บทที่ 137 ทั้งสองเข้ากันได้ดี

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

“องครักษ์เงา!”

“พวกมันมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร?!”

“เจ้าพวกนั้นบอกว่าองค์ชายสามมาคนเดียว ไม่ได้พาใครมาด้วยมิใช่หรือ?!”

เหล่าคนชุดดำมองหน้ากันด้วยความตกใจ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้เตรียมการรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันเช่นนี้เอาไว้ พวกเขาทั้งหมดมองไปยังทหารม้าที่ขนาบเข้ามาข้างพวกเขาจากทั้งสองฝั่ง กระบี่ที่เคยถือไว้ในมือพลันร่วงหล่นลงกับพื้น เพราะสิ่งที่จำเป็นสำหรับพวกเขาในเวลานี้คือหาทางหลบหนีต่างหาก!

แต่มีหรือที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะยอมปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นได้

เขายืนอยู่ตรงต้นลม พลางมองภาพนั้นจากจุดที่อยู่สูงขึ้นไป พร้อมกับใช้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวเช็ดเลือดที่เปื้อนอยู่บนนิ้วของเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างเยือกเย็นไม่รีบร้อน ริมฝีปากบางของเขายกขึ้นเล็กน้อย

“ฆ่า!”

แค่คำคำเดียว เฮ่อเหลียนเวยเวยก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกกดดันที่ระเบิดออกมาอย่างคาดไม่ถึง

ทันทีที่ทหารม้าจำนวนมากควบม้าผ่านไป เสียงการต่อสู้ระหว่างม้า ผู้คน และพลังปราณก็ระเบิดขึ้น

นี่คือวังปีศาจในตำนาน พวกเขาสามารถลงมือสังหารอีกาสามพันตัวได้โดยไม่เหลือแม้แต่ร่องรอย

เฮ่อเหลียนเวยเวยเกือบจะสงสัยว่าองค์ชายสามจงใจทำเช่นนี้หรือเปล่า เขาจงใจรอจนกระทั่งคนชุดดำเปิดเผยตัวออกมาทั้งหมดก่อน จากนั้นจึงสั่งให้ทหารม้าเคลื่อนพลมาปิดล้อม และล้างบางพวกเขาในคราเดียว!

ระหว่างที่นางกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็รู้สึกว่าไหล่ของนางเริ่มหนักขึ้น จู่ๆ ชายหนุ่มที่เดิมเคยยืนอยู่กลับเอนกายลงมาซบไหล่ของนาง

มือสองข้างของเฮ่อเหลียนเวยเวยเคลื่อนไปช่วยพยุงให้เขายืนขึ้น นางไม่สนใจเงาทมิฬที่กำลังนำทหารม้าเข้ามา อีกทั้งยังไม่สนใจฝีมือการต่อสู้ด้วยมือเปล่าของพวกเขาเลยด้วยซ้ำ เพราะความคิดเดียวที่นางมีคือการพาองค์ชายสามไปจากที่นี่

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรวบรวมเรี่ยวแรงเป็นครั้งสุดท้าย แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอันเย็นชาอย่างยิ่งว่า “บอกให้พวกเขาเหลือนักโทษเอาไว้ให้ข้าหนึ่งคน แล้วฆ่าที่เหลืออย่าได้ปรานี!”

“ได้” เมื่อได้ยินน้ำเสียงติดจะเย็นชาของชายหนุ่ม คิ้วยาวได้รูปของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็เลิกขึ้น นางถอนหายใจออกมาอีกครั้งกับเรี่ยวแรงขององค์ชายบางคนที่ช่างผิดจากคนธรรมดาเสียจริง

ในตอนนั้นเอง กิเลนอัคคีก็ขยับเข้ามาหาพวกนาง แต่ด้วยเหตุที่ว่าความอ่อนแอของผู้เป็นนายจะสะท้อนกลับไปยังร่างกายของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เป็นสิบเท่านั้น อาการของกิเลนอัคคีจึงไม่ได้ดูดีไปกว่ากันนัก

แต่เรื่องนี้ก็ไม่ส่งผลต่อความสามารถในการฉีกกระชากบรรดาคนชุดดำที่พยายามจะเข้าใกล้พวกเฮ่อเหลียนเวยเวยแต่อย่างใด คนเหล่านั้นล้วนแต่ถูกกรงเล็บของมันบดขยี้จนถึงแก่ความตาย

แต่มันก็ไม่ได้ลงมือต่อนานนัก ในใจของมัน สิ่งสำคัญที่สุดคือความปลอดภัยของผู้เป็นนาย!

“นายท่านเป็นอย่างไรบ้างขอรับ”

ทันใดนั้น สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตัวโตก็อ้าปากขึ้นแล้วคำรามออกมา

เฮ่อเหลียนเวยเวยสัมผัสได้เพียงว่าถนนอันขรุขระสั่นสะเทือนยิ่งกว่าเดิม นางตวัดสายตาไปทางมัน “ย่อตัวแล้วก้มหัวลง”

“เอ๋” กิเลนอัคคีไม่เคยยอมทำตามคำสั่งของคนอื่นนอกจากผู้เป็นนาย ดังนั้น มันจึงมองนางด้วยความตกใจเล็กน้อย

เฮ่อเหลียนเวยเวยดันศีรษะใหญ่โตของมันลง แล้วจึงลากตัวไป๋หลี่เจียเจวี๋ยขึ้นไปบนนั้น จากนั้นนางจึงหมุนตัวกลับแล้วขึ้นขี่มันอย่างรวดเร็ว นางพูดขึ้นว่า “องค์ชายสามจำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยด่วน ก่อนอื่นเราต้องไปหาที่ที่เงียบกว่านี้ ถ้ามีน้ำอุ่นกับเตียงด้วยก็จะดีมาก”

กิเลนอัคคีมองเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสายตาลึกล้ำ ก่อนหน้านี้มันเคยพบผู้หญิงมาก็ไม่ใช่น้อย จริงๆ ต้องบอกว่ามันเคยเจอคนมาแล้วทุกประเภท แต่มันก็ไม่เคยเห็นคนที่ใจเย็นเหมือนเฮ่อเหลียนเวยเวยมาก่อน

กิเลนอัคคีไม่ได้พูดอะไรอีก มันแสดงพลังที่แท้จริงของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ออกมา ขาสี่ข้างของมันยืดออก ในเวลาเดียวกัน ปีกขนาดใหญ่ก็พลันกางออกมาจากข้างตัว ปีกสูงใหญ่และแข็งแรงราวกับม้าศึกของยมทูตในการ์ตูน

เมื่อกิเลนอัคคีบินขึ้นไป สายลมก็กรรโชกอย่างรุนแรง เฮ่อเหลียนเวยเวยทำได้เพียงแค่จับขนสีแดงของมันเอาไว้ ในหัวนางคิดได้เพียงอย่างเดียวว่า หลังจากนี้ถ้านางมีโอกาส นางจะต้องไปบอกเจ้าสัตว์อสูรบินได้ที่เคยพาตัวนางไปก่อนหน้านี้ให้จงได้ว่าขนอันสวยงามของคนที่มันหลงใหลได้ปลื้มนั้นไม่ได้นุ่มเลยแม้แต่นิดเดียว…

ยิ่งกว่านั้น เวลาที่มันบิน ก็ยังทำให้เกิดลมกรรโชกรุนแรงจนเกินไป คนที่นั่งอยู่บนหลังแทบจะลืมตาไม่ขึ้นเพราะกระแสลมที่มาจากปีกของมัน

เพราะกิเลนอัคคี พวกเฮ่อเหลียนเวยเวยจึงหาสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการรักษาได้อย่างรวดเร็ว

เฮ่อเหลียนเวยเวยยังไม่ลืมคำพูดที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยบอกกับนางเอาไว้ นางหันหน้าไปทางกิเลนอัคคี แล้วเอ่ยว่า “เจ้าไปบอกพวกองครักษ์เงาที ว่าให้เหลือนักโทษสำหรับสอบปากคำเอาไว้สักคน ส่วนคนที่เหลืออย่าให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว”

นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ผู้หญิงคนนี้ออกคำสั่งกับมัน กิเลนอัคคีขยับกรงเล็บของตนอย่างเยือกเย็น น้ำเสียงของมันไร้ซึ่งอารมณ์ “นายน้อยหานคงรับมือกับเรื่องนี้ได้ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการรักษานายท่าน”

นายน้อยหานหรือ เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว เจ้าอันธพาลตัวน้อยนั่นน่ะหรือ นางนึกภาพเด็กหนุ่มรูปงามควงกระบี่หรือเล่นกับปืนไรเฟิลไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ทันใดนั้นกิเลนอัคคีก็เอ่ยขึ้นมาว่า เด็กหนุ่มคนนั้นไม่ได้มีฝีมือธรรมดาเหมือนอย่างที่เขาแสดงให้เห็น

เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิด แล้วกลับมาจดจ่ออยู่กับบาดแผลของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอีกครั้ง ผิวบริเวณนั้นกลายเป็นสีดำ รอบๆ ก็เริ่มแข็งแล้ว

ทั้งที่นางเพิ่งจะดูดเลือดพิษไปได้ไม่นาน แต่พิษก็เริ่มกลับมาแพร่กระจายอีกแล้ว!

เดิมทีนั้นพิษสลายกำลังก็เป็นพิษที่ถอนยากอยู่แล้ว ในเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้ พวกนางคงไม่อาจหายาแก้พิษได้ทัน

ต่อให้องค์ชายสามสั่งให้เหลือพยานเอาไว้คนหนึ่ง แต่พยานคนนั้นก็น่าจะไม่มียาแก้พิษอยู่ในมือ

เฮ่อเหลียนเวยเวยครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย และตัดสินใจที่จะลงมือด้วยตัวเอง!

“องค์ชายสามบาดเจ็บจากพิษสลายกำลัง ไม่มีทางที่ยาทั่วๆ ไปจะสามารถรักษาได้ เจ้าไปเตรียมน้ำอุ่นมาสักถัง เอาเหล้าใส่เหยือกดินเผา ผ้ายาวสีขาวหลายๆ ผืน แล้วก็เข็มเย็บผ้าสักชุดหนึ่งด้วย ข้าต้องการใช้มันเดี๋ยวนี้” ความคิดของเฮ่อเหลียนเวยเวยนั้นชัดเจน นางหันไปมองหน้ากิเลนอัคคี และออกคำสั่งกับมัน ทั้งยังไม่ลืมที่จะหยิบเอายาสีแดงเม็ดเล็กออกมาจากอก แล้วป้อนมันเข้าไปในปากของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยด้วย

ครั้งนี้กิเลนอัคคีไม่ได้ใส่ใจกับการออกคำสั่งของนาง มันรีบแปลงกายเป็นมนุษย์ พร้อมกับลงมือเตรียมทุกอย่างที่เฮ่อเหลียนเวยเวยต้องการใช้ในทันที

เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยได้รับของพวกนั้นมา นางก็พับแขนเสื้อยาวของตนขึ้นอย่างชำนาญ เผยให้เห็นข้อมือขาวราวกับหิมะของตน นางยื่นมือออกไปหมายจะฉีกเสื้อผ้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยออกจากกัน

แต่นึกไม่ถึงเลยว่าความระมัดระวังตัวขององค์ชายสามจะมีมากกว่าที่นางคิดเอาไว้

ทันทีที่นิ้วของนางเพิ่งจะแตะหน้าท้องของเขา จู่ๆ เขาก็ลืมตาขึ้นมา ในดวงตานั้นเอ่อล้นไปด้วยบรรยากาศที่ผิดปกติ กระแสพลังชั่วร้ายอันหนาแน่นนั้นราวกับกำลังบอกว่าถ้านางเข้าไปใกล้กว่านี้ เขาจะลงมือฉีกนางให้เป็นชิ้นๆ ด้วยมือของเขาเอง

จนกระทั่งเขาเห็นว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นนาง ดวงตาที่ลึกราวกับมหาสมุทรนั้นจึงค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ น้ำเสียงแหบแห้งของเขาทุ้มต่ำ “เจ้าจะทำอะไร”

“ข้าจะทำการผ่าตัดเล็กให้ท่าน” เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดกับความระแวดระวังของเขาแม้แต่น้อย นางเองก็เป็นเช่นนั้น นางก็ไม่เคยยอมให้ใครเข้าใกล้ตัวเองเช่นกัน โดยเฉพาะเวลาที่นางได้รับบาดเจ็บ นางจะมีพฤติกรรมดุร้ายยิ่งกว่าปกติเสียอีก นั่นเป็นเพราะนางจำเป็นต้องป้องกันตัวเองเอาไว้

นับประสาอะไรกับคนอย่างองค์ชายสามที่เคยถูกตามล่ามาหลายต่อหลายครั้ง และยังเคยถูกสาวใช้ที่ตัวเองสนิททรยศมาแล้ว จึงย่อมไม่แปลกใจที่เขาจะระมัดระวังตัวยิ่งกว่านางเสียอีก

ดังนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงยกมือทั้งสองข้างของตนขึ้นอย่างเปิดเผย ก่อนจะยอมให้เขาเห็นมีดสีเงิน และเข็มกับด้ายที่อยู่ในมืออย่างชัดเจน จากนั้นจึงเริ่มพูดต่อ “เมื่อครู่นี้ท่านหมดสติไป แต่ในเมื่อตอนนี้ท่านตื่นแล้ว เช่นนั้นท่านก็ถอดเสื้อออกเองก็แล้วกัน ข้าจะได้ไม่ต้องทำเอง”

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น กิเลนอัคคีที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ถึงกับทำตาโต ลืมเรื่องที่นางเคยออกคำสั่งกับเขาไปได้เลย นึกไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะกล้าสั่งกระทั่งผู้เป็นนายของเขาด้วย

นางไม่กลัวว่านายท่านจะหมดความอดทนแล้วจัดการถอดเขี้ยวเล็บของนางหรือ

กิเลยอัคคีลูบคาง แต่แล้วก็เห็นว่าผู้เป็นนายของมันกลับทำเพียงแค่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ถอดเสื้อคลุมขนสัตว์ออกช้าๆ แผ่นอกของเขาปรากฏให้เห็นสู่สายตา ผิวสีน้ำผึ้งถูกเคลือบด้วยแสงจันทร์สีเงินอีกชั้นหนึ่งจนดูเหมือนเสื้อคลุมผ้าแพรที่สะท้อนแสงระยิบระยับ เปี่ยมไปด้วยพลังอันชวนให้ตกตะลึง…