บทที่ 151 เยือนจักรวรรดิ 1 (1)

[“เจ้าพวกขยะแห่งจักรวรรดิคงรู้สึกว่าข้าช่างน่ารำคาญเสียเหลือเกิน”]

ทำไมจู่ๆองค์ชายรัชทายาทจึงวิจารณ์ตัวเองขึ้นมา? คาร์ลยังคงรอฟังเงียบๆว่าอัลเบิร์กจะเอ่ยสิ่งใดต่อ

[“ข้าเป็นองค์ชายผู้แสวงหาความยุติธรรมให้กับอาณาจักรของข้า..แน่นอนว่าข้ากำลังตามหาตัวองค์กรลับที่อยู่เบื้องหลังการลอบวางระเบิดพลังเวทย์ในอาณาจักรโรมัน”]

สีหน้าของคาร์ลเริ่มแย่ลงเรื่อยๆในทางกลับกันอัลเบิร์กกลับแต้มรอยยิ้มสดใสเต็มใบหน้าราวกับเขามีความสุขเสียเหลือเกิน

[“แน่นอนว่าข้าดูเหมือนองค์ชายผู้มีปณิธานแรงกล้าที่จะลากตัวพวกชั่วนั้นออกมาและกำจัดพวกมันให้พ้นไปจากทวีปตะวันตก..ข้าดูสนใจเรื่องพวกนี้มากกว่าจะสนใจงานราชกิจอื่นๆเสียอีก..ฮ่าฮ่าฮ่า…ที่สำคัญข้ายังแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อจักรวรรดิที่พวกเขาต้องมาประสบเหตุการณ์คล้ายๆกันและขอให้พวกเขาร่วมมือกับข้าเพื่อค้นหาตัวผู้กระทำผิดให้ได้”]

คาร์ลเริ่มพูด

“ดูท่าจักรวรรดิคงปวดหัวไม่น้อยเลยนะพะย่ะค่ะ”

[“ใช่..พวกเขาดูปวดหัวมากและข้าก็สนุกกับมันมากเช่นกัน”]

อัลเบิร์กยิ้มเต็มใบหน้ามันเป็นรอยยิ้มสดใสที่คาร์ลมีโอกาสเห็นเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน คาร์ลหลีกเลี่ยงสายตาที่อัลเบิร์กมองมาและเริ่มคิดว่าจักรวรรดิคงอยู่ในจุดที่อึดอัดใจน่าดู

อาณาจักรโรมัน

มันเป็นอาณาจักรที่มีสถานะปานกลาง มันไม่ได้ดูแข็งแกร่งหรืออ่อนแอเกินไป อย่างไรก็ตามมันยังเป็นอาณาจักรที่พบว่าก่อตั้งมายาวนานที่สุดและมีประวัติศาสตร์อันยาวนานที่สุดในทวีปตะวันตก แน่นอนว่าอาณาจักรอื่นๆต้องเกรงใจอาณาจักรโรมันไม่มากก็น้อย หากองค์ชายรัชทายาทต้องการเรียกหาความยุติธรรมให้กับอาณาจักรของตนก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายแต่อย่างใดและมันยังเป็นสาเหตุที่จักรวรรดิไม่สามารถเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ได้เช่นกัน

อย่างไรก็ตามจักรวรรดิไม่สามารถกรีดร้องขอ‘ความยุติธรรม’ได้อย่างเต็มปาก

‘เพราะพวกเขาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด’

ทั้งคาร์ลและอัลเบิร์กไม่สามารถยืนยันได้อย่างแน่ชัดว่าจักรวรรดิร่วมมือกับอาร์มและเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ก่อร้ายในจัตุรัสกลางเมืองของอาณาจักรโรมันจริงหรือไม่? อย่างไรก็ตามจักรวรรดิมีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตีวิหารพระเจ้าแห่งแสงตะวันและพยายามฆ่าแจ็คกับฮันนาห์อย่างแน่นอน

นั่นคือเหตุผลที่จักรวรรดิต้องการให้เหตุการณ์ลอบวางระเบิดในวิหารพระเจ้าแห่งแสงตะวันเงียบหายไปโดยเร็วที่สุด ดังนั้นองค์ชายอัลเบิร์กจึงพยายามยื้อเรื่องนี้ต่อไปจนสร้างความรำคาญใจให้กับพวกเขาเป็นอย่างมาก

แต่ถึงอัลเบิร์กจะทำเช่นนั้นเขาก็ยังปิดเรื่องพันธมิตรของฝั่งพวกเขาได้เป็นอย่างดี

“แล้วสิ่งยิ่งใหญ่ที่พระองค์หมายถึงคืออะไรหรือพะย่ะค่ะ?”

[“ข้ากำลังคิดที่จะเล่นละครนะสิ”]

คาร์ลส่ายหน้าอย่างเหลือเชื่อเมื่อได้ยินสิ่งที่อัลเบิร์กพูด

“เล่นละคร?..องค์ชายจะทรงทำเช่นนั้นได้อย่างไรพะย่ะค่ะ?..พระองค์ทั้งเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมและจิตใจบริสุทธิ์เช่นนี้..มันไม่สามารถ—”

[“เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว”]

อัลเบิร์กขมวดคิ้วมุ่นทำให้คาร์ลหุบปากลงทันที เขาเริ่มพูดกับบุคคลที่เขาเชื่อเหลือเกินว่าเลวหลายกว่าเขาเป็นหลายเท่า

[“ข้าสอบถามพวกเขาตลอดทั้งวันเกี่ยวกับจุดที่เกิดเหตุระเบิด”]

“สอบถาม?”

[“อืม..ข้าแจ้งกับพวกเขาไปว่าต้องการหาเบาะแสทั้งหมดแม้ว่ามันจะเป็นเพียงจุดเล็กๆก็ตามและข้ายังต้องการตรวจสอบรอบๆวิหารพระเจ้าแห่งแสงตะวันรวมไปถึงจัตุรัสที่อยู่ด้านหน้าอีกด้วย..ข้ายังคงซักถามและแจ้งความต้องการของตนออกไปแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในช่วงทำสงครามก็ตาม”]

“แล้วจักรวรรดิไม่โกรธหรือพะย่ะค่ะ?”

[“ข้าเพียงแหย่เบาๆเท่านั้นเอง”]

คาร์ลไม่เชื่อและพยายามฝืนรอยยิ้มเยาะของตนไม่ให้แสดงออกไปก่อนจะเอ่ยถาม

“การที่พระองค์ติดต่อหม่อมฉันมาเช่นนี้..ก็แสดงว่าทางจักรวรรดิยินยอมที่จะให้พระองค์เข้าไปสอบสวนเรื่องนี้ใช่หรือไม่พะย่ะค่ะ?”

[“นี่ก็ผ่านมาเกือบปีแล้วตั้งแต่เกิดเหตุระเบิดขึ้น..ดูเหมือนพวกเขาจะสรุปเอาเองว่าข้าไม่คิดจะลงมือทำสิ่งใด”]

อัลเบิร์กเคาะนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะช้าๆและเอ่ยต่อ

[“มันน่าจะเป็นการดีที่สุดหากเจ้าไปลอบสังเกตพวกเล่นแร่แปรธาตุ..ในขณะที่ข้าก็แสร้งทำเป็นสืบสวนหาเบาะแสตามที่ข้าต้องการ..เจ้าคิดเห็นเช่นไร?”]

มันไม่ใช่เรื่องดีเลยสักนิด เขารู้สึกไม่ดีตั้งแต่ที่ความเย็นแล่นวาบไปทั่วหลังของเขาแล้ว

“ไม่ใช่ว่าตอนนี้จักรวรรดิกำลังหงุดหงิดที่ต้องสูญเสียปราสาทไปให้กับอาณาจักรวิปเปอร์หรือพะย่ะค่ะ”

[“ใช่..นั่นคือสิ่งที่ข้าเดาไว้ว่าพวกเขาต้องการเปลี่ยนจุดสนใจของประชาชนด้วยการกระจายข่าวออกไปว่าพวกเขาจะเข้าร่วมสืบสวนเหตุการณ์ลอบวางระเบิดกับฝ่ายเรา”]

อัลเบิร์กมองไปที่คาร์ลเมื่อยังคงเอ่ยต่อไป

[“จักรวรรดิอาจยอมเทหน้าตักเพื่อการสืบสวนในครั้งนี้โดยเฉพาะ..เจ้าไม่คิดเช่นนั้นหรือ?”]

“..อ่า..หม่อมฉันก็คิดเช่นนั้น”

[“ว่าแต่นักบวชกับหญิงสาวผู้ศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างไรบ้าง?”]

“พวกเขาสบาย—-”

ทันใดนั้นความคิดบางอย่างก็แทรกเข้ามาในหัวทำให้คาร์ลหยุดพูดต่อ จากนั้นเขาก็เริ่มยิ้มออกมา

“องค์ชายพะย่ะค่ะ”

[“หืม?”]

อัลเบิร์กจ้องมาที่คาร์ลซึ่งดูเหมือนจะไม่หงุดหงิดอีกต่อไป

“พระองค์กำลังคิดว่า..อาจมีสมบัติซุกซ่อนอยู่ในวิหารใช่หรือไม่พะย่ะค่ะ?”

[“แล้วเจ้าไม่คิดแบบนั้นหรือ?”]

แน่นอนว่าเขาคิด คาร์ลค่อนข้างมั่นใจว่าอาจมีบางอย่างซุกซ่อนเอาไว้ นี่คือสัญชาตญาณของเขาในฐานะที่อ่านนิยายแฟนตาซีมาหลายปี

วิหารพระเจ้าแห่งแสงตะวันสามารถตั้งตระหง่านในฐานะที่เป็นคริสตจักรอย่างเป็นทางการของจักรวรรดิมานานหลายร้อยปี พวกเขาอาจถูกบังคับให้ซ่อนสมบัติล้ำค่าบางส่วนเอาไว้ในวิหารเพราะฝ่ายจักรวรรดิไม่ได้วางระเบิดทำลายอาคารทั้งหมดของวิหารพระเจ้าแห่งแสงตะวัน

ราอนซึ่งนั่งฟังอยู่มุมห้องตะโกนเข้ามาในหัวของคาร์ล

~ มนุษย์!มนุษย์!..พวกเรากำลังจะตามล่าหาสมบัติกันงั้นเหรอ?ดี!..ข้าเก่งเรื่องล่าขุมทรัพย์ยิ่งนัก!~

รอยยิ้มของคาร์ลกว้างขึ้นเรื่อยๆ

แม้ว่านักบวชแจ็คจะซื่อเกินไปและฮันนาห์เองก็รู้สึกติดลบกับวิหาร

‘อย่างน้อย..พวกเขาก็ต้องรู้จักห้องลับต่างๆของวิหารบ้างล่ะน่า’

คาร์ลได้ยินเสียงของอัลเบิร์กลอดเข้ามาเมื่อกำลังคิดเรื่องต่างๆอยู่ในหัว

[“50/50….ข้าขอส่วนแบ่งเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น”]

สายตาของคาร์ลพุ่งไปที่อัลเบิร์กทันที

[“ข้าเป็นคนใจกว้าง..เจ้าก็รู้ดีนี่”]

“พระองค์จะนำสมบัติไปไว้ที่พระตำหนักส่วนพระองค์หรือพะย่ะค่ะ?”

[“ข้าจะแลกเปลี่ยนมันเป็นเงินสด…ก็ตั้งแต่ที่เอาเงินไปซื้อยาพวกนั้น…เงินส่วนตัวของข้าก็เหลือน้อยเต็มที”]

เสียงของราอนดังเข้ามาในหัวคาร์ลอีกครั้ง

~ มนุษย์!.เจ้ากับองค์ชายรัชทายาทมีรอยยิ้มแบบเดียวกันเลย..เจ้ากำลังจะหัวเราะแบบนั้นอีกครั้ง!~

คาร์ลลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ไม้พลางเอ่ยถาม

“เมื่อไหร่พะย่ะค่ะ?”

[“ช่วงเดือนธันวาคม..ฝ่ายจักรวรรดิอยากให้พวกเราร่วมฉลองวันสิ้นปีกับพวกเขาด้วย..ข้าเดาว่าพวกเขาคงอยากอวดความมั่งคั่งที่พวกเขามีกระมัง”]

“ความมั่งคั่ง?..ตอนนี้จักรวรรดิไม่ได้ซ่อนสถานะที่แท้จริงของพวกเขาแล้วหรือพะยะค่ะ?”

จักรวรรดิไม่ได้ซ่อนความแข็งแกร่งและอำนาจของพวกเขาไว้ รวมถึงการเล่นแร่แปรธาตุเช่นกัน พวกเขาไม่ปกปิดมันเป็นความลับอีกต่อไปแม้กำลังจะทำสงครามกับฝ่ายทูนก้าอยู่ แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องตลกแม้แต่นิดเดียว

[“ถึงอย่างไร..เราก็จะเดินทางไปที่นั่นในช่วงเดือนธันวาคม”]

ซึ่งตอนนี้อยู่ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนและอยู่ในช่วงต้นฤดูหนาว หมายความว่าเขามีเวลาเตรียมตัวไม่นานนัก คาร์ลเตรียมปิดอุปกรณ์เวทย์สื่อสารและเอ่ยคำลาแก่อัลเบิร์ก

“แล้วหม่อมฉันจะรีบไปเข้าเฝ้าพระองค์ที่เมืองหลวงพะย่ะค่ะ”

อย่างที่คาดไว้อัลเบิร์กรีบปิดสัญญาณทันทีที่ได้รับคำตอบตกลงกลายๆของคาร์ล องค์ชายอัลเบิร์กผู้นี้ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ

.

.

.

คาร์ลรีบเดินทางกลับไปยังอาณาเขตของตนเร็วกว่าคนอื่นๆในกลุ่ม มีเพียงราอนและเชวฮันเท่านั้นที่กลับมาพร้อมเขา

ตอนนี้เขาเข้ามาพบกับเคานต์เดอรัชในห้องทำงานส่วนตัวในคฤหาสน์เฮนิตัส เขาไม่ได้มาที่สักพักใหญ่แล้ว

“ท่านพ่อ”

“ว่าอย่างไร?”

เคานต์เดอรัชไม่สามารถหยุดยิ้มได้หลังจากพบหน้าบุตรชายของตนเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน เคานต์เดอรัชเชื่ออย่างสนิทใจว่าคาร์ลพักอยู่ในหมู่บ้านแฮร์ริสอย่างสงบ จนกระทั่งได้รับคำสั่งจากองค์ชายรัชทายาทให้เข้าร่วมเดินทางไปยังจักรวรรดิ

“ท่านพ่อคือลูก—”

“ค่อยๆพูดสิคาร์ล..ใจเย็นๆ”

มีเหตุผลที่คาร์ลต้องรีบกลับมาก่อน

“ลูกมีแผนที่จะนำคนที่ลูกรู้จักมาอาศัยในอาณาเขตของเราขอรับ”

คนที่เขารู้จัก

เขาสามารถพูดถึงเผ่าเสือได้อย่างเป็นธรรมชาติ มันจะเป็นสิ่งที่ยุ่งยากและน่ารำคาญใจเกินไปในการซ่อนพวกเขาไว้ในป่าแห่งความมืดเพราะจำนวนและขนาดของประชากรในเผ่า

เคานต์เดอรัชมองใบหน้าที่จริงจังของคาร์ลก่อนเอ่ยถาม

“มากันกี่คน?”

“ประมาณ20คนขอรับ….พวกเขามีฐานะยากจนที่ขาดทั้งเงินและบ้าน..ลูกสงสารพวกเขายิ่งนัก”

“พวกเขาเป็นครอบครัวใหญ่งั้นรึ?”

“ขอรับ”

“อืมมมม”

เคานต์เดอรัชเริ่มคิด

ต้นฤดูหนาวมักจะมีคนไร้บ้านออกเร่ร่อนไปทุกพื้นที่ เขาแน่ใจว่ากลุ่มคนเหล่านี้อาจเป็นชาวบ้านที่ไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรในช่วงฤดูใบไม้ร่วงจึงพากันออกมาตายเอาดาบหน้า

“ในกลุ่มของพวกเขานอกจากจะมีผู้ใหญ่แล้ว..ยังมีเด็กและคนแก่ด้วยขอรับ”

คิ้วของเคานต์เดอรัชยิ่งขมวดเป็นปมกว่าเดิม เขาเริ่มคิดอย่างลึกซึ้งหลังจากได้ยินสิ่งที่คาร์ลเอ่ย เขากำลังคิดว่ากลุ่มคนที่น่าสงสารเช่นนี้จะสามารถทนความหนาวเย็นในขณะที่มองหาบ้านหลังใหม่ได้อย่างไรกัน?

เคานต์เดอรัชยกน้ำชาขึ้นจิบเพื่อสงบสติอารมณ์ เขามองไปที่คาร์ลหลังจากน้ำชาอุ่นๆช่วยให้ผ่อนคลายลงเล็กน้อย เขาเข้าใจดีว่าทำไมลูกชายของตนจึงอยากช่วยเหลือกลุ่มคนเหล่านี้ให้มีบ้านอยู่เป็นเพราะคาร์ลเป็นคนที่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อต่อคนอื่นอยู่เสมอ

คาร์ลมองปฏิกิริยาของเคานต์เดอรัชก่อนจะเริ่มพูดด้วยเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความเวทนาต่อผู้อื่น

“ท่านพ่อ..นั่นคือสาเหตุที่ลูกอยากให้พวกเขาย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่หมู่บ้านแฮร์ริส”

มันต้องเป็นการตัดสินใจของผู้ปกครองอาณาเขตว่าจะให้ผู้อาศัยรายใหม่ย้ายเข้ามาในอาณาเขตของตนได้หรือไม่? คาร์ลรู้สึกกังวลเพราะเขาไม่ได้พาเข้ามาเพียงคนเดียวแต่มีสมาชิกถึง20คนที่จะย้ายเข้ามาในอาณาเขตเฮนิตัส

‘แต่ฉันมั่นใจว่าเขาจะอนุญาต’

ด้วยบุคลิกและนิสัยใจคอของเคานต์เดอรัช เขาจะไม่มีทางปฏิเสธเรื่องนี้เป็นอันขาด

ผ่านไปชั่วอึดใจเคานต์เดอรัชก็เริ่มพูด

“คงเป็นไปได้ยาก”

คาร์ลชะงัก

“อะไรนะขอรับ?”

เขาไม่ได้คาดหวังว่าเคานต์เดอรัชจะปฏิเสธแต่ยังไม่ทันที่คาร์ลจะได้พูดสิ่งใดต่อ เคานต์เดอรัชก็ชิงเอ่ยขึ้นก่อน

“หมู่บ้านแฮร์ริสตั้งอยู่ทางเหนือสุดของอาณาเขต..ซึ่งเราคาดว่าพันธมิตรทางตอนเหนือจะเคลื่อนทัพมาในช่วงฤดูใบไม้ผลิ”

เคานต์เดอรัชรู้ดีว่าตัวเองเป็นคนเห็นแก่ตัวแต่เขาก็ยังคงมีเมตตาต่อชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในอาณาเขตของตน

“ด้วยสิ่งนี้พ่อจึงคิดที่จะอพยพชาวบ้านที่อาศัยอยู่ทางเหนือทั้งหมดไปยังที่อื่นก่อนจะเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ผลิ..เราไม่สามารถให้พวกเขาอาศัยอยู่ในที่อันตรายแบบนั้นได้”

แกร๊ก!