บทที่ 159 เหตุใดถึงได้พะเน้าพะนอองค์หญิงเก้าเพียงนี้

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 159 เหตุใดถึงได้พะเน้าพะนอองค์หญิงเก้าเพียงนี้

บทที่ 159 เหตุใดถึงได้พะเน้าพะนอองค์หญิงเก้าเพียงนี้

หลี่เซียงอี๋ผินหน้าตามสายพระเนตรฝ่าบาทไป ทั้งสองเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก็พบว่าหลังก้อนหินมีหัวกลม ๆ ขนปุกปุยสีขาวดำของถวนจื่อโผล่ออกมา

ใบหน้าของหลี่เซียงอี๋แปรเปลี่ยนเป็นไม่พอใจมาก เมื่อเห็นว่ามีอะไรมาขัดจังหวะ…

ไม่ทันที่จะได้คิดอะไรต่อ ศีรษะกลม ๆ เล็ก ๆ ก็โผล่มาจากด้านหลังของแพนด้าน้อย

ดวงตากลมโตของเสี่ยวเป่ามองท่านพ่อและพระสนมอย่างไร้เดียงสา

เป็นนางที่เข้ามาก่อเรื่องอีกแล้ว!!!

ใบหน้างดงามของหลี่เซียงอี๋บิดเบี้ยวด้วยโทสะทันที เหตุใดเด็กคนนี้ถึงชอบยุ่งอยู่เรื่อย!

“ท่านพ่อ”

เสี่ยวเป่าเอ่ยเรียกหนานกงสือเยวียนอย่างขี้อาย กะพริบตาปริบ ๆ อย่างไร้เดียงสา

ครู่ต่อมา เหล่านักกินแตงตัวน้อย ๆ ที่มีขนปุกปุยก็ปรากฏกายรอบ ๆ ตัวองค์หญิงน้อย ดวงตากระจ่างใสหลายคู่มองมาอย่างเชื่อฟัง

หนานกงสือเยวียน “…”

ให้ความรู้สึกไม่ต่างอะไรจากการถูกจับตามองท่ามกลางฝูงชน

เขานวดหัวตาแล้วเอ่ยกับหลี่เซียงอี๋ด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้ากลับไปก่อน ไม่ว่าจะองค์ชายใหญ่หรือองค์ชายรอง ข้าจะถามความเห็นพวกเขาก่อนว่าต้องการแต่งงานหรือไม่”

หลี่เซียงอี๋ดูร้อนรนขึ้นมาทันที “แต่…”

ไม่ทันจะได้เอ่ยต่อ สายตาเย็นเยียบของฮ่องเต้ก็ทำให้นางเสียวสันหลังวาบจนถึงกับต้องกลืนน้ำลายลงคอ

หลี่เซียงอี๋ยอมจำนนในที่สุด นางส่งสายตาไม่พอใจให้เสี่ยวเป่า ก่อนจะขอตัวจากไป

เสี่ยวเป่ายืนอย่างเรียบร้อย นางเห็นสายตานั้นแล้วแต่ไม่ได้ตอบโต้อะไรเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก

“ท่านพ่อ”

เมื่อพระสนมไปแล้ว เสี่ยวเป่าก็เอาเจ้าก้อนขนขึ้นมาตัวหนึ่ง ตรงไปหาหนานกงสือเยวียนด้วยรอยยิ้มหวาน

ผู้เป็นบิดามองร่างเล็กของบุตรสาว

“มาทำอะไรที่นี่”

เสี่ยวเป่าตอบอย่างว่าง่าย นางมาเพื่อตามหาคนที่ตัดขนแกะเป็น จากนั้นก็ถูกลูกหมาป่าของพี่ชายบังคับให้พากลับมาด้วย แต่ว่าได้ยินเสียงของพระสนมกับฮ่องเต้ดังขึ้นที่นี่เสียก่อน

หนานกงสือเยวียนจ้องมองลูกหมาป่าน้อยที่อยู่ข้างหลัง

พวกมันทั้งหมดซ่อนตัวอยู่หลังขาของบุตรสาวที่ยืนส่งยิ้มให้

เขาเอ่ยขึ้น “ไปเถอะ”

“เพคะ เสี่ยวเป่าจะกลับไปกับท่านพ่อ”

ว่าจบก็จับมือของบิดา กระโดดไปข้างหน้าอย่างร่าเริงราวกับกระต่ายน้อยที่มีรอยยิ้มสดใสไร้กังวล

เมื่อกลับมาถึงตำหนักฉินเจิ้ง เสี่ยวเป่าก็เข้าไปข้างในพร้อมบิดา และไม่ลืมที่จะเขียนจดหมายถึงพี่รองของตน

ถวนจื่อและลูกหมาป่ายังตามมา แต่ก็ต้องพบกับอุปสรรคขวางกั้นเมื่อต้องขึ้นบันได เพราะขาสั้น ๆ ของพวกมันไม่สามารถก้าวขึ้นตามมาได้

ลูกหมาป่าที่ปีนขึ้นไปไม่ได้ก็ส่ายหางไปมาอย่างกระวนกระวาย อ้าปากส่งเสียงร้องหาเสี่ยวเป่าที่อยู่ด้านใน

เสี่ยวเป่าหันไปมองทางต้นเสียง ปล่อยมือจากบิดาวิ่งกลับไปอุ้มเจ้าลูกหมาป่าขึ้นมาทีละตัว

คนอื่น ๆ ไม่สามารถเข้ามาช่วยได้ เพราะลูกหมาป่าเหล่านี้ล้วนดุร้าย

แต่…ยังมีคนที่น่ากลัวกว่าพวกมันอีก

หนานกงสือเยวียนยื่นมือออกไปช่วยบุตรสาวอุ้มลูกหมาป่า โดยการหิ้วหลังคอมันขึ้นมาด้วยสีหน้านิ่งสนิท

ลูกหมาป่าตัวน้อยแยกเขี้ยวขู่อย่างดุร้าย

เมื่อหนานกงสือเยวียนจ้องไปที่พวกมัน ลูกหมาป่าก็พากันตกใจกลัวและอยู่ในอาการสงบทันที อุ้งเท้าทั้งสี่หุบลงอย่างงุ่มง่าม หางตกลงอย่างเชื่อฟัง พวกมันถูกอุ้มแล้วพาขึ้นไป

เสี่ยวเป่ารีบเข้ามาใกล้ “ขอบคุณมากเพคะท่านพ่อ”

ในห้องโถงของตำหนักฉินเจิ้งตอนนี้มีชีวิตชีวาอย่างมาก เมื่อเจ้ากรมมหาดไทยและขุนนางที่ดูแลเรื่องการเกษตรเดินเข้ามาพร้อมกัน ก็เกือบจะเหยียบลูกหมาป่าที่กำลังวิ่งเล่นไปมา

หัวใจของเขาแทบหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มด้วยความหวาดกลัว

“ฝะ ฝะ ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

ตัวที่วิ่งผ่านไปเมื่อครู่คืออะไรกัน!

เมื่อมองไปรอบตำหนักฉินเจิ้งอีกครั้ง พวกเขาก็ต้องตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม

เจ้าตัวพวกนั้นมีอยู่หลายก้อนเต็มไปหมด

โดยเฉพาะที่อยู่ตรงเท้าองค์หญิงเก้าก็มี หนึ่ง…สอง…สาม…สี่…ห้าแล้ว!

เจ้ากรมมหาดไทยเกือบคิดว่าตัวเองหลงมาผิดที่ หากไม่ได้เห็นว่ามีคนนั่งอยู่ที่นั่นด้วย

ทุกอย่างดูวุ่นวายเล็กน้อยเมื่อมีเจ้าตัวปุกปุยอยู่มากมาย แต่อย่างน้อยเจ้าตัวเล็กเหล่านี้ก็ไม่ได้เห่าหอนเสียงดัง ไม่เช่นนั้น ฮ่องเต้คงไม่มีทางยอมให้พวกมันอยู่ตรงนี้แน่นอน

ฝูไห่เลิกคิ้ว ที่เป็นเช่นนี้เพราะองค์หญิงน้อยทรงเป็นผู้นำมันมาเลี้ยง หากผู้อื่นลองเลี้ยงบ้างก็คิดดูว่าจะเป็นเช่นไร

“เข้ามา”

สุรเสียงราบเรียบไม่แยแสของหนานกงสือเยวียนดังขึ้น ทำให้ความกลัวของเจ้ากรมมหาดไทยและขุนนางผู้ดูแลเรื่องการเกษตรก่อตัวขึ้นอีกครั้ง

“กระหม่อมพาขุนนางผู้ดูแลเรื่องการเกษตรห้าคนมาเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ พวกเขาเพาะเมล็ดพันธุ์ได้เยี่ยมยอด ดูแลดินได้ดี และยังวางแผนการใช้น้ำได้อย่างชำนาญ”

หนานกงสือเยวียนหันมามอง “พวกเจ้ารู้วิธีการทำปุ๋ยหรือไม่”

เจ้าหน้าที่เกษตรทั้งห้าตอบด้วยความตระหนก “ทูลฝ่าบาท พวกกระหม่อม…กระหม่อมทำได้พ่ะย่ะค่ะ”

ขุนนางผู้ดูแลเรื่องการเกษตรเป็นขุนนางขั้นแปดที่ไม่มีสิทธิ์เข้าเฝ้าได้ในเวลาปกติ วันนี้เมื่อถูกเรียกตัวมาอย่างกะทันหันจึงอยู่ในอาการงกเงิ่นระคนตื่นเต้น

เมื่อพวกเขาได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทในระยะใกล้เพียงนี้ก็ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น ต่างพากันตัวสั่นต่อหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้ผู้มากบารมี แม้กระทั่งจะเอ่ยตอบคำถามก็ยังตอบออกไปโดยไร้สติ

พวกเขาติดตามเจ้ากรมมหาดไทยออกมายังตำหนักฉินเจิ้งอย่างมึนงง ก่อนจะได้สติในชั่วลมพัด

จากนั้นก็พบว่าแข้งขาของพวกเขาอ่อนแรงไปหมดเพราะความกลัว

เจ้ากรมมหาดไทยเห็นเช่นนั้นก็ไม่รู้สึกแปลกใจ เรื่องเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก

ไม่ต้องพูดถึงคนที่ไม่เคยได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้มาก่อนเหล่านี้ แม้แต่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่อย่างเขาก็ยังลนลานต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทเช่นกัน

หากทำให้พระองค์ไม่พอพระทัย ชีวิตของพวกเขาอาจไม่เหลือ

“ครั้งนี้ฝ่าบาทมีพระบัญชาให้เราเดินทางไปรับใช้องค์ชายรองที่เมืองหน้าด่าน การที่ฝ่าบาทให้เราเข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัวก็แสดงให้เห็นแล้วว่า พระองค์ทรงโปรดองค์ชายรองไม่น้อย แม้ว่าที่เมืองหน้าด่านจะเป็นดินแดนทุรกันดาร แต่หากทำงานได้ดีย่อมต้องได้รับความดีความชอบแน่นอน”

ขุนนางผู้ดูแลเรื่องการเกษตรทั้งห้าพยักหน้าอย่างรวดเร็วราวกับเพิ่งรู้สึกตัว

“ใต้เท้าไม่ต้องเป็นกังวล เราจะรับใช้องค์ชายรองอย่างดีแน่นอน”

เจ้ากรมมหาดไทยกำลังคิดถึงพระประสงค์ที่แท้จริงของฮ่องเต้ แม้ว่าองค์ชายรองจะเสด็จไปเมืองหน้าด่านแล้ว แต่ฝ่าบาทก็ไม่ได้ละเลยพระโอรสองค์นี้ ทั้งยังรับสั่งให้มีการคัดเลือกขุนนางผู้ดูแลเรื่องการเกษตรไปรับใช้ที่นั่นเป็นการส่วนพระองค์อีก ทำให้ไม่อาจคาดการณ์ได้เลยว่า ผู้ใดจะเป็นองค์รัชทายาทในอนาคต

ทว่ายามนี้ฝ่าบาทยังทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงอยู่ วันใดที่ฝ่าบาทอายุมากขึ้น องค์ชายพระองค์อื่น ๆ ก็จะโตขึ้นเช่นกัน ดังนั้นทุกพระองค์ยังมีโอกาสแข่งขันได้ไม่น้อยไปกว่าองค์ชายรองเลย

ทันใดนั้น ภาพขององค์หญิงน้อยแห่งตำหนักฉินเจิ้งก็แวบเข้ามาในความคิด ทำให้เขาตัวแข็งทื่อในบัดดล

โชคดีที่องค์หญิงทรงเป็นองค์หญิงน้อย หากเป็นองค์ชาย ดูจากความโปรดปรานของฝ่าบาทแล้วบัลลังก์มังกรอาจตกเป็นของนางในอนาคตก็เป็นได้!

ทว่า…

ฝ่าบาททรงเห็นดีเห็นงามกับเรื่องไร้สาระขององค์หญิงได้อย่างไร นอกจากจะสนพระทัยในเรื่องไม่เป็นเรื่องแล้ว ยังทรงนำสัตว์มากมายมาเลี้ยงอีกด้วย ดูไม่เอาไหนเอาเสียเลย!

คิดเช่นนั้นแล้ว เจ้ากรมมหาดไทยก็คับข้องใจมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เขาไม่มีความกล้าที่จะกราบทูลสิ่งใดต่อฮ่องเต้ ทำได้เพียงกลับไปด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์

เป็นเรื่องแปลกเล็กน้อยที่ภรรยาของเขาจะได้เห็นสีหน้าเช่นนี้

“เกิดอะไรขึ้น ฝ่าบาทไม่พอพระทัยตอนเข้าเฝ้าวันนี้หรือ?”

ชิวหมิงร่าง เจ้ากรมมหาดไทยพูดด้วยความโกรธ “ฟังที่พูดเข้าสิ เหตุใดจึงพูดราวกับว่าต้องการให้ข้าถูกลงโทษนัก ข้าเพียงแต่ไม่เข้าใจเท่านั้นว่าเหตุใดฝ่าบาทถึงได้พะเน้าพะนอองค์หญิงเก้าเพียงนี้….”

เขาอดกลั้นไม่ไหวที่จะบ่นเรื่องนี้กับภรรยา บอกเล่าเกี่ยวกับภาพที่เห็นทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในวันนี้แก่นาง

“พระองค์คือฮ่องเต้เชียวนะ เหตุใดกลับเอาแน่เอานอนไม่ได้เช่นนี้!”