บทที่ 136 ฝ่าบาทจอมบังคับ

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

นิ้วของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชะงักไป จากนั้นริมฝีปากบางของเขาก็เผยอขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับมองดูเฮ่อเหลียนเวยเวยที่ประทับริมฝีปากบางของตนลงบนท่อนแขนของเขาเพื่อดูดพิษออกให้ ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็กลับมาแจ่มชัด เขารีบผลักนางออกไปด้านข้าง และออกแรงรั้งข้อมือของนางไว้ น้ำเสียงของเขาราบเรียบเย็นชา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าพิษนี้เป็นพิษชนิดใด แล้วยังจะดูดมันเข้าไปอีก”

“ก็พิษสลายกำลังอย่างไรล่ะ เพ้ย!” เฮ่อเหลียนเวยเวยพ่นเลือดสีดำที่นางเพิ่งดูดไปออกมาเต็มคำ จากนั้นนางจึงเงยหน้าขึ้นมาสบตาเขาอย่างไม่ทุกข์ร้อน “ก็แค่เสียพลังปราณไปไม่เท่าไหร่ ข้าแค่เริ่มต้นฝึกฝนใหม่เท่านั้นก็พอแล้ว นี่ ข้าขอพูดอะไรกับท่านหน่อย ท่านจะช่วยทำตัวเชื่อฟังให้สมกับเป็นคนตาบอดมากกว่านี้ไม่ได้หรือ”

ตาของเขามองอะไรไม่เห็นแล้ว แต่กลับยังสามารถทำตัวร้ายกาจได้ถึงเพียงนี้ เขาต้องไม่ใช่คนแน่ๆ

เฮ่อเหลียนเวยเวยถอนหายใจยาว แล้วเตรียมพร้อมที่จะดูดเลือดพิษให้เขาต่อ!

แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับใช้มือข้างซ้ายกดศีรษะของนางไว้แทน “ข้าว่าเจ้าคงไม่ต้องการมีชีวิตอีกแล้ว”

“ได้ๆๆ รอจนกว่าเรี่ยวแรงของท่านจะกลับมา แล้วหลังจากนั้นค่อยสั่งประหารชีวิตข้าเก้าชั่วโคตรไปเลยแล้วกัน”

ระหว่างที่เฮ่อเหลียนเวยเวยก้มตัวลง นางก็ยังพูดออกมาอย่างคลุมเครืออีกว่า “คงดียิ่งนักหากคนในตระกูลเฮ่อเหลียนถูกประหารไปทั้งตระกูล” หากเป็นเช่นนั้นก็คงประหยัดแรงให้นางมากทีเดียว

ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยคล้ายกับมีแสงวาบขึ้นเล็กน้อยในตอนที่มองศีรษะเล็กๆ แสนโง่เขลาของคนตรงหน้า ลึกเข้าไปในดวงตาของเขาดูเหมือนจะมีความอ่อนโยนอันเบาบางปรากฏขึ้น ในยามปกตินั้นผู้หญิงคนนี้มักจะทำตัวร้ายกาจและโหดเหี้ยมอยู่เสมอ แต่พอถึงเวลาที่นางยอมทำตัวว่าง่ายขึ้นมา นางก็ดูน่ามองขึ้นมากทีเดียว

“เอาล่ะ น่าจะใช้ได้แล้ว” เฮ่อเหลียนเวยเวยดูดพิษไปหลายครั้งติดต่อกัน และบ้วนเลือดสีดำลงบนพื้น จากนั้นจึงหันไปมองดูบาดแผล “แต่วิธีนี้ก็ยังรักษาได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น พวกเราจำเป็นต้องหาที่สักแห่งเพื่อเอาพิษที่เหลือทั้งหมดออกจากร่างของท่านให้เร็วที่สุด”

หลังจากพูดจบ นางก็บ้วนพิษที่อยู่ในปากออกมาอีกสองครั้ง นางสัมผัสได้ถึงอาการชาบนริมฝีปากของตน อีกทั้งยังรู้สึกถึงพลังปราณในร่างที่ไหลออกไปเล็กน้อย แต่นั่นก็นับว่าเป็นผลลัพธ์ที่ดีมากทีเดียว อย่างที่นางบอก แค่นางฝึกฝนพลังปราณใหม่ทีหลังก็พอ

ตรงกันข้าม หยวนหมิงกลับเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา “แม่นาง เจ้าช่างมีน้ำใจกับองค์ชายสามผู้นี้เสียจริง คงไม่ใช่ว่าเจ้าตกหลุมรักเขาเข้าแล้วหรอกนะ”

เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะ ‘เหอะๆ’ สองครั้ง แล้วตอบเขาผ่านทางกระแสจิตว่า “เจ้ามักจะพูดอยู่บ่อยๆ มิใช่หรือว่าข้าคิดอะไรกับเจ้า แล้วตอนนี้ล่ะ ข้าไม่ได้คิดอะไรกับเจ้าแล้วหรือ”

“อาจเป็นเพราะว่าเจ้ารู้สึกว่าข้าคนนี้ไม่เคยมีเจ้าอยู่ในสายตา เจ้าก็เลยตัดสินใจที่จะแสดงให้ข้าเห็นว่าเจ้ายังมีตัวเลือกที่สองอยู่ ซึ่งตัวเลือกที่ว่าก็คือองค์ชายสามผู้นี้นี่เอง”

ระดับความหลงตัวเองของหยวนหมิงช่างเหมาะสมกับอายุของเขาเสียนี่กระไร

คิ้วของเฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกขึ้น “ตื่นได้แล้ว กระทั่งคนสายตาไม่ดีก็ยังรู้เลยว่าจริงๆ แล้วเจ้าต่างหากที่เป็นตัวเลือกที่สอง”

ต่อให้องค์ชายสามจะเป็นผู้ร้ายร้าย แต่เขาก็เป็นผู้ร้ายที่เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบอย่างที่ไม่มีใครสามารถเทียบได้

สายตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยหยุดลงที่ใบหน้าด้านข้างของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย นางนึกสงสัยขึ้นมาว่าหน้าตาที่แท้จริงของผู้ร้ายที่ว่าจะเป็นอย่างไร

ว่ากันว่าเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่นั้นทำให้ใบหน้าขององค์ชายสามเสียโฉม

ดังนั้นองค์ชายสามจึงต้องสวมหน้ากากสีเงินเอาไว้ตลอดเวลา นอกจากคนที่ถูกเลือกเพียงไม่กี่คนแล้ว ก็ไม่มีใครเคยเห็นรูปโฉมที่แท้จริงของเขาเลย

ในอดีต แม้แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยเองก็ยังหลงเชื่อข่าวลือนั้น

แต่ตอนนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับรู้สึกว่าด้วยนิสัยของผู้ร้ายอย่างเขา ใบหน้าของเขาจะต้องไม่ได้เสียโฉมอย่างแน่นอน

เป็นไปได้มากว่าข่าวลือพวกนั้นจะเป็นสิ่งที่ผู้ชายคนนี้จงใจปล่อยออกมาเอง

ว่ากันว่าความอยากรู้อยากเห็นฆ่าแมวตาย[1] ยิ่งเฮ่อเหลียนเวยเวยมองไปยังชายหนุ่มที่อยู่ห่างจากนางเพียงแค่เอื้อมมือ หัวใจของนางก็ยิ่งคันยุบยิบ

เพราะตำแหน่งที่พวกนางอยู่นั้นใกล้ชิดกันเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นปลายจมูกของนางจึงเต็มไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ ของไม้จันทน์ที่ลอยอยู่รอบตัวของชายหนุ่ม ราวกับเขาสามารถแอบซ่อนใครสักคนไว้ในโลกใบเล็กๆ ได้ ต่อให้โลกภายนอกจะตกอยู่ในความสับสนอลหม่าน หรือมีอันตรายเพียงใด แต่บนร่างกายของเขาก็ไม่มีร่องรอยเหล่านั้นปรากฏอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว

ตรงกันข้าม พวกมันกลับทำให้เขามีท่าทีเฉยเมยเย็นชา ซึ่งท่าทางเหล่านั้นก็คงมาจากการที่เขามีโลกทั้งใบอยู่ในกำมือ

ประกายในดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยเริ่มเคลื่อนไหว แม้ว่านางจะรู้ว่าสถานการณ์ในเวลานี้ไม่สู้ดีเท่าใดนัก แต่นางก็ยังอยากใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้เพื่อเข้าใกล้องค์ชายสาม และแอบดูว่าหน้าตาเขาเป็นอย่างไร!

เมื่อคิดได้ดังนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงยกมือของตนขึ้นอย่างระมัดระวัง และทำท่าจะเลิกหน้ากากเงินนั้นขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่แล้วมือของชายหนุ่มก็คว้าข้อมือของนางเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ทำตัวไม่เชื่อฟังอีกแล้วหรือ”

“พวกเราติดแหง็กกันอยู่ที่นี่ ข้าก็เพียงแค่หาอะไรทำเท่านั้นเอง” เฮ่อเหลียนเวยเวยแสร้งทำเป็นเสียดายระหว่างเอ่ยขึ้นว่า “ข้าแค่คิดว่าข้าอายุยังน้อย แต่กลับต้องมาถูกล้อมฆ่าเอาเสียแล้ว ดังนั้นก่อนตาย ข้าก็เลยอยากรู้ว่าหน้าตาของคนที่อยู่ข้างกายข้าเป็นอย่างไรก็เท่านั้น”

เมื่อได้ยินน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจของนาง ริมฝีปากบางของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็หยักขึ้นเป็นรอยยิ้ม ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ แต่ลมหายใจของเขาก็ค่อยๆ รดลงบนหูข้างซ้ายของนางทีละน้อย คำตอบของเขาเต็มไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง “เจ้าต้องไม่อยากเห็นหน้าตาของข้าอย่างแน่นอน”

“คนอย่างข้าไม่สนใจเรื่องหน้าตาดีหรือไม่ดีหรอก” หลังจากวิเคราะห์ดูอีกที เรื่องเป็นเช่นนี้เพราะความสงสัยใคร่รู้ของนางเป็นเหตุ เฮ่อเหลียนเวยเวยยักไหล่ แล้วลงมือต่ออย่างกระตือรือร้น

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะในลำคอ เสียงหัวเราะนั้นทั้งน่าหลงใหลและเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง แต่กระนั้นก็แฝงความนัยบางอย่างที่เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่อาจเข้าใจได้อยู่

จากนั้น เขาจึงกล่าวว่า “คนที่ถอดหน้ากากของข้า จะต้องเป็นคนที่อยู่ข้างกายข้าไปตลอดชีวิต เจ้าแน่ใจหรือว่าจะถอดมันออก”

เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยได้ยินคำพูดนั้น นางก็รีบชักมือกลับทันที

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยย่อมสามารถรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของนางได้ ดวงตาที่เคยว่างเปล่าของเขาพลันจมดิ่งลงทันที มุมปากของเขาเองก็มีไอเย็นยะเยือกปรากฏขึ้น

ทำเหมือนว่านางยังหนีเขาไม่พออีก

เฮ้อ เขาเพิ่งจะคิดว่านางยอมทำตัวดีๆ แล้วเสียอีก

ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเป็นเพียงแค่ความเข้าใจผิด เหยื่อจำพวกสุนัขจิ้งจอกย่อมเจ้าเล่ห์ร้ายกาจอยู่วันยังค่ำ ดังนั้น เขาจึงยังไม่ควรที่จะลดความระมัดระวังลงเวลาที่อยู่ต่อหน้านาง

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ยกมือที่ชาหนึบของตนขึ้นมาวางพาดบนหน้าผาก

หลังจากที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นการกระทำของเขา มือที่เคยชักกลับไปก็ยื่นออกมาอีกครั้ง แต่มันไม่ได้ตรงเข้าไปดึงหน้ากากเงินของเขาออก นางกลับใช้หลังมือของตนแนบลงบนหน้าผากของเขาแทน

มือของนางเย็นมากทีเดียว เมื่อวางลงบนหน้าผากร้อนจี๋ของเขาแล้ว ก็ทำให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยรู้สึกไม่ค่อยสบาย จึงขมวดคิ้วของตนเล็กน้อย

แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับชะงักไปในตอนที่นางถูกอุณหภูมินั้นลวกมือ ไข้ยังไม่ลด ยิ่งกว่านั้นอุณหภูมิในร่างกายก็ยังสูงขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย ต่อให้องค์ชายสามจะไม่ใช่มนุษย์ เขาก็ยังจำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้!

“ข้า…” เฮ่อเหลียนเวยเวยเพิ่งจะอ้าปากได้ แต่แล้วนางก็ได้ยินเสียงฝีเท้ามากมายดังขึ้นไม่ไกล คนพวกนั้นหาพวกนางเจอแล้ว!

เฮ่อเหลียนเวยเวยผ่อนลมหายใจลงเล็กน้อย ก่อนที่ลูกธนูจะมาถึง นิ้วของนางก็กางออกอย่างรวดเร็ว แล้วร่มคันหนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า ขาเรียวยาวของนางกวาดพวกมันทิ้ง พร้อมกันนั้นกลุ่มคนชุดดำจำนวนสามถึงสี่คนก็มาถึง

“ไป!” เฮ่อเหลียนเวยเวยลากตัวไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขึ้นพร้อมกัน

แต่แล้วนางก็เห็นว่าร่างเพรียวสูงสง่าของเขากลับยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นอย่างเยือกเย็น พร้อมกับใช้นิ้วปัดฝุ่นที่ไม่มีอยู่จริงออกจากตัว น้ำเสียงของเขายังคงไร้อารมณ์เช่นเคย “ไม่จำเป็นแล้ว”

“หา” เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว

ตาสองข้างของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับมาเป็นปกติ เขาดึงตัวนางกลับมา แต่ในน้ำเสียงของเขากลับมีความชั่วร้ายที่ไม่เคยมีมาก่อนแฝงอยู่ “ตอนนี้เรามีคนมากกว่าพวกมัน”

เสียงของเขาเพิ่งจะเงียบลงได้ไม่ทันไร

เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เห็นว่าไม่ไกลนัก ม้าศึกจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังวิ่งเข้ามาแต่ไกล ทุกคนแต่งกายอยู่ในชุดเครื่องแบบทหารม้าสีดำ บนใบหน้าของพวกเขามีหมวกเหล็กสีดำปิดบังเอาไว้ มีดาบโค้งอยู่ในมือ พวกเขาดูเหมือนกับสายลมสีดำที่พัดเข้ามา และพร้อมจะกลืนกินทุกสิ่ง ไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ใด สิ่งที่เหลืออยู่ก็มีแต่เพียงทุ่งหญ้าอาบเลือดเท่านั้น

แต่ชายที่ยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าที่คลุ้งไปด้วยเลือดกลับไม่แม้แต่จะกะพริบตา มิหนำซ้ำยังไม่มีฝุ่นเกาะเลยแม้แต่นิดเดียว ความสะอาดบริสุทธิ์ผุดผ่องและเย็นเยือกดุจน้ำแข็งนั้นดูประหนึ่งเทพผู้โดดเดี่ยวก็ไม่ปาน

แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ ว่าเขาไม่ใช่เทพผู้ใจดี หรือยอมยกโทษให้กับใครทั้งสิ้น แต่เป็นปีศาจต่างหาก!

————————————-

[1] ความอยากรู้อยากเห็นฆ่าแมวตาย หมายถึง อยากรู้อยากเห็นมากเกินไปจนก่อให้เกิดปัญหา