นที่ 58 ภาชนะดวงวิญญาณ

ช่วงเย็นไม่กี่วันหลังจากคืนที่ฟาร์มากับเฮอร์เมสได้เผชิญหน้ากัน

“ถ้าอย่างงั้น เดี๋ยวผมขอตัวไปพบกับคุณปีแอร์ก่อนนะครับ”

“ระวังตัวด้วยนะครับ”

เซดริกกับพนักงานร้านคนอื่นๆกำลังเตรียมตัวปิดร้าน ส่วนทางเอเลนและลอตเต้ก็กำลังจะเดินทางกลับ

“ทั้งสองคนรีบๆ กลับถึงบ้านก่อนค่ำด้วยนะครับ”

การเฝ้าระวังความปลอดภัยของร้านขายยาต่างโลกนั้นมีความเข้มงวดมากยิ่งขึ้น แต่ก็ใช่จะวางใจได้หลังเหตุการณ์ที่ปล่อยให้เฮอร์เมสหนีไปได้พวกพนักงานอาจจะถูกลอบทำร้ายก็เป็นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอเลนที่เปลี่ยนมาใช้ม้าเร็วแทนรถม้าเพื่อความรวดเร็วในการเดินทาง เผื่อในกรณีที่ถูกลอบโจมตีระหว่างเดินทางกลับ ซึ่งในกรณีนั้นฟาร์มาก็คงจะตามมาช่วยไม่ทัน

“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก คิดว่าฉันเป็นใครกัน? เดี๋ยวถ้าเกิดเจอขึ้นมาจะจับลากกลับมาสอบปากคำซะเลยนี่”

เอเลนบอกแบบนั้นเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับฟาร์มา เพราะยังไงเธอก็เป็นถึงผู้ใช้ศาสตร์แห่งวารีที่เก่งกาจ การจะรับมือกับศัตรูสักสองถึงสามคนคงจะไม่เกินมือ แต่ถึงจะบอกแบบนั้นฟาร์มาก็ไม่คลายกังวลเรื่องของเฮอร์เมสอยู่ดี

“เดี๋ยวทางฉันจะกลับคฤหาสน์พร้อมกับคุณเซดริกค่ะ ว่าแต่อาการคุณปีแอร์เป็นยังไงบ้างคะ?”

ฟาร์มาพยักหน้าให้กับคำถามก่อนลอตเต้ก่อนจะบอกถึงอาการของปีแอร์

“คิดว่าใช้เวลาอีกประมาณสองสัปดาห์ก็คงจะหายดีแล้ว”

ฟาร์มาออกจากร้านขายยาต่างโลกแล้วเดินทางไปยังร้านแสงแดดผ่านแมกไม้ของปีแอร์เพื่อดูอาการอยู่เป็นประจำพร้อมกับเหล่าอัศวิน เมื่อผ่านประตูร้านเข้าไป ฟาร์มาก็ตรงไปยังโซนของที่พักผู้ป่วยจากประตูหลังร้าน โดยมีลูกสาวของปีแอร์กำลังรอต้อนรับอยู่ตรงประตู บางทีเธออาจจะมารออยู่ตรงนี้ได้สักพักหนึ่งแล้วก็ได้

“กำลังรออยู่เลยค่ะ ยินดีต้อนรับนะคะ ท่านฟาร์มา”

“สายัณห์สวัสดิ์ครับ วันนี้อาการคุณพ่อเป็นยังไงบ้างครับ?”

“ค่ะ อาการของคุณพ่อเขาก็ดีขึ้นมาตามลำดับแหละค่ะ”

หลังจากวันที่ปีแอร์ตกลงไปในทะเลสาบกรดซัลฟิวริกโดยฝีมือของนักเล่นแร่แปรธาตุหญิงคนนั้น เขาได้ถูกสารเคมีเผาไหม้อย่างรุนแรง ฟาร์มาจึงได้เดินทางมาดูอาการเขาในทุกๆวันอย่างเอาใจใส่

“ผมฟาร์มาเองนะครับ ขอรบกวนหน่อยนะครับ”

“โอ้ ท่านฟาร์มานี่เอง ทางผมต่างหากล่ะครับที่ต้องรบกวนท่านอยู่เสมอเลย”

ปีแอร์เงยหน้าขึ้นมารับการทักทายของฟาร์มา เขานั่งอยู่บนเตียง ก่อนเขาจะปิดหนังสือรายละเอียดการจ่ายยาของทางกิลด์ร้านขายและจ่ายยาไว้ข้างๆ ขณะนี้ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยผ้าพันแผลและใบหน้าก็แสดงออกมาอย่างชัดเจนว่ากำลังต่อสู้กับความเจ็บปวดนั้นอยู่ อีกทั้งยังเห็นผมและคิ้วของเขาที่ร่วงหลุดไปจากเหตุการณ์ดังกล่าว

แผลไฟไหม้ที่เกิดจากสารเคมีนั้นถูกแบ่งออกได้เป็นสามระดับ ตามความรุนแรงของอาการไหม้ โดยระดับแรกนั้น จะเป็นการเผาไหม้เพียงแค่ชั้นผิวหนังกำพร้า (ผิวหนังชั้นนอกสุด) ระดับที่สองจะถูกเผาไหม้ไปถึงส่วนบนของชั้นผิวหนังแท้ (บริเวณใกล้กับชั้นไขมัน) และระดับสุดท้ายคือโดนชั้นผิวหนังแท้ทั้งหมด (ผิวหนังทุกส่วนโดนเผาไหม้เป็นวงกว้างไม่ใช่เพียงแค่จุดเล็กๆ) โดยอาการของปีแอร์นั้นอยู่ในระดับหนึ่งค่อนไปทางสอง

เนื่องจากเขาตกลงไปแช่กรดซัลฟิวริกอยู่หลายสิบวินาที ถึงแม้ว่าฟาร์มาจะใช้ความสามารถในการสลายสสารไปแล้วก็ตาม แต่ร่างกายส่วนล่างที่ตกลงไปก่อนเช่น ช่วงเท้าจนถึงขา มีอาการถูกเผาไหม้อย่างรุนแรง ถึงจะบอกได้ว่าโชคดีที่ดวงตาของเขาไม่ได้มืดบอดจากเหตุการณ์ดังกล่าว แต่ก็ใช่ว่าจะเลี่ยงอาการอักเสบของลูกตาและเยื่อเมือกได้

ด้วยความกังวลเกี่ยวกับอาการของปีแอร์หลังจากที่ได้รับบาดเจ็บ วันรุ่งขึ้นจากเหตุการณ์นั้นฟาร์มาได้พาปีแอร์ไปพักรักษาตัวที่คฤหาสน์เมดิซิสและเริ่มทำการรักษาทันที โดยมีปาลเล่เป็นผู้ช่วย เวลาผ่านพ้นไปกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมงหลังจากการรักษาโชคดีที่บาดแผลของปีแอร์ก็เริ่มสมานกันจากการใช้ [บรรเทาเหตุ] กับปีแอร์

(เนื่องจากพลังดังกล่าวสามารถใช้ได้ต่อเมื่อเขาถือคทาแห่งเทพโอสถเท่านั้น จึงไม่ได้สามารถทำได้ตั้งแต่ตอนอยู่ในถ้ำ)

หลังจากทำความสะอาดแผนเสร็จแล้ว ฟาร์มาก็ใช้ปิโตรเลียมเจลลี่และนำผ้าพันแผลมาพันปิดไว้ ก่อนจะใช้ยาต้านปฏิชีวนะร่วมกับยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ตามอาการไป หลังจากสองสามวันผ่านไป ความเจ็บปวดจากอาการก็เริ่มบรรเทาลงบ้าง

“แล้ววันนี้รู้สึกยังไงบ้างครับ?”

ฟาร์มาได้ทำการจดบันทึกอาการระหว่างถาม ลูกสาวของปีแอร์ที่เป็นคนนำทางมาในตอนแรก ได้มองดูใบหน้าของฟาร์มาและปีแอร์สลับกันไปมาอยู่บริเวณมุมห้องด้วยความกังวลใจ เธอคงจะกังวลถึงอาการพ่อของเธอเป็นแน่

“ก็รู้สึกดีกว่าเมื่อวานเยอะเลยครับ ผมละตกใจจริงๆที่มันดีกว่าที่ผมคิดไว้เสียอีก บางทีอาจจะเป็นเพราะพลังลึกลับของท่านฟาร์มาที่ใช้กับผมแน่ๆเลย”

“นั่นก็อาจจะมีส่วนนะครับ….ถึงกรดซัลฟิวริกจะแทรกซึมเข้าไปทำลายผิวชั้นกำพร้ากับชั้นหนังแท้บางส่วน แต่ดีว่าความเข้มข้นของกรดนั้นมันไม่ได้สูงนักและถูกสลายไปก่อน ผมจึงเชื่อว่านั่นคือสาเหตุที่ทำให้อาการไม่หนักมากครับ แต่เพื่อความปลอดภัยแล้วก็อย่างพึ่งออกไปให้คนอื่นเห็นจนกว่าแผลพวกนี้จะหายดีก่อนนะครับ”

“เข้าใจแล้วครับ เพราะผมต้องระวังเจ้าเฮอร์เมสนั่นด้วยสิ ให้ตายสิพอพูดถึงผมละอยากจะซัดหน้ามันจริงๆ แล้วท่านฟาร์มารู้จริงๆเหรอครับ ว่าเฮอร์เมสมันเป็นใคร?”

“ก็พอจะรู้บ้างแล้วครับ แต่ก็อยากได้หลักฐานมายืนยันก่อน บางทีพรุ่งนี้คุณอาจจะสามารถกลับมาเปิดร้านได้แล้วก็ได้นะครับเพื่อไม่ให้เกิดความสงสัยขึ้น โดยทางผมจะส่งพนักงานชั่วคราวมาช่วยในการจัดการหน้าร้านเองครับ”

เพราะหากมีข่าวว่าเจอคนที่มีอาการแผลไฟไหม้เนื่องจากกรดซัลฟิวริก เฮอร์เมสอาจจะตามกลิ่นมาเพื่อกำจัดคนคนนั้นก็ได้ เพื่อความปลอดภัยของปีแอร์จึงต้องใช้มาตรการนี้ไปก่อน

“ขอขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่ท่านทำให้กับผมจริงๆ ครับ”

แล้วฟาร์มาก็เดินทางไปยังวังหลวงในวันรุ่งขึ้น ถึงแม้วันนี้จะเป็นวันพักของการทำหน้าที่แพทย์โอสถหลวง แต่ตัวเขามีจุดประสงค์อื่น นั่นก็คือการเข้ามาตรวจสอบบางอย่างกับคนที่อยู่ภายในวัง โดยคนที่ว่ากำลังเดินเข้าไปยังห้องพักเทพโอสถ (ชื่อห้อง) จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะหาตัว และเมื่อฟาร์มาเจอกับเขา ฟาร์มาได้รีบแอบเข้าไปยังเงามืดพร้อมกับใช้ดวงตาวินิจฉัยในทันทีจากระยะไกล เขาได้ทำการยืนยันลักษณะของคนคนนั้นด้วยตำแหน่งผุของฟัน และโครงร่างของกระดูกลักษณะภายในของร่างกาย แน่นอนว่าน้ำเสียงก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง

ในครั้งนี้ฟาร์มาสามารถจับตามองคนคนนั้นด้วยพลังขยายสโคปการมองเห็นก่อนจะใช้ดวงตาวินิจฉัยระบุตัวตนของเป้าหมาย โดยคนๆนั้นก็คือหนึ่งใน โอสถแพทย์หลวงของจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟนั่นเอง

คนที่ฟาร์มากำลังจับตามองนั้นมีนามว่า ฮิลโก้ เดอ เลอ ทีโมรี่ เขาก็เป็นแพทย์โอสถหลวงเช่นเดียวกับบรูโน แม้ว่าอายุจะมากกว่าก็ตาม แต่หากเทียบกับคนวัยเดียวกันแล้วใบหน้าของเขาก็ถือว่าอ่อนวัยกว่ามาก หากรวบกับแพทย์โอสถหลวงหญิงอีกคนฟรานควอส ฮิวโก้ บรูโน และ ฟาร์มา ทั้งสี่มักเข้ามาผลัดเปลี่ยนการทำงานกันในแต่ละวันภายในวังหลวง เมื่อฟาร์มาไม่อยู่ฮิวโก้ก็จะเข้ามาดูแลแทน หนทางเดียวที่ได้จะอยู่พร้อมหน้ากันนั้นก็คงจะมีแต่งานประชุมภายในวังที่จัดขึ้นครั้งหนึ่งในช่วงหลายเดือนเพื่อปรึกษาแนวทางทางการรักษาของราชวงศ์และเหล่าข้าราชบริหารภายในวัง

เนื่องจากฮิวโก้ไม่ได้เป็นคนของทางวิทยาลัยยา เขาทำการรักษาเพียงแค่ชนชั้นสูงภายในวังกับราชวงศ์ซึ่งนั่นอาจจะเป็นหนึ่งในความภูมิใจของเขา แน่นอนว่าเขาคงไม่มีทางจะรู้จักเอเลนที่ไม่ได้เข้าออกภายในวังบ่อย ในช่วงชุมนุมกลุ่มนักเล่นแร่แปรธาตุก็มีเพียงแค่ฟาร์มาเท่านั้นที่คุ้นเสียงของเขา ไม่ว่าจะเอเลน ปีแอร์ หรือคนอื่นๆภายในงานต่างก็ไม่มีใครรู้สึกคุ้นกับเสียงดังกล่าวเลย

งานของฮิวโก้นั้นลดลงตั้งแต่ที่จักรพรรดินีได้พบกับฟาร์มาและได้กลายเป็นแพทย์โอสถหลวงซึ่งมีหน้าที่ดูแลจักรพรรดินีโดยตรง ตัวเขาไม่ค่อยจะถูกกับฟาร์มาเท่าใดนัก และยังเป็นหนึ่งในคนที่สงสัยถึงการมีอยู่ของตัวตนอย่างฟาร์มาเป็นอย่างมาก

แต่ถ้าฮิวโก้เป็นคนร้ายจริงๆ นั่นหมายความว่าเขาใช้ความรู้ที่ได้มาจากฟาร์มาและศาสตร์การเล่นแร่แปรธาตุเข้ามาช่วย เพื่อหาเงินเล็กๆ น้อยๆ ให้กับตัวเองงั้นหรือ?

ฮิวโก้เป็นถึงชนชั้นสูงระดับต้นๆ แน่นอนว่าปัญหาทางด้านการเงินย่อมไม่ได้อยู่ในสายตาเขา การทำเงินเล็กๆ น้อยๆ เช่นนั้นย่อมไม่มีความหมายกับเขาเลย ถ้าจะบอกว่าฟาร์มาเข้ามาแย่งงานแล้วทำให้เงินของเขานั้นลดลงไปก็ใช่จะถูกเพราะเงินที่ทางวังให้จ่ายนั้นเป็นเงินรายเดือนไม่เกี่ยวว่าตัวเขาจะทำงานมากน้อยเพียงใด แถมเขาก็ยังมีเหล่าชนชั้นสูงภายในวังให้ทำการดูแลอีกมากมายนอกเหนือจากจักรพรรดินี นั่นหมายความว่าจุดมุ่งหมายในเรื่องเงินนั้นสามารถตัดออกไปได้เลย

(ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วเพราะอะไรกันล่ะ)

ขณะที่ฟาร์มากำลังยืนคิดอยู่นั้น

“อ้าวท่านฟาร์มา มาทำอะไรตรงนี้ครับ? ท่านกำลังพิจารณาผืนภาพบนผนังอยู่เหรอครับ … …”

ซาโลม่อน บังเอิญเดินผ่านมาพบกับฟาร์มาที่กำลังหันหน้าเข้าหาผนังและจ้องมองมันอย่างตั้งใจอยู่

“อ่อ ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ”

“งั้นท่านกำลังดูลายตารางบนผนังเหรอครับ? ขออภัยที่ทำให้ท่านตกใจ แต่ดูสีหน้าของท่านเหมือนจะเหนื่อยๆ นะครับ… …”

สายตาที่มองมานั้นเต็มไปด้วยความสงสาร ฟาร์มาจึงได้บอกซาโลม่อนเกี่ยวกับเรื่องที่เขาพบการมีอยู่ของทะเลสาบซัลเฟตใต้ดินและเบาะแสเกี่ยวกับน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้คลายความเข้าใจผิด

“นี่ถือเป็นข่าวดีครั้งใหญ่เลยนะครับสำหรับท่านที่ไปพบข้อมูลของบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์โดยบังเอิญ ช่างน่ายินดีอย่างยิ่งครับ อย่างที่ผมคาดเอาไว้ว่าท่านฟาร์มากับบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์นั้นต่างดึงดูดเข้าหากันจริงๆ”

“จะใช่เหรอครับ? งั้นเดี๋ยวผมจะรายงานเรื่องนี้โดยสังเขปให้กับจักรพรรดินีทราบแล้วกันนะครับ”

เพราะไม่อยากให้ทีมค้นหาเสียเวลาโดยไม่จำเป็น ฟาร์มาเป็นกังวล

“ในความเป็นจริงแล้วหลักฐานเส้นทางของบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ซึ่งอยู่ก้นทะเลสาบกรดแถมยังได้รับการปกป้องไว้โดยมอนสเตอร์ปลาขนาดยักษ์อีก ไม่แปลกใจเลยว่ามันกำลังเฝ้ารอการมาเยือนของตัวตนที่แตกต่างออกไปจากมนุษย์ธรรมดาเช่นท่านฟาร์มา”

ซาโลม่อนไม่ใช่นักบวชของศาสนจักรอีกต่อไป แต่เขาก็ยังคงให้ความศรัทธากับเทพผู้พิทักษ์เช่นเดิม นอกจากนี้เขายังรู้สึกอีกว่าตนนั้นมีภารกิจที่จะต้องทำการสลักหน้าประวัติศาสตร์แผ่นใหม่ลงไปยังพระคัมภีร์ให้ได้

“จะว่าไปก็มีเรื่องที่น่าแปลกใจอีกอย่างนะครับ”

ฟาร์มาพูดหัวข้อใหม่ขึ้นมากะทันหัน

“มันคือสิ่งใดกันครับ?”

“คริสทัลกับหินที่อยู่ข้างใต้ทะเลสาบนั้นมันเปล่งแสงออกมา ก่อนที่จะกลืนกินร่างของคนตายเข้าไปน่ะครับ”

ฟาร์มาอยากจะถามซาโลม่อนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่น่าขนลุกนี้ เพราะมันคล้ายกับการกลืนกินวิญญาณคนเป็นเลย

“ที่จริง ผมก็ไม่ทราบหรอกนะครับว่ามันคืออะไร…. แร่ที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยกรรมวิธีนั้นงั้นหรือครับ… แถมแผ่นหินที่เขียนไว้ว่า ที่แห่งนี้คือที่อยู่อาศัยของเหล่าวิญญาณเร่ร่อน…..”

ซาโลม่อนแสดงสีหน้าปั้นยากขึ้น ก่อนจะกอดอกข้างหนึ่งแล้วหรี่ตาขณะลูบเครา

“แล้วท่านได้เก็บชิ้นส่วนคริสทัลหรือหินที่หลับใหลอยู่บริเวณก้นของทะเลสาบกรดนั้นมาไหมครับ?”

“ครับ ผมไปเก็บมาเมื่อวานก่อนแล้ว”

ฟาร์มากำลังคิดถึงเรื่องการสร้างคทาด้ามใหม่โดยใช้วัตถุดิบดังกล่าวที่ได้มาจากก้นทะเลสาบซัลเฟต เพราะท้ายที่สุดแล้วคทาแห่งเทพโอสถก็จำเป็นต้องส่งคืนให้กับศาสนจักร แต่ยิ่งเขาเข้าใกล้มันมากเท่าไรก็ยิ่งตระหนักได้ถึงสิ่งลึกลับที่อยู่ภายใน เพราะทุกครั้งที่เขาทำการพยายามแปรรูปมัน เขาก็มักจะมีอาการหลอนทางประสาท เช่นการได้ยินเสียงโหยหวนของสิ่งที่ใกล้เคียงกับมนุษย์เลย

“ก็ไม่น่าแปลกใจนะครับ สำหรับวัตถุดิบที่ใช้สร้างสมบัติลับนั้นต้องแลกมากับชีวิตของมนุษย์จำนวนมาก บางทีเหล่าคนที่ตายลงไปคงจะถูกนำพาเข้าไปอยู่ภายในคริสทัลนั่นก็เป็นได้ครับ”

“อ่ะ…เอ๋!?”

นั่นเลยทำให้เขายิ่งสงสัยว่าแบบนั้นไม่ใช่ว่าอันตรายไปหน่อยหรือ จนทำให้ฟาร์มารู้สึกกลัวคทาแห่งเทพโอสถที่ใช้มาจนถึงตอนนี้เลย เขาคิดว่าคทาแห่งเทพโอสถนั้นคงจะถูกสร้างมาจากคนที่ถูกเรียกว่าเทพโอสถรุ่นก่อนเพื่อใช้ช่วยเหลือผู้คน แต่พอได้รู้เรื่องนี้เข้า เขาก็เริ่มรู้สึกกังวลมากยิ่งขึ้น

“หรือว่าบางทีทุกครั้งที่ผมใช้คทาแห่งเทพโอสถ จะมีใครสักคนบนโลกใบนี้ตายลงไปกัน…?”

วิญญาณของมนุษย์คนอื่นอาจจะถูกสมบัติลับชิ้นอื่นดูดดวงวิญญาณไปแทน ฟาร์มาไม่อาจตัดความคิดนั้นออกไปได้

“นั่นเป็นคำถามที่ตอบได้ยากครับ เพราะผมก็ไม่รู้ถึงทฤษฎีดังกล่าวเช่นกัน หากท่านได้ลองมองกลับไปยังอดีตที่ผ่านมาก็จะพบว่ามีเทพผู้พิทักษ์เช่นท่านเข้ามาช่วยเหลือมวลมนุษย์ ในทางกลับกัน ก็มีเทพผู้พิทักษ์ที่ใช้สมบัติลับในการสังหารชีวิตจำนวนมากเช่นเดียวกัน เนื่องจากตัวตนของเหล่าเทพผู้พิทักษ์นั้นอยู่เหนือการเข้าใจของมนุษยชาติ จึงทำให้เทพเหล่านั้นไม่สามารถบอกได้เต็มปากว่าเป็นมิตรหรือศัตรูกับเหล่ามนุษยชาติกันแน่”

“งั้นเหรอครับ…แล้วผมควรจะทำอย่างไรดีล่ะ?”

(หรือว่าการมีอยู่ของเทพผู้พิทักษ์นั้นคือการรักษาสมดุลของชีวิตและความตาย เพื่อให้โลกใบนี้กลับคืนสู่สมดุลอยู่เสมอ?)

บางทีสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ในตอนนี้ทั้งหมดในท้ายที่สุดแล้วอาจจะไร้ความหมายก็ได้ นั่นคือสิ่งที่เขาคิด จนทำให้ฟาร์มาถึงกับเข่าอ่อน ก่อนที่ซาโลม่อนจะเข้ามาปลอบให้ฟาร์มาสงบใจลง

“อย่าได้ท้อไปเลยครับ สิ่งที่ท่านทำมาจนถึงตอนนี้ย่อมไม่ไร้ความหมาย แล้วคทาแห่งเทพโอสถนั้นก็ไม่ได้มีพลังในการเข่นฆ่าผู้คนด้วยครับ”

ฟาร์มาก็ได้แต่ครุ่นคิด เพราะเขากำลังนึกถึงความสัมพันธ์ของคริสทัลกับความทรงจำของคนที่ตาย เขารู้สึกราวกับว่าตนกำลังจะพบกับคำตอบของบางสิ่งที่เป็นปัญหาค้างคาภายในใจ

“หรือว่าบางที …”

ความหนาวเย็นได้ไหลผ่านกระดูกสันหลังของเขาไป

“บางทีโฮมุนครุสตัวนั้น…..ต้องใช่แน่ๆ”

ความมืดมิดเบื้องหลังการเล่นแร่แปรธาตุนั้นได้เข้ามาปกคลุมเขาอีกครั้ง

—–

Note : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913