ยามบ่ายตะวันคล้อย ท้องฟ้ายังสว่าง ทั้งสองคนจึงไม่รีบกลับ หลินเหรากำลังบังคับเกวียนอย่างช้า ๆ เมื่อได้ยินดังนั้นจึงหันกลับไปพูดว่า “เขาอายุไม่น้อยแล้ว อีกทั้งไม่ใช่เด็ก ๆ ด้วย ไฉนจะต้องเป็นห่วงเขามากเพียงนี้”
เหยาซูส่ายหน้า “ข้ากลัวว่าเพื่อประหยัดเงิน เขาจะไม่ยอมออกไปกินอาหาร…”
หลินเหราอยากจะพูดว่าไม่กินข้าวหนึ่งมื้อคงไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่ ทว่าเมื่อนึกถึงรูปร่างซูบผอมของอวี๋จือ หากพูดแบบนี้ออกไปเกรงว่าเหยาซูคงยิ่งเป็นกังวล
เขาพูดกับเหยาซูด้วยท่าทีสบาย ๆ ว่า “ดูท่าทางอวี๋จือจะได้รับการตามใจมาตั้งแต่เด็ก ๆ ไม่เคยตกระกำลำบาก กลับเหมือนกับหญ้าที่โผล่ออกมาจากรอยแยกของหินบนหน้าผา อ่อนนุ่มแต่ไม่ระย่อท้อถอย เจ้าลองคิดดูว่าถ้าเป็นคุณชายจากตระกูลมั่งคั่งร่ำรวยทั่วไปถูกหลอกมาอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ไม่มีเงินติดตัวสักตำลึงเดียว ใครเล่าจะคิดได้ว่าต้องอาศัยการเล่าเรื่องของตัวเองหาเงินค่าเดินทาง เพื่อมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองหลวงต่อไป? อาซู เจ้าอย่าได้เป็นห่วงเขามากเกินไปเลย”
เหยาซูไม่ค่อยเห็นหลินเหราที่พูดมากถึงเพียงนี้ ทว่าการปลอบใจของเขาได้ผลมากจริง ๆ
“ท่านพูดถูก” หญิงสาวพยักหน้า “อวี๋จือมีความอดทนโดยแท้จริง หาได้ยากยิ่ง”
ทั้งสองคนพูดคุยเรื่องอวี๋จืออีกครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยตัดสินใจเรื่องย้ายบ้าน
เมื่อเหยาซูนึกถึงสิ่งของที่จำเป็นต้องย้ายก็พลันปวดหัว “หากต้องย้ายสิ่งของจำเป็นที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวันไปในเมือง คงไม่สะดวกแน่ สู้ขนย้ายแค่ของที่จำเป็นไปดีกว่า….”
หลินเหราพยักหน้า “แน่นอนอยู่แล้ว เอาแค่เสื้อผ้าที่นอนหมอนมุ้งไปก็พอ”
เหยาซูโน้มตัวยิ้มพลางพูดว่า “ไฉนมันจะง่ายเพียงนี้เล่า! ท่านคิดว่าเสื้อผ้าที่นอนหมอนมุ้งคือของที่จำเป็น ส่วนต้าเป่าจะต้องนำหนังสือที่โปรดปราน หนังยางและกระดาษพู่กันไปด้วย เอ้อเป่าต้องเอาเสื้อผ้าและเครื่องประดับของนาง ส่วนซานเป่าคงห่างเปลและของเล่นไม่ได้…”
คิดว่าคงต้องใช้เกวียนทั้งคันมาขนย้ายถึงจะพาของทั้งหมดนี้ไปได้
หลินเหราไม่เข้าใจเล็กน้อย “เหตุใดต้องยุ่งยากเพียงนี้?”
สำหรับพวกเด็ก ๆ สิ่งของที่เคยชินล้วนให้ความรู้สึกปลอดภัยแก่พวกเขา เหยาซูไม่อยากให้การย้ายบ้านทำให้ลูก ๆ ต้องปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ทุกครั้ง
นางรู้ว่าหลินเหราเคยชินกับความคิดที่ได้รับการปลูกฝังมาจากคนสมัยโบราณ จึงไม่อยากถกเถียงเรื่องนี้กับเขา เพียงแค่พูดว่า “นำของพวกนั้นไปด้วยเถิด จะได้ลดทอนความไม่พอใจของเด็ก ๆ ทั้งสามคนได้”
หลินเหราไม่ตอบสิ่งใด ถึงอย่างไรก็ต้องยอมเสียเวลา เหยาซูและเด็ก ๆ ถึงจะดีใจ
ทั้งสองคนปรึกษาหารือกัน ในที่สุดจึงบังคับเกวียนเข้าสู่หมู่บ้านตระกูลเหยา
เหยาซูเงยหน้ามองท้องฟ้า ซึ่งอีกไม่กี่ชั่วยามก็มืดแล้ว จึงพูดกับหลินเหราว่า “ประเดี๋ยวไปบ้านของท่านแม่ เราก็ถือโอกาสพูดเรื่องย้ายบ้านกับพวกเขาด้วยเลย”
หลินเหราเปลี่ยนทิศทาง ไม่นานทั้งสองคนก็มาถึงหน้าลานบ้านของตระกูลเหยา
ยังไม่ทันที่เหยาซูจะลงจากเกวียนก็ได้ยินเสียงตะโกนดังสะเทือนของเหยาเอ้อหลาง “ท่านอา! ท่านอาเขย!”
เด็กผู้ชายที่เหมือนกับลิงเปื้อนโคลนได้แทรกตัวออกจากที่ไหนไม่รู้ได้ ใบหน้ายังเปื้อนไปด้วยคราบเลือดจากรอยขีดข่วน แม้แต่เสื้อผ้าก็ยังสกปรกมอมแมม เกิดเป็นรูหลายจุด
ดวงตาของเหยาซูเบิกกว้างพลางถามเขาว่า “เจ้าไปทำอะไรที่ไหนมา? เหตุใดถึงได้อยู่ในสภาพนี้?”
เหยาเอ้อหลางให้ความเคารพอาเขยอย่างมาก ก้าวไม่กี่ครั้งก็มาอยู่ข้างกายหลินเหราแล้ว
เขาเห็นเหยาซูถามเช่นนี้จึงได้แต่เกาศีรษะพลางหัวเราะและพูดว่า “ไปจับกระต่ายป่าบนภูเขาขอรับ”
หลินเหราเห็นมือที่ว่างเปล่าของเขาจึงตั้งใจถามว่า “จับได้หรือไม่?”
เด็กน้อยไม่รู้ว่าผู้ใหญ่มีเจตนาล้อเล่น จึงยืดอกพลางกล่าวอย่างภูมิใจว่า “จับได้สิขอรับ!”
เหยาซูลงจากเกวียนพลางยิ้มและถามว่า “อ่อ? ไหนเล่ากระต่าย?”
เหยาเอ้อหลางหยุดชะงักไปชั่วครู่ ยกมือทั้งสองขึ้นแสดงท่าทางจนปัญญา ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าเหยเกว่า “เรื่องจับมันก็จับได้แหละขอรับ หากไม่ใช่เพราะมัวแต่ดีใจ จนหกล้ม…ทำให้กระต่ายหนีไป”
เหยาซูเพิ่งสังเกตเห็นว่าบนมือเหยาเอ้อหลางนั้นมีรอยถลอกเล็กใหญ่ ดูท่าคงจะเจ็บปวดไม่น้อย
หญิงสาวดึงมือเล็ก ๆ ทั้งสองข้างของเอ้อหลางขึ้นมาวางบนฝ่ามือของตัวเอง ตรวจดูอย่างละเอียดด้วยความปวดใจก่อนจะถามว่า “เหตุใดหน้าและมือถึงเต็มไปด้วยแผลเช่นนี้? เกิดอะไรขึ้น? แล้วบนร่างกายเล่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”
เหยาเอ้อหลางเคยชินกับป่าตั้งแต่เด็ก ๆ ทุกส่วนของร่างกายล้วนเต็มไปด้วยบาดแผลนับไม่ถ้วน ไม่หกล้มก็ลื่นถลอก เขาชินเสียแล้ว
เด็กชายหัวเราะออกมา “ก็กระต่ายตัวนั้นมันหนี ข้าก็เลยตามจับจึงไม่ทันระวังก็เลยพุ่งเข้าไปในพงหนามน่ะขอรับ …. ตามเนื้อตามตัวก็คงจะถลอกไม่น้อย”
เมื่อเหยาซูเห็นรอยยิ้มอันแสนโง่งมของเด็กน้อย จึงนึกโกรธเคืองขึ้นมาทันที อยากจะยื่นมือออกไปตีเขา ทว่าก็ตัดใจลงมือไม่ได้ ทำได้แค่บ่นว่า “เจ้าบอกมาสิ เหตุใดถึงไม่รู้จักทำตัวให้ผู้ใหญ่วางใจบ้าง? เอาแต่เล่น ชนโน้นกระแทกนี้อะไรก็ไม่รู้ได้ทุกวี่วัน?”
นางพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ไม่ได้มีเจตนาจะสั่งสอนจริงจัง เหยาเอ้อหลางจึงไม่กลัวเพียงพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ไม่เป็นไรขอรับ แค่แผลเล็ก ๆ! ชายชาติทหาร ไม่มีบาดแผล ไหนเลยจะกล้าหาญเล่า?”
เขาพูดพลางใช้สายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความศรัทธามองไปยังหลินเหราแวบหนึ่ง ชำเลืองมองบาดแผลที่เฉียงไปทางจอนผมตรงบริเวณหางคิ้วด้วยสีหน้าอิจฉา
เหยาซูปล่อยมือของเด็กชาย สุดท้ายก็หมดความอดทนฟาดมือลงไปบนท้ายทอยของเขาเบา ๆ “เอาเถอะ ก็แค่เด็กโง่คนหนึ่งไม่ว่าจะกล้าหาญหรือไม่กล้าหาญ! กลับบ้านมาแบบนี้คอยดูเถอะว่ามารดาเจ้าจะตำหนิว่าอย่างไร”
เหยาเอ้อหลางเบิกตากลมโตและพูดกับเหยาซูอย่างไม่เป็นธรรม “ท่านอา ข้าคิดว่าท่านเหมือนกับท่านอาเขยเสียอีก ที่แท้ท่านก็เป็นพวกเดียวกับท่านแม่! มีแค่ท่านอาเขยที่เข้าใจข้าที่สุด…”
เหยาซูยิ้ม “อะไรกันเล่า เหตุใดจึงมีแค่ท่านอาเขยที่เข้าใจเจ้า? ข้าและท่านแม่ของเจ้า เป็นคนไม่ดีอย่างนั้นหรือ?”
เหยาเอ้อหลางทำแก้มป่องพร้อมกับดึงแขนเสื้อของหลินเหรา จากนั้นก็เงยหน้ามองเขา “ท่านอาเขย ท่านพูดสิขอรับ!”
เอ้อหลางคือการผสมผสานจุดเด่นระหว่างเหยาเฉาและพี่สะใภ้รองเหยา คิ้วเข้มตาโต ชอบออกไปวิ่งเล่นข้างนอกทุกวัน แต่ผิวกลับไม่คล้ำขึ้นเลยแม้แต่น้อย
เดิมทีเขาเกิดมาหน้าตาดี มีส่วนละม้ายคล้ายกับเหยาซูไม่มากก็น้อย ยิ่งใช้สายตาเปล่งประกายระยิบระยับราวกับลูกหมาตัวน้อยมองไปทางหลินเหรา ก็ยิ่งทำให้ชายหนุ่มไม่อาจปฏิเสธได้
ฝ่ายชายจึงทำได้เพียงพูดกับเหยาซูว่า “เด็กผู้ชายมีแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ ตั้งแต่เด็กบ้างไม่เป็นไรหรอก หากแต่เป็นแบบนี้บ่อยครั้งตามใจกันตั้งแต่เด็ก ๆ เช่นนี้ก็คงไม่ดี”
ที่พูดก็ไม่ผิดหรอก เชื่อได้เลยว่าทุกคนล้วนคิดเช่นนี้
ทว่าในฐานะคนเป็นแม่ ใครบ้างเล่าจะอยากเห็นรอยแผลตามตัวลูกทุกวัน
แม่ทุกคนในใต้หล้า เมื่อเห็นบาดแผลตามร่างกายของลูกต่างก็รู้สึกเจ็บปวดราวกับเกิดขึ้นบนร่างกายของตนเองทั้งนั้น
เหยาซูถลึงตาใส่หลินเหรา และพูดกับเหยาเอ้อหลางว่า “เจ้าเด็กอัปลักษณ์ มีแค่อาเขยเท่านั้นหรือที่เข้าใจและเจ็บปวดกับคำพูดที่ไร้มโนธรรมเช่นนี้ของเจ้า ต่อไปห้ามพูดมันต่อหน้าแม่โดยเด็ดขาด!”
เหยาซูหยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดโคลนบนใบหน้าของเหยาเอ้อหลาง แต่พบว่าเช็ดยังไงก็เช็ดไม่ออกจึงพูดขึ้น “ไปเถอะ รีบกลับไปล้างหน้าล้างตา จัดการตัวเองแล้วค่อยไปหาแม่ของเจ้า!”
เหยาเอ้อหลางส่งเสียง ‘ไอหยา’ ออกมา จากนั้นก็วิ่งกะเผลกเข้าไปในบ้าน
เมื่อหลินเหราเห็นเหยาซูทอดถอนใจ หัวคิ้วจึงขมวดเป็นปมและอดถามนางไม่ได้ว่า “เป็นอะไรไป? โกรธหรือ?”
นางไม่ถึงกับโกรธหรอก แค่รู้สึกว่าตนนั้นไม่สามารถระบายถึงปัญหาในการเลี้ยงเด็กกับหลินเหราได้
เหยาซูมองไปยังสามีของตนแวบหนึ่งและพูดอย่างตรงไปตรงมา “ยังดีที่ต้าเป่าไม่ได้ทำให้ข้าเป็นกังวลเหมือนกับเอ้อหลาง”
หลินเหราเข้าใจความหมายของเหยาซู หากอาจื้อปีนต้นไม้จับไก่ กระโดดลงไปจับปลาในน้ำเหมือนกับเอ้อหลางทุกวัน หากไม่มีแผลตามร่างกายจะไม่ยอมกลับบ้าน เหยาซูคงต้องอกแตกตายเป็นแน่
ส่วนพวกเขาก็ต้องมาพิจารณากันว่าเพราะอะไรถึงได้สั่งสอนลูกไม่ให้เกิดความขัดแย้ง
เขาครุ่นคิดอยู่ในใจและแสดงความคิดเห็นที่เก็บงำมาโดยตลอดออกมา “อาซู ข้ารู้สึกว่าเจ้ารักอาจื้อ รักพวกเขามากเกินไป”
ฝ่ายชายไม่คุ้นชินกับวิธีการพูดอย่างสละสลวย จึงพูดจาตรงไปตรงมามาโดยตลอด
ครั้นคนที่กำลังอารมณ์ดีกลับต้องเผชิญหน้ากับข้อกล่าวหาเช่นนี้ของคนรัก ก็เริ่มอารมณ์ไม่ดีเหมือนทุกครั้งไป
นางถามหลินเหรากลับว่า “ข้ารักเกินไปตรงไหนหรือ?”
……………………………………
สารจากผู้แปล
งานเข้าแล้วอาเหรา อธิบายกับอาซูดีๆ เลยนะ
ไหหม่า(海馬)