บทที่ 129 แต่งงานกันก็ดี

Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว

บทที่ 129 แต่งงานกันก็ดี

บทที่ 129 แต่งงานกันก็ดี

ลู่เฉินไม่ได้พูดอะไร หัวหน้าแผนกพูดต่อ “ยังมีอีกเรื่องครับ ฮันเอินจีกดถูกใจข้อความล่าสุดในเวยป๋อของเหอมี่มี่ หลังจากการซุบซิบในอินเทอร์เน็ต ฮันเอินจีก็ยกเลิกการกดถูกใจอย่างรวดเร็ว แต่มีชาวเน็ตจำนวนไม่น้อยที่บันทึกหน้าจอเอาไว้ทัน”

ฮันเอินจีเป็นอาจารย์ในรายการวาไรตี้ 22 วันปั้นดาว ซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมในการมุ่งเน้นและชี้นำเป็นอย่างมาก

ทันใดนั้นสุ่ยเวยก็ฉุกคิดขึ้นมาและเข้าใจในทันทีถึงสาเหตุที่ฮันเอินจีเข้าร่วมในเรื่องราวพวกนี้ ความขัดแย้งที่ใหญ่ที่สุดระหว่างฮันเอินจีกับซูโย่วอี๋ก็คือลู่เฉิน

“บนเวยป๋อของเหอมี่มี่พูดเกี่ยวกับเรื่องอะไร?”

หัวหน้าแผนกมองท่านประธานและพูดขึ้น “ประโยคง่าย ๆ อย่างไม่โทษเฉินเฉิน ไม่โทษซูโย่วอี๋ ถ้าจะโทษก็โทษตัวเอง มันเป็นความผิดของฉันเอง”

คำพูดพวกนี้ คนที่อยู่ในเหตุการณ์ไม่มีใครที่ไม่รู้ความหมายนัย ๆ ของมัน

หากไม่โทษใครจริง ๆ เหอมี่มี่ก็คงไม่พูดถึงชื่อของเฉินเฉินและซูโย่วอี๋ออกมา ในเมื่อพูดขึ้นมาแล้วก็ทำให้เห็นแล้วว่าความโชคร้ายในตอนนี้ของเธอต้นเหตุมาจากทั้งสองคน

ประเด็นคือฮันเอินจียังมากดถูกใจอีก!

นี่มันหมายความว่ายังไง?

สิ่งที่เหอมี่มี่พูดถูกต้อง? ซูโย่วอี๋เข้ามาแทรกแซงจริง ๆ?

หัวหน้าแผนกขอคำแนะนำอย่างระมัดระวัง “ประธานลู่ ตอนนี้พวกเราควรทำยังไงดีครับ?”

ลู่เฉินวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ ท่าทางไม่ได้เปลี่ยนไปมาก “เรียกกู่อวี๋เฉิงมา”

รอคนมาจนครบ เขาถึงเริ่มแบ่งงานให้

“สี่เรื่อง เรื่องที่หนึ่งติดต่อสำนักงานมหาวิทยาลัยฮิลเบิร์ตในประเทศจีน พวกเราไม่ขอแทรกแซงการตัดสินใจที่จะตัดสิทธิ์การเข้าร่วมประเมินของซูโย่วอี๋ แต่ขอให้พวกเขาลบประกาศออกจากหน้าเว็บไซต์เดี๋ยวนี้”

เดิมทีการตัดสินใจนี้ก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสาธารณชนอยู่แล้ว พูดตามเหตุผลมหาวิทยาลัยสามารถส่งประกาศนี้ให้ซูโย่วอี๋โดยตรงได้ และไม่ควรป่าวประกาศเช่นนี้ การประกาศในสถานการณ์แบบนี้เท่ากับว่ามีเจตนาดึงดูดความสนใจ

“เรื่องที่สอง ติดต่อฮันเอินจี ให้เธอชี้แจงลงบนเวยป๋อ ต้นฉบับการชี้แจงให้พวกเราเขียนให้เสร็จก่อนแล้วค่อยส่งให้เธอ”

สุ่ยเวยขมวดคิ้ว “เธอจะยอมเหรอคะ?”

ลู่เฉินยกยิ้มขึ้น “เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พวกคุณต้องคิดกันเอาเอง ผมต้องการแค่ผลลัพธ์”

“เรื่องที่สาม การพิจารณาคดีวางยาของฉูรั่วฮวนจะเกิดขึ้นในวันนี้ ติดต่อนักข่าวรายใหญ่เพื่อไปรายงาน”

เพื่อลดผลกระทบให้กับตระกูลฉู เรื่องพวกนี้ต้องแอบดำเนินการ ถ้าไม่ใช่เพราะซูโย่วอี๋ถูกผลักให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่รุนแรงเช่นนี้ ลู่เฉินก็คงไม่มีทางยอมเปิดเผย

ที่ทำแบบนี้ เพียงเพื่อต้องการระงับผลกระทบในเรื่องของซูโย่วอี๋

“สุดท้าย ส่งคนไปติดตามเหอมี่มี่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง และบันทึกทุกเรื่องที่เธอทำ”

แจกแจงงานเสร็จ ทุกคนแยกย้ายกันไปจากห้องทำงาน ส่วนลู่เฉินไม่ได้จัดการกับงานต่าง ๆ ตามปกติแต่กลับมัวแต่เล่นโทรศัพท์ และดูความคิดเห็นต่าง ๆ ของชาวเน็ต

ลู่เฉินรู้ดีว่าต่อให้ทำเรื่องพวกนั้นแล้ว ชื่อเสียงของซูโย่วอี๋ไม่มีทางกลับไปเหมือนตอนแรกได้

แต่ตราบใดที่เทียนฉีเอนเทอร์เทนเมนต์ยืนเคียงข้างซูโย่วอี๋อย่างมั่นคง มันจะค่อย ๆ ดีขึ้น

ลู่เฉินแค่… ทนไม่ได้ที่เห็นเธอถูกชาวเน็ตมากมายรุมโจมตี

แค่คิดว่าเธอจะต้องอยู่ในบ้านคนเดียวและร้องไห้ลำพัง ลู่เฉินก็รู้สึกไม่สบายใจเลยแม้แต่น้อย

หากสามารถให้ซูโย่วอี๋มาอยู่ใกล้ตัวเองได้ เขาจะคอยปกป้องเธออย่างดี และไม่ให้มีใครกล้ารังแกเธออีก

ทันใดนั้นลู่เฉินก็ต้องตกใจในความคิดของตัวเอง

คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าการที่เขาบอกเธอไปว่าเขาชอบเธอนิดหน่อยมันคงไม่ใช่แค่นั้นแล้ว

ถ้าซูโย่วอี๋ยอมเป็นแฟนเขา หรือยอมแต่งงาน… อืม แต่งงานกันก็ดี

ก็ดูเหมือนจะดีนะ

เมื่อคิดได้เช่นนั้น ก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นในแววตาของลู่เฉิน ทั้งตัวของเขาถูกปกคลุมไปด้วยความตื่นเต้นและความตึงเครียดบางอย่างที่อธิบายไม่ได้

เขาไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าซูโย่วอี๋จะมีปฏิกิริยาอย่างไร จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและโทรออกในทันที

เขตหัวซี

ซูโย่วอี๋ที่เพิ่งฝึกฝนท่ายืนอยู่สองชั่วโมง ทั่วทั้งตัวรู้สึกปวดเมื่อยไปหมด

ความเหนื่อยแบบนี้กับความเหนื่อยแบบเคลื่อนไหวนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

นี่เป็นความเมื่อยล้าที่ทำให้กล้ามเนื้อสร้างความทรงจำ!

ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ซูโย่วอี๋มองก็เห็นว่าเป็นลู่เฉิน จึงได้กดรับสายในทันที เธอกังวลว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการค้นหายอดนิยมในอินเทอร์เน็ตในครั้งนี้

[สวัสดีประธานลู่]

[โย่วอี๋ ตอนนี้ผมกำลังออกจากบริษัท หลังจากนี้สิบนาทีลงมาชั้นล่างแล้วไปรอผมที่ประตู ผมมีเรื่องจะคุยกับคุณ]

เสียงของลู่เฉินนิ่งสงบ ฟังดูดี ๆ ก็จะพบว่ามีอาการสั่นเล็กน้อย เพียงแต่ว่าใจของซูโย่วอี๋มีแต่เรื่องงาน เลยเอาแต่คิดว่าเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นอีก สำคัญมากจนถึงขั้นที่ลู่เฉินจะต้องมาหาเธอด้วยตัวเขาเองเลยเหรอ

“ค่ะ”

สุนัขจิ้งจอกได้กลิ่นแปลก ๆ จากโทรศัพท์สายนี้ [ซู่จู่ ลู่เฉินเรียกคุณว่าโย่วอี๋]

และไม่ได้เรียกว่าซูโย่วอี๋

ซูโย่วอี๋ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แต่พอนึกถึงที่ทั้งสองเคยจูบกันแล้ว การเรียกแบบนี้ก็ไม่ได้มีอะไรน่าตกใจหรือแปลกอะไรสักหน่อย

เธออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างง่าย ๆ ก่อนที่จะลงไปชั้นล่างเพื่อเตรียมตัวไปรอลู่เฉินที่ประตู

แต่คิดไม่ถึงว่าเธอเพิ่งออกมาจากประตู กลุ่มฝูงชนแออัดก็มารายล้อมซูโย่วอี๋ทันที และยังพูดจาไม่น่าฟังอีก

“คนชั้นต่ำ”

“ผู้หญิงหลายใจ”

“ไร้ยางอาย”

“ทำลายครอบครัวคนอื่น”

“ตอนนี้เธอเป็นศิลปินไปแล้วยังจะพัวพันกับสามีเก่าไม่เลิกอีก?”

“พวกคุณดูดวงตาเจ้าเล่ห์ของเธอสิ”

ประโยคแต่ละประโยคด่าทอซูโย่วอี๋จนเธอตกใจ และยังถูกผลักจนเกือบยืนไม่ไหว

ซูโย่วอี๋ผลักคนข้างหน้า “ถอยไป”

แต่การต่อต้านนี้กลับทำให้ผู้คนรอบ ๆ ไม่พอใจ “ทุกคนลงมือ พวกเรานั่งรอตั้งนาน ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเจอซูโย่วอี๋ พวกเราต้องฉีกใบหน้าสวย ๆ ของเธอออกเป็นชิ้น ๆ”

เสียงของคนกลุ่มหนึ่งดังขึ้น

เจ้าหน้าที่รปภ. ที่เห็นท่าทางไม่ค่อยดีก็รีบเข้ามาขวางเอาไว้ “เฮ้ย พวกคุณทำอะไร ผมจะแจ้งตำรวจนะ”

แต่ก็ไร้ประโยชน์เพราะฝ่ายตรงข้ามมีจำนวนมากกว่า เขาทำได้เพียงรีบกลับไปยังป้อมรปภ. เพื่อเรียกคนอื่นให้มาช่วย

ผู้หญิงสองสามคนที่อยู่ใกล้ ๆ เอื้อมมือไปจับใบหน้าของซูโย่วอี๋ และแต่ละคนไว้เล็บยาวมาก

ต่อให้ซูโย่วอี๋หลบคนนี้ทัน แต่ก็หลบมือมากมายพวกนี้ไม่ทันแน่ ทันใดนั้นใบหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยรอยแดง และเธอเองก็มีอารมณ์ฉุนเฉียวขึ้นมา และเหวี่ยงใส่คนข้างหน้าไปเหมือนกัน

จากนั้นก็เกิดความวุ่นวายขึ้น

ไม่กี่อึดลมหายใจ ซูโย่วอี๋ถูกผลักจนล้มลงกับพื้น ผู้คนรอบ ๆ ทั้งเตะและต่อย

“ตีมันให้ตาย”

ซูโย่วอี๋เจ็บจนหายใจไม่ออก ทำได้เพียงป้องกันส่วนของศีรษะเอาไว้

ลู่เฉิน ทำไมคุณ…ถึงยังไม่มา

“ถอยไป” เสียงตะโกนจากความโกรธที่ไม่สามารถปกปิดได้ดังขึ้น

พวกคนที่ใช้ความรุนแรงถูกผลักกระเด็น

ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับจากพวกเธอ จากนั้นชายรูปงามคนหนึ่งพยายามหาทางแหวกฝูงชนเข้ามา

รปภ. หลายคนใช้โอกาสนี้วิ่งเข้าไปช่วย “ใครยังกล้าลงมืออีก อย่าหาว่าพวกเราไม่เกรงใจ”

ฝูงชนที่เดิมทีกำลังล้อมรอบอยู่ก็แยกย้ายกันไป

มีเพียงซูโย่วอี๋ที่ขดตัวอยู่บนพื้นอย่างน่าสงสาร สองมือกุมศีรษะเอาไว้ ต้นขาและแขนเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำและบาดแผล

หัวใจของลู่เฉินชาวาบอย่างบังคับไม่อยู่ เขาเดินเข้าไปและกอดเธอไว้ในอ้อมแขน “ไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องกลัว”

เมื่อได้ยินเสียงของลู่เฉิน ซูโย่วอี๋จึงค่อย ๆ เอามือออกจากท่าทางการป้องกันตัว ทันทีที่เธอเห็นลู่เฉิน น้ำตาก็ไหลลงมาและพูดขึ้น “ลู่เฉิน ฉันเจ็บ”

หัวใจของลู่เฉินเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ก่อนที่จะจูบลงบนหน้าผากของเธอเพื่อปลอบโยน

ไม่มีใครคิดว่าการทำแบบนี้มันเหมาะสมหรือไม่

ฝูงชนรอบ ๆ ยังไม่จากไป แค่ยืนอยู่ไม่ไกลและเห็นสถานการณ์ทุกอย่าง แต่ไม่รู้ว่าใครพูดขึ้น

“ผู้หญิงแพศยาสมควรตาย”