก็รู้แล้ว พวกเจ้าจะสู่ขอให้เร็วกว่านี้ก็ไม่ขอ หรือจะขอให้ช้ากว่านี้ก็ไม่ขอ กลับคิดจะสู่ขอคนที่เป็นดั่งต้นเงินต้นทองในเวลานี้ เจ้าว่า หากฮ่องเต้ทราบเรื่องจะทรงคิดอย่างไร
นายท่านเจ็ดดูกังวลใจเล็กน้อยตามคาด แต่เขาคงไปได้ยินอะไรมา ต่อให้กังวลใจกลับยังคงไม่ยอมแพ้ ยิ้มกล่าวอย่างขัดเขินว่า เด็กสาวผู้นั้นก็นับว่ายังเด็กอยู่ ยังยื้อเวลาไปได้อีกสักปีสองปี รอให้เรื่องเสกสมรสของเหล่าองค์ชายถูกกำหนดลงมา ข้าคิดว่าก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรแล้ว
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เฉินลั่วรู้สึกเสียใจภายหลัง
หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ตอนวันงานชมบุปผาที่วังหลวง เขาคงไม่ส่งสัญญาณบอกเป็นนัยให้หวังซีตามลู่หลิงไปเตือนจวนชิงผิงโหวด้วยแล้ว
บัดนี้พวกเขาถึงกับอยากกลืนกินนางลงไป
นี่ต่างอะไรกับการแย่งอาหารจากชามข้าวของเขาไป?
เขาคิดว่าเขาต้องหาวิธีอะไรสักอย่างมาทำให้ตระกูลอู๋ยอมแพ้ ผลปรากฏว่าตอนที่เขาไปเอาปูม้าที่บ้านซูถงนั้นมีอาการใจลอย ไม่รู้ว่าพาเว่ยไหวกลับมาที่สะพานศิลาขาวด้วยได้อย่างไร
ความคิดหนึ่งวาบผ่านเข้ามา เฉินลั่วลูบคาง เว่ยไหวผู้นั้นเป็นญาติอีกสายหนึ่งของจวนเว่ยกั๋วกง จะใช้เขาสร้างอุบายสักหน่อยได้หรือไม่นะ?
ถึงแม้ตอนนี้เฉินลั่วจะยังคิดแผนการดีๆ ไม่ได้ แต่ในใจกลับรู้สึกอยู่รางๆ ว่านี่อาจเป็นทางออกหนึ่งก็เป็นได้
เขารู้สึกเบิกบานใจขึ้นมาอีกครั้ง และตอนนี้เองถึงได้ประหลาดใจที่ค้นพบว่า ก่อนหน้านี้เขาตึงเครียดมาโดยตลอด ไม่มีช่วงเวลาที่รู้สึกผ่อนคลายเลยแม้แต่เค่อเดียว
***
กว่าหวังซีกับฉังเคอจะเดินทางกลับก็ถึงเวลาจุดโคมไฟยามเย็นแล้ว ยังเอาเห็ดปลวกที่ตากแดดเรียบร้อยแล้วกลับไปด้วยสองตะกร้าเล็ก
“เฉินลั่วไม่รู้จักใช้ทรัพยากรธรรมชาติเท่าที่จำเป็นเลยจริงๆ” นางลงจากเกี้ยว ยกเห็ดปลวกตะกร้าหนึ่งขึ้นมา กล่าวแนะนำให้ฉังเคอฟังอย่างมีชีวิตชีวาว่า “เห็ดชนิดนี้หายากมาก ว่ากันว่าขึ้นอยู่บนรังมด เห็ดปลวกสองตะกร้าเช่นนี้ มีมูลค่ามากกว่าทองคำเสียอีก เอามันไปทำน้ำแกงไก่อร่อยมาก ผัดกับเห็ดหูหนูก็อร่อย ทำเป็นน้ำปรุงรสก็อร่อยมากเหมือนกัน” กล่าวถึงตรงนี้ น้ำลายนางจะไหลออกมาอีกแล้ว “พวกเรามาทำน้ำปรุงรสเห็ดปลวกกันดีหรือไม่ ข้าจำได้ว่าตอนเป็นเด็กข้าเคยกินข้าวผัดไข่ที่ท่านปู่ของข้าใช้น้ำปรุงรสเห็ดปลวกผัดด้วย จนถึงบัดนี้ข้าก็ยังจำรสชาตินั้นได้ดี”
นางยังกล่าวอย่างยินดีอีกว่า “โชคดีที่เฉินลั่วไม่รู้ว่าของสิ่งนี้ดีมากเพียงใด หาไม่เขาต้องเสียดายไม่ยอมมอบเห็ดปลวกสองตะกร้านี้ให้พวกเราแน่ๆ จวนชิงผิงโหวส่งสายตาเย้ายวนให้คนตาบอดดูเสียแล้ว ช่างเปล่าประโยชน์จริงๆ”
ฉังเคอกลั้นหัวเราะพลางกล่าว “ใต้เท้าเฉินบอกว่า เขาใช้นามของเจ้าไปขอมามิใช่หรือ ไม่แน่ว่าคนจวนชิงผิงโหวอาจเห็นแก่หน้าเจ้าถึงให้มาก็เป็นได้!”
“จริงด้วย!” หวังซีตะลึงงัน พลันรู้สึกว่าตะกร้าในมือหนักพันชั่ง
นานๆ ทีฉังเคอถึงจะได้เห็นว่าหวังซีเองก็มีช่วงเวลาที่พูดไม่ออกกับเขาเหมือนกัน ก้าวออกไปกอดบ่าของนางเอาไว้อย่างยิ้มแย้ม กำลังคิดจะเย้านางอีกสักสองสามประโยคอยู่นั้น ก็เห็นหมัวมัวคนสนิทของมารดานางวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา
“คุณหนูสี่ คุณหนูต่างสกุล!” นางทำความเคารพทั้งสองคนอย่างนอบน้อม กล่าวว่า “นายหญิงสามให้บ่าวมารอพวกท่านทั้งสองที่หน้าประตูตั้งแต่บ่าย ในที่สุดพวกท่านทั้งสองก็กลับมาแล้ว รีบตามบ่าวไปพบนายหญิงสามเถิดเจ้าค่ะ!”
……………………………………………………………………….
ตอนต่อไป