บทที่ 160 ขนแกะ

บทที่ 160 ขนแกะ

ภรรยาของชิวหมิงร่างกลอกตาด้วยความเหนื่อยใจ

“เจ้าบอกเองมิใช่หรือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องภายในราชวงศ์ แล้วเจ้าเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรนัก?”

ชิวหมิงร่างยังโต้แย้งต่อไปว่า “การกระทำของฝ่าบาทอาจนำไปสู่ผลกระทบที่ใหญ่หลวงได้!”

“ถ้าเช่นนั้นข้าขอถามเจ้าหน่อย ฮ่องเต้ทรงละเลยการปกครองหรือไม่? ราชสำนักถูกทอดทิ้งหรือไม่?”

ชิวหมิงร่างยกมือลูบจมูกพลางครุ่นคิด “กะ…ก็ไม่”

ภรรยาจึงให้ข้อคิดแก่เขาว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ข้าคิดว่าเจ้าน่ะตีตนไปก่อนไข้ เหตุใดกับฮ่องเต้องค์ก่อนพวกเจ้าจึงไม่กล้าเอ่ยอะไร มาตอนนี้ ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันทรงจัดการทุกอย่างได้ดี หากฝ่าบาทจะตามใจพระธิดาซึ่งถือเป็นองค์หญิงพระองค์เดียวในวังหลวงแห่งนี้ มันจะเป็นอะไรไป?

อีกอย่าง ข้าเองก็ได้เห็นองค์หญิงน้อยที่งานเลี้ยงแล้ว พระองค์ดูสุภาพและวางตัวดี ถึงองค์หญิงจะถูกเลี้ยงดูแบบตามใจ แต่พระองค์ไม่ใช่คนที่ไม่รู้ความและไม่ได้ใช้อำนาจบาตรใหญ่ กลับกันหากเป็นบุตรของข้า ข้าก็คงจะตามใจเช่นเดียวกัน

ฝ่าบาททรงเป็นฮ่องเต้แล้วมันทำไมหรือ? ทรงไม่ใช่คนแบบพวกเราหรือ เหตุใดจึงไม่สามารถทำตามใจตัวเองได้ การตามใจบุตรสาวก็ยังดีกว่าฮ่องเต้พระองค์ก่อน ที่ละทิ้งราชสำนักและทำให้วังหลังเกิดความวุ่นวาย”

ชิวหมิงร่างชี้หน้าภรรยาด้วยความโกรธเคือง “เจ้า…เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหลเชียว เรื่องของฮ่องเต้ผู้ล่วงลับไปแล้ว มันเป็นสิ่งที่สตรีอย่างเจ้ามีสิทธิ์ออกความเห็นหรือ?”

ในขณะที่ฮูหยินชิวฟังสิ่งที่เขาพูด นางก็นำเท้าของเขาแช่ลงในอ่างล้างเท้า อุณหภูมิของน้ำนั้นร้อนจนทำให้เขามีสีหน้าเหยเก

“ข้าไม่รู้มาก่อนว่าเจ้ายังคงระลึกถึงฮ่องเต้ผู้ล่วงลับมากถึงเพียงนี้? อย่าว่าแต่การที่ข้าจะต่อว่าต่อขานพระองค์เลย หากทรงปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าข้า ข้าก็คงอดไม่ได้ที่จะลงมือทำร้ายเขา! ข้ายังไม่ลืมว่าในตอนนั้น องค์หญิงสามผู้ซึ่งเต็มไปด้วยความอำมหิตและไร้ยางอายนั่นพึงพอใจในตัวบุตรชายของข้า ฮ่องเต้ผู้มักมากในกามารมณ์นั้นเกือบพระราชทานสมรสให้ ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้ หากองค์หญิงสามผู้ใจดำอำมหิตแต่งเข้าตระกูลเรา พวกเจ้าพ่อลูกคงได้รู้เช่นเห็นชาติเป็นแน่!”

ชิวหมิงร่างพึมพำด้วยความรู้สึกผิด “แต่…แต่ว่ามันก็ไม่ทันได้เกิดขึ้นมิใช่หรือ?”

ฮูหยินชิวเย้ยหยัน “หากไม่ใช่เพราะตอนนั้นเกิดการจลาจลขึ้นก่อน เจ้าว่าเรื่องนี้มันจะจบลงอย่างไร!”

เพราะเหตุนี้จึงทำให้ฮูหยินชิวรู้สึกขอบคุณฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเป็นอย่างมาก

“แม้…แม้ว่าฮ่องเต้องค์ก่อนจะไร้ซึ่งความน่าเชื่อถือ ถึงกระนั้นวิธีการขึ้นครองบังลังก์ของฝ่าบาทก็โหดร้ายเกินไป…”

“นั่นไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเจ้า ผู้ที่ฝ่าบาทประหารนั้นหาใช่พี่น้องของเจ้าไม่ หากเจ้าได้ศึกษาประวัติศาสตร์ด้วยตัวของเจ้าเอง มันจะมีสักกี่ราชวงศ์เชียวที่ไม่มีการนองเลือดเมื่อต้องการเปลี่ยนแปลงอำนาจของฮ่องเต้ เจ้ามีการศึกษาทั้งยังเป็นเจ้ากรมมหาดไทย หากเจ้าร่ำเรียนแต่ยังโง่เขลาได้ถึงเพียงนี้ เจ้าก็ยกตำแหน่งของเจ้าให้ผู้อื่นเถิด!”

หลังจากพูดจบ นางก็หมุนตัวเดินออกไป

ชิวหมิงร่างผู้ซึ่งถูกภรรยาทำให้เสียหน้า เห็นว่านางกำลังจะเดินจากไปเขาก็ท้วงว่า

“เจ้าจะไปไหน? เจ้ายังล้างเท้าให้ข้าไม่เสร็จ เจ้า!”

ฮูหยินชิวกลอกตา “ล้างเอง วันนี้ข้าไม่เต็มใจปรนนิบัติเจ้า”

พอฮูหยินชิวพูดจบ นางก็เดินออกไปพร้อมปิดประตูดังโครม

ชิวหมิงร่าง “…”

“เหตุใดอารมณ์ของสตรีสูงวัยผู้นี้จึงรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ข้าเพียงแค่บ่นเท่านั้นเอง…”

ขณะเดียวกัน ประตูก็ถูกแง้มออกเล็กๆ เจ้ากรมมหาดไทยคิดว่าเป็นภรรยาของเขาที่กลับมา ดังนั้นเขาจึงนั่งตัวตรง เพื่อรอให้นางมาปรนนิบัติเช็ดเท้าของเขาให้แห้ง

“ท่านพ่อ”

น้ำเสียงที่เรียกเขาว่าท่านพ่อนั้นทำให้เขาได้สติในทันใด

“ท่านพ่อทำให้ท่านแม่ขุ่นเคืองอีกแล้วหรือ?”

ใบหน้าของชิวหมิงร่างเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “ไปให้พ้น!”

“ข้าไปแล้ว ข้าไปแล้ว เช่นนั้นท่านก็ค่อย ๆ ล้างเท้าด้วยตัวท่านเองเถิด”

หลังจากพูดจบเขาก็ผละออกไป

ชิวหมิงร่างโกรธจนหน้าดำหน้าแดง “มีแต่คนทำให้ข้าปวดหัว!”

เจอเรื่องน่าปวดหัวในวังหลวงไม่พอ เมื่อกลับมาถึงบ้านก็ต้องมาเจอเรื่องให้ขุ่นเคืองใจอีก อารมณ์โทสะเหล่านี้มีแต่จะทำให้ชีวิตของเขาสั้นลง!

ณ พระราชวัง

เสี่ยวเป่าพยายามเขียนตัวอักษรที่นางเขียนได้ด้วยตัวเอง ส่วนที่เหลือนางให้บิดาช่วยเขียน

เมื่อเขียนเสร็จ เด็กน้อยก็หยิบกระดาษขึ้นมาและชื่นชมอยู่พักใหญ่ พร้อมกับพยักหน้าราวกับว่ากำลังชื่นชมตัวเอง

“ไม่เลว ไม่เลว”

หนานกงสือเยวียน “….”

เขาสงสัยมากว่า เด็กน้อยผู้นี้ไปเอาความมั่นใจมาจากผู้ใดกัน ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เขาเป็นแน่

“ท่านพ่อ อย่าลืมส่งจดหมายของเสี่ยวเป่าไปให้ท่านพี่รองด้วยนะเพคะ เดี๋ยวเสี่ยวเป่าจะไปตัดขนแกะก่อน”

หลังจากพูดจบ เท้าน้อย ๆ ของนางก็วิ่งออกไป

ลูกหมาป่าน้อยสี่ตัวรีบวิ่งตามนางไปอย่างรวดเร็ว

ฝูไห่และข้ารับใช้คนอื่น ๆ ต่างก็เฝ้าดูองค์หญิงน้อยจากไปด้วยรอยยิ้ม

ฝูไห่ “รู้สึกเหมือนองค์หญิงทรงลืมอะไรบางสิ่ง”

หนานกงสือเยวียนลดสายตาของเขาลงเล็กน้อย พลันดวงตาของเขาก็ไปสะดุดกับเจ้าก้อนสีดำขาวที่นอนหลับอยู่ใต้โต๊ะ

เมื่อฝูไห่มองตามสายพระเนตรของฝ่าบาทไป ก็ต้องเอามือตบหน้าผากของตน

“ว่าแล้ว องค์หญิงทรงลืมพาถวนจื่อไปด้วย”

เสี่ยวเป่ารีบวิ่งออกไปเพื่อจะไปตัดขนแกะ นางจึงลืมเจ้าก้อนแป้งขาวดำที่นางเพิ่งได้รับมาในวันนี้ไป

ครั้นวิ่งไปถึงห้องปีกข้างแล้วก็ยังนึกไม่ออกด้วยซ้ำ ทั้งยังพาขันทีมุ่งไปหาแม่แกะอย่างตื่นเต้น

ในเวลานั้น แม่แกะได้ล้มตัวนอนอยู่บนพื้นหญ้า ในขณะที่ลูกแกะน้อยก็เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น มันค่อย ๆ ก้าวทีละก้าวอย่างมีชั้นเชิงเพื่อเข้าใกล้กวางที่มีตัวสีขาวราวหิมะ

มันเข้าใจผิดคิดว่าเสี่ยวไป๋เป็นพวกเดียวกับมัน…

เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมีตัวสีขาวเหมือนกัน มีสี่ขาเหมือนกัน และมีเขาสองเขาอยู่บนหัวเหมือนแม่มันไม่มีผิดเพี้ยน

ในสายตาของแกะน้อย: ไม่ผิดแน่ เหมือนกันทุกประการเช่นนี้ นับว่าเป็นพี่น้อง!

เสี่ยวไป๋พยายามที่จะไล่ลูกแกะน้อยให้พ้นตัว แต่หลังจากที่เจ้าแกะน้อยวนเวียนรอบตัวมันอยู่หลายหน มันก็ต้องยอมแพ้ในที่สุด

จากนั้นเมื่อแกะน้อยวิ่งไปมา มันก็ตบเข้าที่หัวของลูกแกะน้อย

เสี่ยวไป๋ส่งเสียงพึมพำราวกับกำลังบ่นเจ้าแกะน้อยตัวนี้ด้วยความรำคาญใจ

แน่นอนว่ามันเป็นคำสบถที่มีแต่มันเท่านั้นที่เข้าใจ

แล้วเสี่ยวเป่าก็มาถึงพร้อมกับขันที เตรียมจับตัวแม่แกะไปตัดขน

เสี่ยวไป๋ “(☆_☆)”

ท่ามกลางเสียงแม่แกะกรีดร้อง เหล่าขันทีพยายามต่อสู้กับแม่แกะด้วยความกล้าหาญ และใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วยามกับอีกสองเค่อในการตัดขนแม่แกะออกทั้งหมด

ได้ขนแกะมากองโต!

เสี่ยวเป่ามองไปที่ขนแกะกองนั้นแล้วหัวเราะออกมา

ขณะที่เสี่ยวไป๋ยิ้มเยาะให้กับแม่แกะที่ร่างกายเปลือยเปล่าไร้ซึ่งขนหนาฟู มันเดินไปรอบ ๆ แกะทั้งสองตัวอย่างภาคภูมิพร้อมกับเชิดหน้าขึ้น

หึหึ ริอ่านจะมาสู้กับข้า? แน่นอนว่าที่หนึ่งในหัวใจของเจ้านาย คือกวางน้อยอย่างข้าอยู่แล้ว!

ในส่วนของลูกแกะนั้น ขนของมันยังสั้นอยู่จึงตัดไม่ได้ ถึงอย่างนั้นขนแกะกองนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะนำไปใช้งาน

“องค์หญิงเพคะ ขนแกะนี้กลิ่นแรงยิ่งนัก จะนำขนแกะเหล่านี้ไปทำอะไรหรือเพคะ”

ชุนสี่ปิดจมูกตัวเองเอาไว้ กลิ่นของขนแกะที่เพิ่งตัดเมื่อครู่นั้นรุนแรงและสกปรกเกินไป นางไม่เข้าใจว่าองค์หญิงต้องการทำอะไร

เสี่ยวเป่า “ข้าจะนำไปทำเครื่องนุ่งห่ม!”

ชุนสี่ “…”

ทรงล้อกันเล่นใช่หรือไม่! กลิ่นแรงเช่นนี้ผู้ใดจะกล้าใช้?

ขนสัตว์ในสมัยนี้ไม่นิยมนำมาทำเครื่องนุ่งห่มแล้วเพราะมีกลิ่นแรง ถึงจะกำจัดกลิ่นอย่างไรก็ไม่สามารถกำจัดได้หมด ขนแกะชนิดนี้ ส่วนใหญ่นิยมนำมาทำเสื่อขนสัตว์ หรือผ้าห่มขนสัตว์ หากทำขึ้นอย่างประณีตและสวยงาม ก็ยิ่งขายได้ราคาดี หากทำแบบลวก ๆ สุกเอาเผากินก็ขายยาก

ยิ่งไปกว่านั้น ในจงหยวน*[1]มีคนซื้อเสื่อและผ้าห่มประเภทนี้ไม่มากนัก ดังนั้นการขายขนแกะเหล่านี้จึงตกต่ำลงมาโดยตลอด

แต่เสี่ยวเป่ารู้วิธีกำจัดกลิ่นสาบนี้

เพียงใช้สมุนไพรไม่กี่ชนิดและหินแร่เพียงชนิดเดียวในการกำจัดกลิ่น แน่นอนว่านางต้องลอง นี่คือสิ่งที่นางคิดออกด้วยตัวเอง หลังจากเรียนรู้สมุนไพรบางอย่างจากอาจารย์ของนาง

และเสี่ยวเป่าก็ทำตามสิ่งที่ตัวเองพูด นางวิ่งไปที่สำนักหมอหลวงทันทีเพื่อหาสมุนไพร

[1] จงหยวน (中原) หมายถึง ที่ราบภาคกลาง เป็นพื้นที่ภาคกลางของจีน อยู่ระหว่างแม่น้ำฮวงโหและแม่น้ำแยงซีเกียง