บทที่ 155 นางเป็นบรรพบุรุษของข้า

จี้จือฮวนให้เผยยวนช่วยใส่ยาบนหลังของจั๋วฉวิน ทางด้านจ้านอิ่งก็ไม่ต้องกังวล ดังนั้นจี้จือฮวนจึงออกมาสูดอากาศอย่างสบาย ๆ

อู๋ซิ่วหรี่ตาพิจารณานาง รูปร่างหน้าตาเช่นนี้ หากว่าโตขึ้นอีกสักหน่อย เปลี่ยนไปสวมเสื้อผ้างดงาม ต้องเป็นสาวงามที่หาตัวจับได้ยากอย่างแน่นอน

ดูท่านายท่านผู้นี้พักรักษาตัวอยู่ด้านนอก ก็ไม่ได้อยู่ว่าง ๆ นี่นา

จี้จือฮวนปรายตามองเขาด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นฝ่ามือหนึ่งก็ตบเข้าที่ใบหน้าของอู๋ซิ่วทันที

“ดูอีกสิ แม่จะควักลูกตาเจ้าออกมาให้ดู”

อู๋ซิ่วถูกตบจนใบหน้าครึ่งหนึ่งชาไปหมด กำลังคิดจะชี้หน้าด่าจี้จือฮวน เผยยวนก็เปิดม่านขึ้นมาจ้องหน้าเขา “อยากตายหรืออย่างไร? บรรพบุรุษของข้าใช่คนที่เจ้าจะมองได้อย่างนั้นหรือ?”

อู๋ซิ่วบ่นในใจ ท่านมีบรรพบุรุษตั้งแต่เมื่อใดกัน! เหตุใดข้าไม่เห็นรู้เลย!

กว่าจะส่งรถม้าของเผยยวนเข้าเมืองได้ อู๋ซิ่วที่กำลังคิดจะหายใจเข้าปอดสักครั้งแล้วให้คนไปรายงานผู้บังคับบัญชาของตน สุดท้ายกลับถูกจ้านอิ่งสะบัดกีบเท้าใส่ ทำให้อู๋ซิ่วกินดินเข้าไปเต็มปาก อู๋ซิ่วทำได้เพียงกระทืบเท้าอยู่ที่เดิมด้วยความโมโห

หมู่บ้านตระกูลเฉิน

“เอ้า สำมะโนครัวมาแล้ว ต่อไปนี้พวกเจ้าก็เป็นคนของหมู่บ้านตระกูลเฉินแล้ว” เฉินฉือหยิบสำมะโนครัวที่เจ้าหน้าที่เพิ่งนำมาส่ง แจกให้เหล่าเชลยทีละแผ่น

“เหตุใดบนสำมะโนครัวก็เขียนว่าอี เอ้อร์ ซาน ซื่อเล่า! ชื่อเช่นนี้น่าเกลียดจะตายไป” มีคนพึมพำด้วยความไม่พอใจ

งูสองตัวที่อยู่ข้าง ๆ รีบส่งเสียงขึ้นมา “ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ!”

พรรคพวกตัวเลข “…”

ไร้เหตุผลสิ้นดี

อีและเอ้อร์รับสำมะโนครัวของตัวเองไปด้วยท่าทางเฉื่อยชาเล็กน้อย ก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างประคองใบหน้าของตัวเองไว้เลียนแบบท่าทางของอาชิง พลางทอดถอนอารมณ์ไปกับท้องฟ้า

“เฮ้อ คิดถึงลูกพี่ฮวนฮวนจังเลย นางจะกลับมาเมื่อใดหรือ ช่วงนี้กินข้าวไม่อร่อยเลยจริง ๆ”

ซาน ซื่อ อู่ ลิ่วก็เลียริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว จะว่าไปแล้วพวกเขาก็คิดถึงเหมือนกัน

อีและเอ้อร์ “พวกเจ้าห้ามคิด ถั่วงอกนั่นยังเด็ดไม่เสร็จเลย ผักดำตากแล้วก็ไม่รู้จักกลับ ยังมีหน้ามาคิดถึงลูกพี่ฮวนฮวนอีก หน้าไม่อาย!”

แน่มากนักหรือไง ไม่คิดก็ไม่คิดสิ!

ภายในห้องโถง ทุกคนล้วนมีท่าทางหดหู่ ท่านป้าก็ไม่อยากเล่นไพ่นกกระจอกแล้ว

เผยจื่อกับฮวนฮวนไม่อยู่ รู้สึกเหมือนในบ้านขาดอะไรบางอย่างไป ไม่มีแรงเอาเสียเลย

ไท่ซ่างหวงก็เดินเล่นไปทั้งหน้าเรือนและหลังเรือนจนครบหนึ่งรอบแล้ว ก่อนจะหันมาเอ่ยกับท่านป้า “มาทะเลาะกันเถอะ เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ดีแน่”

“ข้าขี้เกียจทะเลาะกับเจ้าแล้ว ข้าไม่มีแรง”

“เหตุใดเจ้าไม่ทะเลาะกับข้า ถ้าเจ้าไม่ทะเลาะกับข้า เจ้ายังจะทะเลาะกับใครได้อีก”

“หลบไป ๆ เจ้าไม่เบื่อบ้างหรืออย่างไร?”

ขณะที่ไป๋จิ่นกินข้าว เขาก็ปรายตามองลูกศิษย์ที่กำลังจ้องตัวเองอยู่ตลอด ก่อนจะถามด้วยความหวาดระแวง “เจ้ามองข้าเช่นนี้ทำไมกัน หรือว่ารู้สึกว่าวันนี้อาจารย์หล่อเหลาขึ้นมาอย่างนั้นหรือ?”

อาชิงน้อยส่ายหน้า ก่อนจะเอ่ยอย่างเชื่อฟัง “รอท่านกินข้าวเสร็จก่อนค่อยพูดดีกว่าขอรับ”

ไป๋จิ่นสะบัดผมที่หยักศกของตัวเองเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงยั่วยวนขึ้นมา “อาจารย์รู้ดี ต่อให้ตอนนี้ผมอาจารย์จะกลายเป็นเช่นนี้ แต่ท่าทางสูงส่งยังคงอยู่ เจ้ามีคำชมอะไรก็พูดออกมาทีเดียวเลย อาจารย์รับได้ ไม่เป็นไร”

อาชิงน้อยเอ่ยอย่างจริงจัง “เมื่อครู่ตอนที่ท่านขึ้นมา ท่านเหยียบบนขี้หมาขอรับ”

ไป๋จิ่น “…”

เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ อย่าโมโห ๆ ฆ่าไม่ได้ ๆ นี่เป็นอาวุธเทพเพียงชิ้นเดียวที่สามารถเอาชนะสำนักกู่ได้ อย่าวู่วาม อย่าโมโห โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า

“เมื่อครู่…เหตุใดไม่บอกอาจารย์ล่ะ…ฮึ?” ไป๋จิ่นกัดฟันพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

อาชิงน้อยยักไหล่แล้วเอ่ยขึ้นมา “ครั้งก่อนท่านบอกว่าตอนกินข้าวอย่าพูดเรื่องน่าสะอิดสะเอียนนี่ขอรับ”

ไป๋จิ่น “…”

เหนื่อยแล้ว เจ้าสำนักกู่สารเลว ข้าทนมาพอแล้ว! (╯‵□′)╯

อาชิงมีสีหน้าสับสน เหตุใดอาจารย์ผู้นี้แปลกขึ้นทุกที ทั้ง ๆ ที่ข้าเชื่อฟังเป็นอย่างมาก ไม่ถูกตรงไหนกัน?

เมื่อเข้าประตูเมืองมา เมืองหลวงที่คึกคักในนิยาย ก็ปรากฏต่อหน้าของจี้จือฮวน

โดยศูนย์กลางมีถนนขนาดใหญ่ ตึกรามบ้านช่องตั้งเรียงรายสองข้างทาง มีทั้งโรงน้ำชา ภัตตาคาร ร้านขายรองเท้า ร้านขายเนื้อ วัดวาอาราม บ้านเรือนผู้คนและอีกมากมาย

ร้านค้ามีหลากหลายประเภท ทั้งร้านซ่อมรถขนาดใหญ่ ร้านดูดวงชะตา ร้านตกแต่งใบหน้า เรียกได้ว่ามีพร้อมทุกอย่าง นอกจากนี้ประตูของร้านใหญ่ยังตกแต่งไปด้วยผ้าหลากสีสันและแขวนป้ายชื่อร้านเพื่อดึงดูดลูกค้า ถนนการค้ามีผู้คนเบียดเสียดยัดเยียด หลั่งไหลกันเข้ามาไม่ขาดสาย ผู้คนทุกชนชั้นหลากหลายความสนใจมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง มีเกี้ยว อูฐ รถเทียมเกวียน รถลาก รถเข็น ให้บริการอย่างครบครัน บรรยากาศอันรุ่งเรืองปรากฏอยู่ตรงหน้านาง

แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับสมัยโบราณที่งดงามในภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ ที่นี่สามารถสัมผัสกับชีวิตของคนทั่วไปได้ดีกว่า

เผยยวนค่อนข้างคุ้นเคยกับเมืองหลวง ดูตามละแวกที่อยู่บนโฉนด ก็สามารถหาหย่งอันถังเจอ

หย่งอันถังประกอบด้วยร้านค้าสามห้อง และมีชั้นสองอยู่ด้านบน ซึ่งกินพื้นที่ยาวมาก มีผู้ป่วยที่มาขอรับการรักษาอยู่ด้านนอกจำนวนมาก เด็กรับใช้ที่ต้มยาอยู่หน้าประตูยิ่งยุ่งจนไม่ได้พัก

ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้ถังกั๋วกงจะจัดการที่นี้ได้เป็นอย่างดี แพทย์ที่เชิญมาก็คงมีความสามารถเช่นกัน

รถม้าหยุดอยู่ใกล้หย่งอันถัง ทั้งสามคนลงมาก็พบเข้ากับเด็กรับใช้ร้านยาที่มาไล่ด้วยสีหน้าไม่พอใจ

เด็กรับใช้ผู้นั้นแกว่งพัดหางนกยูงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงกระวนกระวายใจ “ที่นี่ห้ามจอดรถ ไป ๆ ๆ”

ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะยุคสมัยปัจจุบันหรือสมัยโบราณ ที่จอดรถนี้ก็ล้วนแต่มีจำกัด

จี้จือฮวนเอ่ยถาม “เถ้าแก่ของพวกเจ้าเล่า?”

เด็กรับใช้หรี่ตาและพิจารณาจี้จือฮวนเล็กน้อย “ทำไม?”

“ข้ามาหาเขา มีธุระ” จี้จือฮวนเอ่ยจบ ก็เห็นเถ้าแก่ที่กำลังยุ่งอยู่ที่โต๊ะต้อนรับ จึงเดินผ่านเด็กรับใช้ไปที่หน้าโต๊ะต้อนรับทันที

“เถ้าแก่ขอรับ คนผู้นี้จะพบท่านให้ได้”

ชายที่กำลังดีดลูกคิดเงยหน้าขึ้น หรี่หางตาพิจารณาจี้จือฮวนเล็กน้อย “ท่านคือ?”

“จี้จือฮวน”

ชายผู้นั้นดีใจขึ้นมาทันที “ที่แท้ก็ท่านนี่เอง ในที่สุดท่านก็มาแล้ว ข้ายังคิดว่าหากท่านไม่มา สองวันนี้ข้าเตรียมจะไปหาท่านที่ตำบลฉาซู่อยู่พอดีเลยขอรับ”

เถ้าแก่ของหย่งอันถังมีชื่อว่าถังซุ่น เขารู้ตั้งนานแล้วว่าร้านยาเปลี่ยนเจ้าของ แต่ว่ารอแล้วรอเล่า ก็ยังไม่มีคนมา!

ตอนนี้ในที่สุดนางก็มาเสียที ถังซุ่นจึงสามารถหายใจได้โล่งขึ้นแล้ว

ขณะที่เขาเตรียมจะเชิญจี้จือฮวนขึ้นไปยังห้องชั้นบนเพื่อคุยรายละเอียด ด้านหลังก็มีคนเปิดประตูออกมา “รักษาไม่ได้ บาดเจ็บถึงเพียงนี้ไม่รอดแน่นอน”

“ท่านหมอ ท่านหมอ ท่านดูก่อนเถอะเจ้าค่ะ คนผู้นี้ยังสามารถหายใจได้ ท่านปล่อยไปไม่สนใจไม่ได้นะเจ้าคะ”

“เจ้าจะให้ข้าสนใจอย่างไร รีบไปเตรียมโลงศพเถอะ” เห็นได้ชัดว่าท่านหมอหมดความอดทนแล้ว ทั้งยังเรียกคนมาหามคนออกไปด้วย

“รักษาได้” เสียงผู้หญิงที่เย็นชาดังขึ้นข้าง ๆ คนจำนวนไม่น้อยต่างก็มองมาทางจี้จือฮวน

“เด็กผู้หญิงเช่นเจ้า พูดจาใหญ่โต ไม่กลัวลิ้นขาดหรืออย่างไร เจ้าจะช่วยอย่างไร?! ข้าเป็นหมอมาหลายปีบอกว่าช่วยไม่ได้ก็คือไม่ได้”

“ฝีมือมีไม่พอก็หลบไป อย่ามาขวางทางผู้อื่น” จี้จือฮวนเบียดเขาออกมา ก่อนจะเอ่ยกับเด็กรับใช้สามสี่คนที่ยืนอยู่ตรงนั้น “มัวอึ้งอยู่ทำไมกัน เอาคนมาหามเขาเข้าไป”

ถังซุ่นเองก็เข้ามาพร้อมกับเอ่ย “ไป ๆ ๆ เอาคนหามเข้าไป!”

ท่านหมอเครากระดิกพร้อมทั้งถลึงตาใส่ “เถ้าแก่ถัง เจ้าช่วยคนนอกตบหน้าข้าอย่างนั้นหรือ? ยอมเชื่อเจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมผู้นี้อย่างนั้นหรือ?”

ถังซุ่นกำลังจะพูดว่านี่คือหมอเทวดาที่ช่วยถังกั๋วกงเอาไว้ เจ้าหลบไปเถอะ

ใครจะไปคิดว่าตาเฒ่าผู้นี้กลับวางอำนาจใหญ่โตขึ้นมาเสียก่อน “หากว่านางสามารถรักษาคนผู้นี้ได้ ข้าจะไม่เป็นหมออีกต่อไป”