ตอนที่ 154 จิตใจที่ซับซ้อนของตระกูลสงคราม (3)
เขา…เขาไม่มีวันปล่อยให้นางบาดเจ็บแม้แต่น้อย
ครุ่นคิดได้เช่นนี้ แม้ซูชีจะทะยานขึ้นมาจากถังน้ำ ทว่าตัวของเขาไม่ได้ทะยานขึ้นไปด้านบน แต่ว่าป้องตัวอยู่ด้านหน้าถังน้ำ รับฝ่ามือของหนิงเซ่าชิง
เห็นเขาสวมเสื้อตัวในสีขาว หนิงเซ่าชิงชะงัก รู้สึกสิ่งที่ตนคิดก่อนหน้านี้ผิดไปแล้ว
แต่ว่า เมื่อเข้าใจเจตนาในการต้านฝ่ามือของซูชี เขาโมโหมากขึ้นกว่าเดิม
สตรีของเขา เขาปกป้องเอง หากซูชีนี่หลบจริงๆ เขาย่อมปรานี ย่อมเบนฝ่ามือไปทางอื่น
เดิมทีฝ่ามือนี้ใช้พลังเพียงเจ็ดส่วน เมื่อโมโหเขาจึงใช้ไปสิบส่วน ไล่ต้อนให้ซูชีถอยหลังติดต่อกัน ถังน้ำนั่นก็เคลื่อนถอยไปด้านหลัง
หากเป็นยามปกติ แม้ซูชีจะไม่อาจรับมือได้ แต่ก็ไม่มีวันน่าเวทนาเช่นนี้ แต่ว่าวันนี้เริ่มจากถูกมั่วเชียนเสวี่ยทำร้ายจิตใจไปมาก ในตอนหลังโอกาสในการต่อสู้อยู่ทางหนิงเซ่าชิง เขาไม่ได้ทะยานออกไป แต่กลับต้านทานหนิงเซ่าชิงเอาไว้ถือเป็นเรื่องที่เกินคาดยิ่งนัก เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในระยะเวลาอันสั้น รอให้มั่วเชียนเสวี่ยดึงสติกลับมา ถังน้ำนั่นก็ชนเข้ากับกำแพงแล้ว
ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดทำให้มั่วเชียนเสวี่ยนึกขึ้นได้ บุรุษกระมิดกระเมี้ยนของนางต้องกินน้ำส้มสายชูอีกเป็นแน่ พอนึกถึงเรื่องที่ตนทำ มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกว่าน้ำส้มสายชูนี้…ควรกิน! แต่ว่า คนที่ทำผิดคือนาง หากจะทุบตีจะด่านาง นางล้วนยอมทุกอย่าง แต่ว่าตอนนี้เขากลับทำร้ายคนที่ช่วยนาง ทั้งยังเป็นซูชีที่เกือบโดนนางทำเช่นนั้น มั่วเชียนเสวี่ยน้ำตาไหลพราก นางไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใดแล้ว!
ท่ามกลางความร้อนใจ มั่วเชียนเสวี่ยยื่นมือออกมาจากถังน้ำด้วยความอ่อนแรง “เซ่าชิง”
ดวงหน้าแดงระเรื่อผิดปกติของมั่วเชียนเสวี่ย รวมถึงคราบน้ำตาที่นองหน้า ทำให้หนิงเซ่าชิงเข้าใจผิดอีกครั้ง
“ซูชี เดิมทีข้าคิดว่าเจ้าเป็นสุภาพบุรุษ คิดไม่ถึงว่าเจ้ากลับเป็นคนต่ำช้า…” หนิงเซ่าชิงกระแทกฝ่ามือไปทางหนิงซูชีอีกครั้ง มั่วเชียนเสวี่ยคิดไม่ถึงว่าหนิงเซ่าชิงไม่เพียงแต่ไม่มาหานาง แต่กลับต่อสู้กับซูชีต่อ “หนิงเซ่าชิง…ท่าน…ไม่ต้องการข้าแล้วหรือ”
ด้านในร้อนผ่าวด้านนอกเยือกเย็น จิตใจร้อนรน เลือดกระอักออกมาจากริมฝีปากของมั่วเชียนเสวี่ย
หนิงเซ่าชิงเห็นมั่วเชียนเสวี่ยกระอักเลือด จึงกระวนกระวายขึ้นมาทันที เก็บฝ่ามือ “เชียนเสวี่ย…เจ้าเป็นอะไรไป”
ขณะพูด หนิงเซ่าชิงรีบวิ่งมา เขาผลักซูชีที่พิงถังน้ำออก หันไปกลับเห็นรอยฟันบนคอของซูชี เส้นเลือดบนหน้าผากปูดนูนขึ้นมาอีกครั้ง กำลังจะลงมือ เงยหน้าขึ้นกลับเห็นอาการของมั่วเชียนเสวี่ยไม่สู้ดีนัก ทำได้เพียงพูดเสียงเหี้ยม “ไว้ข้าค่อยมาคิดบัญชีกับเจ้า”
ซูชีหันกลับไปเห็นมั่วเชียนเสวี่ยกระอักเลือด ปวดใจยิ่งนัก ทว่ากลับถูกหนิงเซ่าชิงผลักออก
มองมั่วเชียนเสวี่ยที่มองหนิงเซ่าชิงด้วยน้ำตานองหน้า เขายอมแพ้แล้ว ตั้งแต่ถูกวางยาพิษกระทั่งตอนนี้ นางเผยความอ่อนแอของตนออกมาก็ตอนที่เห็นผู้ชายของนางเอง ตนเป็นเพียงส่วนเกิน การตัดสินใจเหล่านั้นของเขาคือเรื่องที่ถูกต้อง… ซูชีกุมแผงอกของตน คล้ายที่นั่นได้รับการปลอบประโลมเล็กน้อย
ซูชีทิ้งไว้เพียงประโยคเดียว เสียงฝีเท้าของดังขึ้น แผ่นหลังฉายความโดดเดี่ยว “ท่านอยู่ดูแลนางที่นี่เถอะ…” กล่าวจบ ก็ไม่หันกลับมาอีกเลย
ซูชีเพิ่งเดินออกมาจากห้อง ปิดประตูลง เขากระอักเลือดทันที เมื่อครู่ต้านฝ่ามือนั้น สะท้านจนตอนนี้เลือดลมของเขายังคงพลุ่งพล่าน
คุณชายอันดับหนึ่งของตระกูลขุนนางช่างเก่งกาจจริงๆ ทั้งที่บาดเจ็บจากพิษแต่พลังของฝ่ามือยังคงทรงพลังยิ่งใหญ่
อาลู่เห็นซูชีปิดประตูลงแล้วกระอักเลือด เขารีบเข้าไปพยุงนายของตน ทว่าไม่กล้าแม้แต่จะถาม
เขาได้ยินเสียงดังจากด้านในนานแล้ว แค่ว่าถูกฝ่ามือของหนิงเซ่าชิงซัดจนปลิวออกไป จึงไม่กล้าเข้าไป แต่นั่นไม่ใช่เพราะขวัญอ่อนกลัวเดือดร้อนจึงไม่กล้าเข้าไป แต่เป็นเพราะคาดเดาสถานการณ์ด้านในได้แล้ว
หากเขาบุกเข้าไปจริงๆ เห็นอะไรบางอย่าง เกรงว่าจะไม่ใช่แค่หนึ่งฝ่ามือแล้ว แต่เป็นชีวิตของเขา
“คุณชาย เสื้อผ้าของคุณชายเปียกโชกไปหมดแล้ว ระวังจะเป็นหวัดเอาได้ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะขอรับ”
อาลู่พูดเช่นนี้ ซูชีนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เสื้อผ้าที่มั่วเชียนเสวี่ยสวมเปียกโชกไปหมดแล้ว เดินไปในสวนจับต้นเขียวหมื่นปี พูดเสียงเบา “เจ้าไปซื้อเสื้อผ้าสตรีที่ร้านขายเสื้อหนึ่งชุด เอาเสื้อผ้าที่ดีที่สุด แบบของเสื้อไม่สะดุดตาเกินไป สีของเสื้อก็ห้ามฉูดฉาดจนเกินไป ทางที่ดีที่สุดคือซื้อสีน้ำเงิน…”
ทุกครั้งที่พบเจอนาง ไม่ใช่สีน้ำเงินเข้มก็สีฟ้าอ่อน หรือไม่ก็สีฟ้าทะเลสาบ นางต้องชอบสีน้ำเงินเป็นแน่
เจ้านายของตนใส่ใจกับสตรีเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด แม้แต่เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายมารดาของฮูหยินใหญ่ประจำตระกูลซู คุณชายเจ็ดก็ยังไม่เคยใส่ใจเช่นนี้มาก่อนกระมัง อาลู่ไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “คุณชาย เช่นนั้น…ท่านเล่า… เนื้อตัวของท่านยังเปียกปอน”
“ไม่ต้องพูดมาก สั่งให้เจ้าไปก็ไปซะ” รับปากแล้วว่าจะอยู่กับนาง นางยังถูกพิษของน้ำเย็น ทว่าตนกลับไม่อาจอยู่เคียงข้างนางได้ เช่นนั้น…ก็อยู่เคียงข้างนางด้านนอกก็แล้วกัน
ซูชีออกไปจากห้อง หนิงเซ่าชิงคว้ามือของมั่วเชียนเสวี่ยที่ยื่นไปหาเขา
ความร้อนนั่นแผ่ซ่านอยู่ในฝ่ามือของหนิงเซ่าชิง เขารู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง จึงยื่นมือไปจับอุณหภูมิของนาง หนิงเซ่าชิงโมโหขึ้นมาทันที
“คือผู้ใด” ทั้งสองใจตรงกัน แน่นอนว่าไม่ต้องอธิบายมั่วเชียนเสวี่ยก็รู้ว่าหนิงเซ่าชิงถามเรื่องอะไร
“ข้าเองก็ไม่รู้…เดาว่าน่าจะเป็นคุณหนูห้าแห่งตระกูลเจี่ยน…” มั่วเชียนเสวี่ยเงียบไปครู่หนึ่งแล้วค่อยพูด เพียงแต่สุดท้ายแล้วฤทธิ์ยาปลุกกำหนัดนั่นที่ปะทุอยู่ในร่างกายของนางกินเรี่ยวแรงไปมาก ตอนนี้แช่อยู่ในน้ำเย็นอีก แม้จะไม่หนาว ทว่าความร้อนและความหนาวสลับผลัดเปลี่ยนกัน ร่างกายของนางอดไม่ได้ที่จะสั่นเทา
เมื่อสั่นเทา สิ่งที่นางพูดก็ติดติดขัดขัด
“คือนาง?” ดวงตาหงส์ของหนิงเซ่าชิงหรี่ลงเล็กน้อย การมาเยือนของคุณหนูห้าเจี่ยนในวันนั้น เขาไม่เคยบอกมั่วเชียนเสวี่ย ไม่ใช่เพราะจะรักษาหน้าของสตรีชั้นต่ำ แต่ไม่อยากให้มั่วเชียนเสวี่ยหนักใจ
เยี่ยม กล้าลอบทำลายคนของเขา เขาจะทำให้นางรู้ว่าสิ่งใดคือยาปลุกกำหนัด!
“ข้าขอโทษ!” ความเป็นจริงเขาอยากจะกระโดดลงไปอยู่กับนางในน้ำ เพียงแต่คิดถึงพิษลมหนาวในร่างกาย เขาก็หยุดความคิดนั้น เพียงจับมือมั่วเชียนเสวี่ย กุมดวงหน้าของนางเบาๆ เพื่อปลอบโยน
ไม่ใช่เพราะเขาให้ความสำคัญกับร่างกายของตน เพียงแต่หากเขากระโดดลงไปในน้ำตอนนี้ เลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้พิษลมหนาวกำเริบ ทำให้นางต้องเสียใจอีก
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นสีหน้าที่หม่นหมองลงของเขา ความปวดร้าวในใจไม่อาจซ่อนเร้น พูดปลอบ “ความเป็นจริง…ไม่ใช่เรื่องอะไร…แช่…แช่น้ำเย็นอันที่จริงแล้วส่งผลดีต่อ…ร่างกาย…”
ปู่เหมาเจ๋อตงตอนอายุหกสิบปีว่ายน้ำในเหมันตฤดูยังสามารถข้ามแม่น้ำแยงซีได้ นางก็ถือว่าแช่น้ำเย็นก็แล้วกัน จะเป็นอะไรได้เล่า…ไม่ใช่ว่า มีงานวิจัยบอกว่าอาบน้ำเย็นในฤดูนี้ส่งผลดีต่อร่างกายหรือ
ฮัดชิ้ว แม้นจะครุ่นคิดเช่นนี้ ทว่าร่างกายกลับไม่เอาถ่าน จามจนได้
ฟังคำพูดที่อยากปลอบโยนของมั่วเชียนเสวี่ยซึ่งแช่อยู่ในน้ำ แล้วฟังเสียงจามของนาง หัวใจของหนิงเซ่าชิงราวกับถูกมีดกรีดแทง เจ็บจนเขาพูดไม่ออก เขายินยอมให้คนทุกข์ที่ทรมานคือตนแทนนาง
ซูชีอยู่ด้านนอกได้ยินเสียงจาม เป็นกังวลเล็กน้อย บทสนทนาของระหว่างพวกเขา แม้ซูชีจะไม่ได้ตั้งใจฟัง และไม่รู้ว่าพูดอะไรบ้าง แต่ในห้องกลับไม่มีเสียงชายหญิงทำเรื่องเช่นนั้นดังขึ้น…