บทที่ 138 ทำด้วยรักอย่างแน่นอน

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้มาตลอดว่าเรือนร่างขององค์ชายสามนั้นดึงดูดสายตาเป็นอย่างยิ่ง แต่นางนึกไม่ถึงว่ามันจะน่าหลงใหลถึงเพียงนี้ แล้วทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่า หากเขามีโอกาสได้เดินเตร่ในย่านเริงรมย์สำหรับชาวต้วนซิ่วแล้วล่ะก็ เขาจะต้องขายได้ราคางามแน่!

“น้ำลาย” น้ำเสียงไร้อารมณ์ใดๆ ดังขึ้นข้างหูของนาง หากอากัปกิริยาและท่าทางการนั่งอันเต็มไปด้วยความมั่นใจของเขาปรากฏสู่สายตาชาวโลก บรรดาคุณหนูจากตระกูลขุนนางพวกนั้นคงได้พากันเป็นลมหมดสติอย่างแน่นอน

แต่องค์ชายสามมักจะพูดจาใจร้ายกับนางอยู่เสมอ จุดนี้ล่ะที่นางไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง

แต่ปล่อยให้เขาทำตัวปากร้ายเช่นนี้ต่อไปก็แล้วกัน เดี๋ยวนางจะคิด ‘ค่าผ่าตัด’ เพิ่มให้หนำใจเชียว

เมื่อคิดได้ดังนั้น มุมปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็วาดขึ้นเป็นเส้นโค้ง พร้อมกันนั้นนางก็ยื่นมืออกไปหยิบเข็มกับด้ายขึ้นมา จากนั้นจึงนำเข็มไปฆ่าเชื้อด้วยการลนกับตะเกียงน้ำมัน การเคลื่อนไหวของนางเป็นไปอย่างช่ำชอง อีกทั้งยังกระฉับกระเฉงจนทำให้คนที่เห็นตาลาย

หลังจากที่เข็มได้รับการฆ่าเชื้อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เฮ่อเหลียนเวยเวยก็หันกลับไปวัดอุณหภูมิของชายคนนั้นอีกครั้ง มันสูงขึ้นกว่าเดิมจนน่าตกใจ!

เขาไข้ขึ้นหนักขนาดนี้ แต่กลับยังมีสติชัดเจนดี นางไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีกันแน่

ถ้าอีกฝ่ายหมดสติไป เช่นนั้นนางก็คงสามารถลงมีดกับเขาได้โดยไม่ต้องยั้งมือ

แต่ในเมื่อเขาตื่นอยู่อย่างนี้ นางจึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมากในการผ่าตัด มิหนำซ้ำนางยังไม่มีแม้แต่โอกาสให้แอบดูด้วยซ้ำว่าหน้าตาที่อยู่ใต้หน้ากากของเขานั้นเป็นอย่างไร

เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้สึกว่ามันช่างไม่คุ้มเอาเสียเลย และแอบตัดสินใจเงียบๆ ว่านางจะต้องคิด ‘ค่าผ่าตัด’ กับเขาเพิ่มเป็นสองเท่า

“ดื่มสุรานารีแดงเสียสิ มันสามารถช่วยระงับอาการปวดได้” เฮ่อเหลียนเวยเวยรวบผมที่สยายอยู่มามัดรวมกันอีกครั้ง ยิ่งกว่านั้นนางยังจัดเส้นผมอันงดงามที่อยู่ข้างหูของเขาให้อย่างระมัดระวังด้วย นางมองบาดแผลด้วยความรอบคอบและเห็นลมปราณที่ก่อโรค[1]อย่างชัดเจน “นอนลง”

“นอนลงหรือ” คิ้วงามได้รูปของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกระตุก ดวงตาเรียวยาวของเขาหยุดลงที่มีดในมือของเฮ่อเหลียนเวยเวย

เฮ่อเหลียนเวยเวยสบตาเขา ก่อนที่ริมฝีปากบางของนางจะเอ่ยขึ้นว่า “ท่านจะนั่งก็ได้ แต่ตอนที่มีดขยับ มันคงจะเจ็บเอาการทีเดียว”

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยส่งเสียงตอบรับออกมาเบาๆ แต่ก็ไม่ได้ขยับตัวแต่อย่างใด

เฮ่อเหลียนเวยเวยเข้าใจในเจตนาของเขา และไม่คิดอะไรให้ยุ่งยากอีกต่อไป นางหยิบเหล้า ก่อนยกมันขึ้นดื่มจนเต็มปาก แต่ไม่ได้กลืนลงคอ แทนที่จะทำเช่นนั้น นางกลับพ่นเหล้าที่อยู่ในปากทั้งหมดลงบนแผลของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย

จากนั้นนางจึงกระชับมีดสีเงินในมือแน่น แล้วลากมันไปตามแนวกล้ามเนื้อของเขา ก่อนกดลงไปโดยไร้ซึ่งความลังเล…

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเม้มริมฝีปากบางเข้าหากัน สายตาของเขามองขึ้นด้านบน ในดวงตาที่แบ่งแยกสีขาวดำอย่างชัดเจนนั้นมีเพียงเงาสะท้อนของใบหน้าเล็กๆ น่ารักปรากฏอยู่

แม้จะถูกชายหนุ่มมองด้วยสายตาเช่นนั้น แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ไม่ได้เสียสมาธิเลยแม้แต่น้อย พอนางผ่าเอาหัวธนูออกได้ นางก็เริ่มใช้เหล้าเย็นๆ ทำความสะอาดแผล หลังจากล้างมันจนสะอาดหมดจด นางก็หยิบเอาเข็มที่ร้อยด้ายเอาไว้แล้วขึ้นมาเย็บปิดปากแผลให้กับไป๋หลี่เจียเจวี๋ย

ขณะที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองภาพนี้ ดวงตาเย็นชาราวกับน้ำแข็งของเขาก็หลุบลง ในตาทั้งสองข้างมีแสงสว่างแผ่ขยายออกมาเล็กน้อย

เขาเคยพบหมอที่มีชื่อเสียงมามากมายนับไม่ถ้วน แต่ไม่เคยเห็นวิธีการรักษาเช่นนี้มาก่อน

ในแผ่นดินนี้ มีวิธีรักษาแบบนี้อยู่ด้วยหรือ

แสงในดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจมดิ่งยิ่งกว่าที่เคย พร้อมกันนั้นเขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบว่า “เจ้าคิดอย่างไรกับการยึดครองวิญญาณ”

ทันใดนั้นหัวใจของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ถึงกับเต้นผิดจังหวะ แต่สีหน้าของนางยังคงไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลง ในเวลาเดียวกันมือของนางก็ยังทำงานของมันต่อไป “ข้าไม่เคยศึกษาเกี่ยวกับพวกมันมาก่อน”

หรือว่าชายคนนี้จะรู้อะไรเข้าแล้ว

สองตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยตึงเครียด เพราะสิ่งที่นับว่าเป็นเรื่องต้องห้ามที่สุดในแผ่นดินนี้คือการยึดครองวิญญาณ

สิ่งที่เรียกว่าการยึดครองวิญญาณนั้นหมายถึงการที่มีวิญญาณอื่นเข้ามาแทนที่วิญญาณของร่างเดิม

ซึ่งเรื่องที่ว่านี้ก็ค่อนข้างตรงกับสถานการณ์ในปัจจุบันของนางพอดี

นางต้องทนทรมานราวกับถูกไฟเผาอยู่เป็นเวลากว่าสามวันสามคืน กว่าจะยึดครองร่างนี้ได้

แต่นางไม่ต้องการได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นปีศาจที่ต้องปัดเป่าหรือฆ่าทิ้ง

ด้วยเหตุนี้นางจึงเลือกที่จะปิดบังทุกอย่างเอาไว้ ถึงขนาดที่ไม่ยอมเปิดเผยสถานะผู้เป็นเจ้าของเวยเจ๋อให้คนภายนอกรู้ แม้การประกาศตัวเช่นนั้นจะทำให้ทุกอย่างง่ายดายขึ้นเป็นอย่างมาก แต่ในเวลาเดียวกัน ผู้คนก็จะมุ่งความสนใจมาที่นางด้วย

เฮ่อเหลียนกวงเย่าไม่ใช่คนโง่ แม้แต่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็พอจะมีสมองอยู่บ้าง

เป็นไปไม่ได้ที่คนเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้มากมายถึงเพียงนี้ภายในชั่วข้ามคืน

นางต้องใช้เวลาในการทำให้คนพวกนั้นรู้สึกว่านอกจากนิสัยที่เปลี่ยนไปของนางแล้ว ทุกอย่างที่นางได้มาก็เป็นเพราะโชคช่วยทั้งนั้น

มีแค่วิธีนี้เพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่นางจะหลีกเลี่ยงปัญหาอันไม่จำเป็นได้

แต่นางก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าทำไมจู่ๆ องค์ชายสามถึงถามออกมาเช่นนี้อ เขาคิดอะไรอยู่ถึงได้ถามนางเช่นนี้กัน

เขารู้เรื่องนางแล้วหรือ

หรือเพียงแค่พูดคุยไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น

เพราะหลังจากองค์ชายสามถามจบ เขาก็ไม่ได้พูดถึงมันต่อ

แต่ถ้าหากเขาจงใจที่จะทดสอบนาง ก็ยังนับว่าโชคดีที่ปฏิกิริยาตอบสนองของนางเร็วพอ และไม่ได้แสดงอาการมีพิรุธอันใดออกไปต่อหน้าผู้ชายคนนี้

อย่างไรเสียสิ่งที่ผู้ชายคนนี้ชอบทำที่สุดก็คือเรื่องประเภทนี้

เฮ่อเหลียนเวยเวยตัดสินใจว่านางจะไม่นึกถึงมันอีก นางทำราวกับว่าตัวเองไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น และปล่อยให้ความเงียบเป็นคำตอบแทน

นางก้มหน้าลงและจดจ่ออยู่กับการพันแผลให้เขาต่อ

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถอนสายตาออกจากใบหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างช้าๆ ในดวงตาเรียวแคบนั้นเต็มไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง

เฮ่อเหลียนเวยเวยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ดังนั้นการเคลื่อนไหวของนางจึงชะงักไป นางเงยหน้าขึ้น “ดวงตาของท่านมองเห็นแล้ว”

“อืม” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้ว “ท่านเริ่มกลับมามองเห็นตั้งแต่เมื่อไหร่”

ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองด้านข้างของนางด้วยสายตาอันล้ำลึก น้ำเสียงของเขาไม่ได้รีบร้อนหรือเอื่อยเฉื่อย “ตอนที่เจ้ากำลังแอบมองเรือนร่างของข้าอยู่”

เฮ่อเหลียนเวยเวย “…”

นางไปแอบมองเรือนร่างของเขาตอนไหนกัน!

เขาพูดเหมือนนางเป็นคนร้ายอย่างนั้นล่ะ!

นางก็แค่ชื่นชมเขาอย่างเปิดเผยเท่านั้นเอง เข้าใจนะ?!

คนที่สามารถพูดเรื่องพรรค์นั้นได้หน้าตาเฉยราวกับว่ามันเป็นเพียงแค่สายลมที่พัดผ่านก็คงมีแต่ผู้ชายคนนี้คนเดียวนั่นแหละ!

นางกับเขาคงไม่มีทางที่จะคุยกันดีๆ ได้อย่างแน่นอน!

เฮ่อเหลียนเวยเวยเม้มปากจนเผยให้เห็นลักยิ้มเล็กๆ สองข้าง นางเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มหวานหยาดเยิ้มไร้ซึ่งพิษภัยว่า “อ๋อ จริงสิ ข้าลืมบอกองค์ชายไป อีกเดี๋ยวจะเจ็บสักหน่อยนะ”

ไม่ใช่ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจงใจ แต่ทันทีที่ฤทธิ์สะกดอาการชาของเหล้าหมดไป แผลที่ถูกผ่าตัดก็จะเริ่มปวด

อีกทั้งตอนนี้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเองก็ยังมีไข้อยู่ด้วย จึงมีความเป็นไปได้สูงทีเดียวที่บาดแผลนี้จะทำให้ไข้ขึ้นสูงจนทำให้หมดสติ แต่การที่ยังรู้สึกเจ็บได้ก็นับว่าเป็นเรื่องดี นางเกรงว่าถ้าเขาไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใดๆ เลยแม้แต่นิดเดียว นั่นคงจะเป็นเพราะพิษไข้ที่ทำให้เขาเพ้อขึ้นมา

เมื่อคิดได้ดังนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็จุ่มผ้าเช็ดหน้าลงในเหล้าจนชุ่ม แล้วไม่สนใจเรื่องความแตกต่างระหว่างชายหญิง เมื่อเห็นว่าสภาพจิตใจของเขาสงบลงเล็กน้อย นางก็ใช้ผ้าที่ชุ่มไปด้วยเหล้านั้นเช็ดร่างกายของเขาจนสะอาด นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดไข้

ดังนั้นเฮ่อเหลียนเวยเวยจึงใช้ผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำแล้วเช็ดตัวให้เขาอยู่อย่างนั้นตลอดทั้งคืน บางครั้งนางก็จะตรวจดูสภาพบาดแผลของเขาไปพร้อมกัน

ในไม่ช้าเฮ่อเหลียนเวยเวยก็ไม่อาจฝืนความง่วงของตนได้อีกต่อไป นางจึงนั่งหลับอยู่ข้างเตียงของเขาโดยที่ยังมีผ้าเช็ดหน้าสีขาวอยู่ในมือ

หลังจากที่ไข้ของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลดลง สิ่งแรกที่เขาเห็นคือภาพดังกล่าว

ศีรษะเล็กๆ ของเฮ่อเหลียนเวยเวยผงกขึ้นๆ ลงๆ จนแทบจะร่วงลงมาได้ทุกเมื่อ

ดวงตาเรียวยาวของชายหนุ่มดูลุ่มลึกขึ้น ในวินาทีที่ศีรษะเล็กๆ นั้นกำลังจะโขกเข้ากับขอบเตียงไม้ มือข้างขวาอันเป็นเอกลักษณ์ของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ยื่นไปประคองนางเอาไว้ได้อย่างนุ่มนวล และพาร่างของนางลงมาแนบกับอกของเขาได้สำเร็จ

ในที่สุดเฮ่อเหลียนเวยเวยก็คล้ายจะสบายตัวขึ้น นางถูใบหน้าเล็กๆ ของตนเข้ากับอกของเขาพร้อมกับหาท่าที่สบายที่สุดให้ตัวเอง นางทำปากยื่นออกมาราวกับลูกแมว

ระหว่างที่มองดูภาพนี้ มุมปากของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็อดที่จะเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมาไม่ได้…

เช้าตรู่วันต่อมา สายลมอันอบอุ่นพัดแผ่ว เสียงร้องของนกสีฟ้าดังรายล้อมอยู่รอบตัวทั้งสอง

เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยลืมตาขึ้น นางก็เห็นแสงอาทิตย์สีทองที่ส่องเข้ามา ดวงตาของนางหรี่ลงเพราะแสงนั้น

นางกำลังทำท่าจะขยับตัวลุกขึ้น แต่แล้วก็พบว่าถูกอะไรแข็งๆ กดทับเอาไว้ นางเงยหน้าขึ้นไปมองทางนั้น และแล้วก็พบว่าเจ้าสิ่งที่กำลังทาบทับร่างของนางเอาไว้ใต้ร่างของเขาก็คือองค์ชายสามนั่นเอง…

————————————————

[1] ลมปราณก่อโรค คือ อิทธิพลและปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เกิดโรคจากภายนอกร่างกาย ได้แก่ ความเย็น ความร้อน ลม ไฟ เป็นหยาง