หลินเหรากำลังรอทั้งสองอยู่นอกร้านน้ำชา
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมยาวสีเข้มยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ริมถนน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องหน้าตาที่หล่อเหลา แม้แต่กลิ่นอายก็ยังดูไม่ธรรมดาเหมือนคนทั่วไป ทำให้ดึงดูดสายตาของผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมาไม่น้อย
นี่เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว
ในตอนที่เหยาซูพาอวี๋จือเดินออกมาจากร้านน้ำชา ก็เห็นหลินเหราที่มีกลิ่นอายไม่ธรรมดาท่ามกลางผู้คน จึงยิ้มพลางเดินหน้าไปถามว่า “หิวแล้วหรือ? ไปกินข้าวกันก่อนดีหรือไม่?”
ชายหนุ่มผู้นั้นพยักหน้า พร้อมมองไปยังอวี๋จือ
แม้ว่าเขาจะไม่พูดสิ่งใด ทว่าอวี๋จือกลับเข้าใจความหมายของหลินเหรา จึงรีบโบกมือไปมาและกล่าวว่า “ตัวข้านั้นแล้วแต่ท่านทั้งสอง พวกท่านจัดการกันได้เลย”
เสียงที่เหยาซูได้ยินจากอวี๋จือคล้ายกับทำนองเสียงของคนซูโจวจึงเอ่ยขึ้นว่า “เราไปหอไป๋เว่ยกันเถอะ ที่นั่นมีอาหารหลากหลาย”
หลินเหราพยักหน้า บัณฑิตน้อยก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไร
ในขณะที่ทั้งสามคนกำลังเดินไปนั้น เหยาซูก็ได้ถามอวี๋จือว่า “อวี๋จือ เจ้าเป็นคนที่ใดหรือ?”
ผู้ถูกถามจึงตอบอย่างจริงใจว่า “ข้าเป็นคนซูโจว”
เหยาซูยิ้มพลางกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ดีทีเดียว ได้ยินว่าอาหารซูโจวในหอไป๋เว่ยทำได้เหมือนต้นตำรับที่สุดแล้ว คราวนี้ข้าพาคนซูโจวไปด้วย ได้ลิ้มลองอาหารฝีมือของพวกเขา ดูซิว่าจะดีสมคำล่ำลือโดยแท้จริงหรือไม่”
ส่วนใหญ่ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา อวี๋จือมักจะตามเด็กในร้านและน้องรองแห่งร้านน้ำชาไปกินข้าวด้วย เขาได้กินแผ่นแป้ง โวโวโถว และผักดองทุกวัน
ตั้งแต่เด็กจนโตเขาไม่เคยต้องตกระกำลำบากเช่นนี้มาก่อน เดิมทีคิดว่าตัวเองคงจะหิวตายอยู่ในเมืองแปลกถิ่นแห่งนี้ไปแล้ว ไม่เคยคิดว่าครึ่งเดือนต่อมา จะเริ่มคุ้นชินกับความอดอยาก
ในใจอวี๋จือรู้ดีว่าเหยาซูเป็นผู้ที่ให้ความสำคัญกับรสชาติอาหารของตนเอง ทั้งอยากเปลี่ยนรสชาติอาหารให้ตัวเอง แต่กลับคำนึงถึงเกียรติของเขาด้วย
เด็กหนุ่มจึงรู้สึกซาบซึ้งในความเอาใจใส่ในรายละเอียดของนาง
“แม่นางเหยา ท่านช่างเป็นคนดีมากจริง ๆ”
เหยาซูยิ้มโดยไม่พูดสิ่งใด แต่หลินเหรากลับมองไปทางอวี๋จือแวบหนึ่ง
แม้ว่าบัณฑิตน้อยจะไม่สันทัดเรื่องการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น แต่กลับเข้าใจได้ทันที ในที่สุดจึงพูดเสริมขึ้นว่า “คุณชายหลินและแม่นางเหยาทั้งเก่งทั้งรูปงาม ช่างเป็นคู่รักที่หาได้ยากยิ่งโดยแท้จริง”
เมื่อเหยาซูเห็นสีหน้าระหว่างพวกเขาทั้งสองคน ก็อดขบขันไม่ได้
ทั้งสามคนเดินมาถึงโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง เหยาซูสั่งปลากระรอกทอดเปรี้ยวหวานพิเศษจานหนึ่งให้อวี๋จือ
อาหารถูกยกเข้ามา เมื่อเห็นปลาที่ถูกราดด้วยน้ำมะเขือเทศที่มีสีสันสดใสและเข้มข้นเต็มจาน นิ้วชี้ก็เริ่มกระตุก[1]น้ำลายสออยากกินในทันที
อวี๋จือชิมไปหนึ่งคำ ทันทีที่เนื้อปลาเข้าปากก็รู้สึกได้ถึงความเค็มและความสดใหม่ จากนั้นก็แปรเปลี่ยนมาเปรี้ยวหวาน เป็นรสชาติบ้านเกิดของเขาโดยแท้จริง
พริบตาเดียวที่เหยาซูเห็นดวงตาที่แดงก่ำของเขา ก็รู้ทันทีว่าสองสามวันที่ผ่านมาเขาต้องทนอดอยากอยู่ข้างนอกไม่น้อย
คิด ๆ ดูแล้วก็คงใช่ เขาอายุยังน้อย จากบ้านเกิดเมืองนอนครั้งแรกก็ต้องประสบพบเจอกับการหลอกลวงโดยพี่ชายที่สนิทที่สุดทั้งสองคน จากทิศตะวันตกไปยังทิศเหนือจนมาพบกับเมืองชิงถง เขาต้องพึ่งลำแข้งของตัวเอง ไม่รู้ว่าต้องเสียแรงกายไปเท่าไร
มันช่างยากเย็นสำหรับเขาเหลือเกิน
นางถามอวี๋จือด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “เป็นอย่างไรบ้าง? อาหารมื้อนี้เหมือนเช่นต้นตำรับหรือไม่?”
บัณฑิตน้อยสูดน้ำมูกอย่างแรง ก่อนจะหันกลับไปเช็ดน้ำตาอย่างเงียบ ๆ และพยักหน้าพูดกล่าวว่า “อื้อ ในบ้านมีแค่ท่านแม่ที่รู้ว่าข้าชอบกินปลา นางจะเข้าครัวเป็นครั้งคราว ปลากะพงจีนคืออาหารที่นางถนัดที่สุด”
เหยาซูไม่อยากกระตุ้นความลำบากที่อวี๋จือต้องเจอมา จึงยิ้มพลางพูดว่า “ข้าเองก็ชอบกินปลา กลับทำเป็นแค่นำมาทอดกับน้ำมัน คงอร่อยสู้ปลากะพงนึ่งที่พี่ใหญ่หลินของเจ้าทำไม่ได้”
ความสนใจทั้งหมดของชายหนุ่มถูกดึงดูดไปอย่างที่คิดไว้ “อ่า? คุณชายหลินเข้าครัวด้วยหรือ?”
สุภาพบุรุษต้องห่างครัว
ยุคสมัยนี้ไม่เพียงแต่บัณฑิตจะเข้าครัวไม่เป็นแล้ว ทั้งสังคมล้วนยอมรับไปโดยปริยายว่าการเข้าครัวเป็นเรื่องที่สตรีต้องทำ
เหยาซูพยักหน้าพลางพูดว่า “อาเหราไม่เพียงแต่จะทำอาหารเป็นเท่านั้น งานบ้านก็ยังทำได้ดีอีกด้วย อาเหราท่านพูดสิ ใช่หรือไม่?”
สองสามวันนี้หลินเหราทำงานบ้านแทบทุกอย่าง เมื่อได้รับคำยืนยันเช่นนี้จากเหยาซูต่อหน้าคนภายนอก ในใจจึงมีความสุขมากทีเดียว ด้วยเหตุนี้จึงพยักหน้าด้วยความภูมิใจอย่างมาก
อื้อ ความรู้สึกที่ถูกชมเชยจากผู้เป็นภรรยาช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก!
ทว่ากลับได้ยินอวี๋จือพูดอย่างตื่นตกใจว่า “พี่หลินยังทำงานบ้านอย่างนั้นหรือ?”
หลินเหราพยักหน้า ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรไม่เหมาะสม ก่อนจะพูดว่า “ในบ้านไม่มีคนรับใช้ หากข้าไม่ทำ อาซูก็ต้องลงมือเอง ถ้าเป็นเช่นนี้ข้าทำหรือนางทำมันต่างกันตรงไหน?”
อวี๋จืออึ้งงันเล็กน้อย ตะเกียบที่คีบอาหารก็หยุดชะงักลง
บิดามารดาของเขาก็เป็นสามีภรรยาที่ให้ความเคารพและเทิดทูนกันและกัน จนทุกคนพากันอิจฉา
แม้ว่าในบ้านจะมีสาวใช้ แต่บางครั้งท่านแม่ก็บ่นเรื่องงานบ้านที่ค่อนข้างซับซ้อน แต่ไหนแต่ไรท่านพ่อของเขาไม่เคยจะสนใจ อย่างมากก็แค่พยักหน้าให้นางสบายใจเท่านั้น
อวี๋จือไม่ใช่คนหัวโบราณคร่ำครึ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เข้าใจได้ว่า “ข้าไม่เคยได้ยินว่าจะมีคนคิดเช่นนี้ ที่พี่ใหญ่หลินทำเช่นนี้กลับเป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การชื่นชมอย่างมาก”
เขานึกถึงคำเรียก ‘อาเหรา ‘อาซู’ ที่ทั้งสองเรียกกันและกันเมื่อครู่ จึงอดถามขึ้นไม่ได้ว่า “ไม่ทราบว่าชื่อของพี่ใหญ่หลินและแม่นางเหยามาจากบทกวีที่ว่า ‘นาวาที่แล่นออกไปยังไม่หวนคืน’ ใช่หรือไม่? หากเป็นเช่นนี้ ก็คงจะเหมาะสมโดยแท้จริง”
เหยาซูและหลินเหรามองหน้ากัน ในขณะเดียวกันก็นึกถึงประโยคหนึ่งในปิ่นปักผม
ส่วนเหยาซูก็บังเอิญปักปิ่นสีเงินมาในวันนี้พอดี
นางยิ้มพลางพูดว่า “เป็นตัวอักษรสองตัวนั้นจริง ๆ แต่เราสองตระกูลไม่รู้จัก ไม่เคยมีความคิดที่จะตั้งชื่อลูก ๆ ที่เป็นดั่งโซ่ทองคล้องใจตามบทกวีมาก่อน”
อาหารถูกยกมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งสามคนกินอาหารพลางพูดคุยอย่างสบาย ๆ หลินเหราได้เอ่ยเรื่องที่อยู่ของอวี๋จือ
ระหว่างทางที่ไปร้านน้ำชา หลินเหราได้พูดคุยให้เหยาซูฟังอย่างชัดเจนแล้ว เหยาเฉาไม่เคยคัดค้านต่อการจัดการของน้องสาวแต่อย่างใด
นางพูดกับอวี๋จือว่า “พี่รองของข้าอายุมากกว่าเจ้าไม่เท่าไร เป็นคนง่าย ๆ ไม่มีกฎเกณฑ์มากมายนัก เจ้าไม่ต้องเคร่งครัดถึงเพียงนั้น ในบ้านเขานอกจากห้องโถงกลางแล้ว ห้องรับแขก ห้องหนังสือเจ้าล้วนใช้ได้ทั้งสิ้น”
บัณฑิตหนุ่มน้อยแสดงสีหน้าซาบซึ้งใจ วางตะเกียบกำลังจะกล่าวขอบคุณอย่างนอบน้อมกับเหยาซู ก็ถูกหญิงสาวพูดดักไว้เสียก่อน “ไอหยา ตกลงกันแล้ว ว่าอย่าพูดคำว่าขอบคุณอะไรนั่นกับข้าอีก”
ความหมายก็คือ ‘รู้ว่าเจ้าเป็นเด็กดี แค่อย่าเลียนแบบพวกที่คงแก่เรียนอย่างเคร่งครัดเหมือนบัณฑิตเหล่านั้นก็พอ’
ใบหน้าของอวี๋จือขึ้นสีแดงระเรื่อ ก่อนจะพูดอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ออกมา “ข้า ข้าไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว….”
อวี๋จืออายุไม่มากนัก แม้ว่าจะกลัวเสียหน้า จนต้องบอกกับเถ้าแก่จางในร้านน้ำชาว่าตัวเองได้เข้าร่วมพิธีกรรมสวมหมวก ทว่าเหยาซูก็เหลือบเห็นว่าอวัยวะทั้งห้าบนใบหน้ายังแสดงความโดดเด่นได้ไม่สมบูรณ์นัก อย่างมากก็น่าจะอายุสักสิบเจ็ดถึงสิบแปดปี
นางยิ่งรู้สึกว่าท่าทางของอวี๋จือนั้น ละม้ายคล้ายกับน้องชายที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือดในยุคปัจจุบันของนาง
เหยาซูยิ้มและเร่งรัดเขา “ยังไม่หยิบตะเกียบอีก กินเยอะ ๆ สิ อายุเช่นเจ้ายังต้องโตอีกเยอะ”
อวี๋จือหน้าแดงระเรื่อ และหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบปลากะพงหนึ่งคำอีกครั้ง ตามด้วยการพุ้ยข้าวนุ่มสีขาวเข้าปาก
ถึงตอนนี้หลินเหราจึงได้มั่นใจว่าเหยาซูไม่ได้คิดเกินเลยกับอวี๋จือจริง ๆ นางเห็นเขาเป็นน้องชายอย่างบริสุทธิ์ใจ
เขาพูดกับบัณฑิตน้อยว่า “หากสถานที่ที่เจ้าอยู่มีปัญหาอะไร มาหาพวกเราได้ทุกเมื่อ ข้าและอาซูจะย้ายไปบ้านอีกหลังเร็ว ๆ นี้ ทั้งสองที่ห่างกันไม่ไกลนัก”
เหยาซูคล้อยตามเช่นกัน “ใช่ ๆ ห้องหนังสือในบ้านของพี่รองข้ามีหนังสือไม่น้อย แม้จะบอกว่าเขาไม่มีความคิดจะลงสนามสอบ แต่หนังสือที่ตกทอดเป็นมรดกมายังคงมี สองสามวันนี้เจ้าทบทวนบทเรียนในบ้านได้ตามสบาย รอให้ทิศตะวันออกสงบลงกว่านี้ ค่อยเดินทางเข้าเมืองหลวงก็ยังไม่สาย”
แผนการของทั้งสองคนละเอียดเหมาะสม แม้ว่าจะเป็นสหายเก่าที่รู้จักกันมานานหลายปีก็ยังสู้ความสัมพันธ์เช่นนี้ไม่ได้
อวี๋จือซาบซึ้งอยู่ในใจ นอกจากขอบคุณแล้วก็ไม่รู้ว่าจะแสดงออกอย่างไร แค่กินข้าวเหล่านั้นอย่างเงียบ ๆ ข่มความปวดร้าวและขมขื่นไว้ภายในใจ
หลังจากที่ทั้งสามคนกินมื้อกลางวันเสร็จ อวี๋จือเก็บข้าวของเครื่องใช้ของตัวเองในโรงเตี๊ยม เป็นเพียงห่อผ้าขนาดเล็กใบหนึ่ง เห็นแล้วน่าสงสารยิ่งนัก
เหยาซูทอดถอนใจเงียบ ๆ ในใจ ไม่พูดสิ่งใด แต่บอกกับหลินเหราคำเดียวให้พาอวี๋จือไปอยู่บ้านที่ตระเตรียมไว้ในเมืองของพี่รอง
นางรู้ว่าอวี๋จือมีเงินติดตัวและคำนึงถึงการเคารพตัวเองเกินไปของพวกหนุ่มสาว จึงไม่เสนอจะซื้อสิ่งของอะไรให้เขาอีก
แต่ระหว่างทางที่ทั้งสองคนกลับบ้านตระกูลเหยา เหยาซูก็ยังไม่วางใจจึงพูดกับหลินเหราว่า “ท่านว่าอวี๋จือจะอยู่คนเดียวได้ใช่หรือไม่? ข้าเห็นเขาทำอาหารไม่เป็น แล้วมื้อค่ำจะกินอะไรเล่า?
[1] นิ้วชี้กระตุก แปลว่าพอเห็นอาหารรสเลิศก็เกิดอาการเปรี้ยวปาก น้ำลายสอนั้นเอง
สารจากผู้แปล
ทั้งสงสารและเอ็นดูน้องขึ้นมาเลยค่ะ น้องคงเพิ่งได้ออกสู่โลกกว้างเป็นครั้งแรกด้วยตัวคนเดียว เลยไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมคนนัก
ไหหม่า(海馬)