กู้เจียวไม่เคยได้ยินมาก่อนและไม่มีความสนใจใคร่รู้ด้วย แต่เซียวลิ่วหลังยังไม่ออกมา นางจำต้องรอเขาอยู่ที่เดิม และจำต้องฟังเด็กสาวพล่ามๆ เล่าเป็นชุดอยู่พักใหญ่ๆ
เซียวลิ่วหลังไปที่หมิงเจียนถังของกั๋วจื่อเจียนโดยที่ไม่ต้องให้ใครนำทาง เขาคุ้นเคยกับเส้นทางดี
ท่าทางที่เขาถือไม้เท้าเรียกสายตาจากบัณฑิตคนอื่นๆ อยู่ไม่น้อย เขายืดหลังตรง เดินผ่านท่ามกลางสายตาที่หลากหลายกลุ่มใหญ่มาอย่างสุขุมเยือกเย็น
หมิงเจียนถังเป็นสำนักวิชาการของกั๋วจื่อเจียน ทุกๆ วันจะมีขุนนางฝ่ายวิชาการและบรรดาขุนนางด้านการศึกษามาที่นี่เพื่อรอการรายงานตัวของบัณฑิตจากทั่วทุกสารทิศ
วันนี้ที่นั่งประจำอยู่ที่หมิงเจียนถังคือขุนนางด้านการศึกษาแซ่เกาคนหนึ่ง รวมถึงขุนนางฝ่ายวิชาการสองคนที่แซ่หวังกับแซ่สวี่ด้วย
“เอาละ เจ้าตามขุนนางสวี่ไปหอพักก็แล้วกัน เปิดเรียนตั้งปลายเดือนสิบ ยามปกติหากว่างๆ ก็ลองไปเปิดๆ ตำราอ่านที่หอหนังสือดูได้”
“ขอบคุณมากขอรับ”
บัณฑิตต่างถิ่นคนหนึ่งเดินออกจากหมิงเจียนถังตามขุนนางสวี่ไป
ขุนนางเกาหลุบตาลงจัดการเอกสารของบัณฑิตอยู่ “คนต่อไป”
มือเรียวยาวดุจหยกข้างหนึ่งวางเอกสารเข้าเรียนลงตรงหน้าเขา
มือข้างนี้งดงามเสียจนเกินพอดีไปมาก
ขุนนางเกาเงยหน้าขึ้นโดยสัญชาตญาณทันที ผลสุดท้ายถูกดวงหน้าของอีกฝ่ายทำเอาตกตะลึงจนลุกพรวดขึ้น “จี้…”
จี้อะไร
จี้จิ่วรึ
ขุนนางเกาพลันรู้สึกตัวว่าตัวเองทำตัวเหลอหลาเข้าแล้ว เสี่ยวจี้จิ่วตายไปนานแล้ว คนตรงหน้าจะเป็นเขาได้อย่างไร
ทว่ามองในแวบแรกช่างเหมือนมากนัก จึงทำให้เขาเสียกิริยา
หากแต่พอมองดูดีๆ แล้วคล้ายว่าจะไม่ได้เหมือนถึงเพียงนั้น
จี้จิ่วเป็นเด็กหนุ่มที่อ่อนโยนราวกับหยก ในแววตาเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ทำให้รู้สึกราวกับโอบล้อมด้วยลมแห่งวสันตฤดู อีกทั้งใต้ตาข้างขวาของเขายังมีไฝรองน้ำตาแต้มอยู่เม็ดหนึ่งด้วย
คนตรงหน้าไม่มีไฝรองน้ำตาไม่พอ ทั่วทั้งร่างยังไร้ซึ่งกลิ่นอายอ่อนโยนและเปิดเผยตรงไปตรงมาแม้แต่น้อย กระทั่งแววตาเขายังเย็นชาอีกด้วย
ขุนนางเการำคาญที่หมู่นี้ตัวเองเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าเกินไปแล้วจึงได้เกือบจะจำคนผิดเอาเสียได้ เขาตั้งสติอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนนั่งลงหยิบเอกสารฉบับนั้นขึ้นมา “เซียวลิ่วหลัง หมู่บ้านชิงเฉวียนรึ”
แซ่เซียวเหมือนกันเลย
คงไม่ได้เป็นญาติกันหรอกกระมัง
เพียงไม่นาน ขุนนางเกาก็ส่ายหน้าเย้ยหยันตัวเอง
จวนเซวียนผิงโหวจะไปมีญาติอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งได้อย่างไรกัน
ขุนนางเกาเอ่ยว่า “ผลคะแนนของเจ้าไม่เลว เป็นเจี่ยหยวนแห่งโยวโจว ถูกรับเข้าศึกษาโดยตรง วันที่ยี่สิบเจ็ดเดือนสิบเปิดเรียนอย่างเป็นทางการ พอเปิดเรียนแล้วจะมีการสอบรวมเพื่อแบ่งห้อง อย่าได้ลำพองใจในตัวเองเพราะสอบได้เจี่ยหยวนล่ะ เจี่ยหยวนที่กั๋วจื่อเจียนมีมากมายถมเถ เพียงไม่นานเจ้าก็จะพบว่าตัวเองเป็นแค่คนคนหนึ่งที่ธรรมดาๆ ไม่โดดเด่นอะไร ระยะนี้ก็อย่าได้เที่ยวเตร่ไปทั่ว ขลุกอยู่ในหอหนังสืออ่านตำราเยอะๆ เข้า เข้าใจหรือไม่”
ปากเอ่ยวาจาโจมตีเซียวลิ่วหลัง ทว่าเมื่อครู่เขากลับไม่ได้กำชับสั่งมากมายเท่านี้กับหลิ่นเซิงที่ถูกแนะนำจากท้องถิ่นคนนั้น เห็นได้ชัดว่าเขาให้ถูกใจเจี่ยหยวนคนนี้เข้าแล้ว
ทว่าเขาก็เห็นมานักต่อนักแล้วเช่นกัน มีไม่น้อยที่ครองที่หนึ่งของท้องถิ่น พอมากั๋วจื่อเจียนกลับโดนคนอื่นดันตกอันดับไป
เขายังคงหวังว่าจะสามารถตักเตือนอีกฝ่ายได้ อย่างไรเสียหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งสามารถมีคนสอบเจี่ยหยวนได้นั้นช่างหาได้ยากยิ่ง
ขุนนางเกาตั้งใจจะจัดให้เซียวลิ่วหลังพักอยู่ที่หอพักเดียวกับพวกเจี่ยหยวนคนอื่น แต่ถูกเซียวลิ่วหลังปฏิเสธไปว่า “ข้าพักอยู่ข้างนอกขอรับ”
“เพราะเหตุใดกัน” ขุนนางเกาฉงน “หอพักไม่ได้เก็บเงินเจ้าเสียหน่อย เจ้าอยู่ที่กั๋วจื่อเจียนยิ่งสามารถเล่าเรียนได้อย่างสบายใจกว่า เมืองหลวงงดงามตระการตา เด็กหนุ่มยากจนไม่เคยเห็นโลกอย่างเจ้าน่ะจะหลงมัวเมาได้ง่าย”
ขุนนางเกาเป็นคนที่ปากร้ายไม่ไว้หน้าใคร มิฉะนั้นแล้วเขามาอยู่ที่กั๋วจื่อเจียนตั้งนานนมเพียงนี้คงไม่เป็นได้เพียงแค่ขุนนางเล็กๆ คนหนึ่งอยู่อย่างนี้หรอก
ทว่าจิตใจเขาไม่ได้เลวร้ายเลยจริงๆ
เซียวลิ่วหลังเอ่ยอย่างเรียบนิ่งว่า “ไม่ส่งผลกะทบต่อการเล่าเรียนหรอกขอรับ”
ขุนนางเกาถอนหายใจ “เช่นนั้นก็ตามใจ เจ้าไม่พักที่กั๋วจื่อเจียนก็ต้องมาเอาป้ายห้อยเอวด้วยตัวเองในอีกสามวันนะ”
กั๋วจื่อเจียนมีอาหารและที่พักให้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทว่าไม่อาจบังคับให้เหล่าบัณฑิตมากินอยู่หลับนอนที่นี่ได้
ขุนนางเกามองแผ่นหลังเซียวลิ่วหลังห่างออกไป ก่อนจะส่ายหน้าไปมา “น่าเสียดายนัก”
คล้ายว่าได้คาดคิดไปแล้วว่าเซียวลิ่วหลังจะถูกความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวงทำให้หลงใหล ปล่อยให้ตัวเองตกต่ำ ผลการเรียนตกลงย่ำแย่เป็นพันจั้งตั้งแต่นี้ไป
เมื่อเซียวลิ่วหลังเดินออกมาจากกั๋วจื่อเจียนมา ปัญญาชนน้อยที่พล่ามโม้ฉอดๆ ไม่หยุดคนนั้นก็ถูกคนในครอบครัวหาเจอ แล้ววิ่งจากไปไม่ทิ้งฝุ่น
กู้เจียวมองไปยังเขา “จัดการเสร็จแล้วหรือ”
เซียวลิ่วหลังพยักหน้า “อืม อีกสามวันมาเอาป้ายห้อยเอวของกั๋วจื่อเจียน”
ทั้งสองเดินเคียงไหล่กันกลับบ้าน
ระยะทางนั้นใกล้มาก ออกมาจากกั๋วจื่อเจียนเดินไปไม่กี่ก้าวแล้วเลี้ยวทีหนึ่งก็เข้ามาในตรอกที่พวกเขาพักอยู่แล้ว พวกเขาพักอยู่กลางตรอกพอดี
บ้านเรือนภายในตรอกไม่ได้มีคนพักอยู่ทุกหลัง สภาพแวดล้อมยังนับว่าสงบเงียบอยู่ไม่น้อย
“สะดวกกว่าตอนอยู่ที่หมู่บ้านแล้วไปเรียนอีก” กู้เจียวยิ้มเอ่ยขึ้น
เซียวลิ่วหลังส่งเสียงอืมคำหนึ่ง เอ่ยว่า “ตอนบ่ายข้าจะไปดูโรงเรียนให้กู้เหยี่ยนและเสี่ยวซุ่น เสี่ยวจิ้งคงก็ไปสอบชั้นเด็กเล็กที่กั๋วจื่อเจียน สอบช้ากว่าข้าไปสองวัน”
กู้เจียวอมยิ้มพลางพยักหน้า “เอาสิ แล้วแต่เจ้าเลย”
สนทนากันเพียงไม่กี่ประโยคก็มาถึงบ้านแล้ว กู้เจียวพอใจกับเรือนหลังนี้เป็นอย่างมาก
ทั้งสองคนเพิ่งจะเข้าไป รถม้าคันหนึ่งก็เลี้ยวจากตรอกขับเข้ามาจอดหน้าเรือนของพวกเขา
คนขับรถดึงบังเหียนแน่น ก่อนจะกระโดดลงจากม้ามาพูดคุยกับทั้งสองว่า “ขอรบกวนถามหน่อย นี่ใช่บ้านของเซียวเจี่ยหยวนหรือไม่”
พอเซียวลิ่วหลังเห็นตราสัญลักษณ์บนรถม้าคันนั้นเข้า แววตาก็พลันเย็นชาขึ้นมามากทีเดียว
กู้เจียวเอ่ยถามว่า “ทำไมหรือ เจ้ามีธุระอะไร”
คนขับรถม้าเอ่ยอย่างเกรงอกเกรงใจว่า “คืออย่างนี้ขอรับ ผู้ดูแลของบ้านข้าทราบมาว่าเซียวเจี่ยหยวนมาที่เมืองหลวงแล้ว จึงตั้งใจให้ข้ามามอบสิ่งของให้จำนวนหนึ่งเป็นพิเศษ ฤดูหนาวของเมืองหลวงมาไวนัก เดือนหน้าก็ต้องเริ่มเผาถ่านแล้ว บนรถล้วนเป็นถ่านเงินชั้นดีทั้งสิ้น รวมถึงผ้าฝ้ายและผ้าไหม ล้วนเป็นสิ่งทอที่อบอุ่นที่สุดทั้งสิ้น พวกท่านดูสิ ข้าน้อยยกของเข้าไปให้ทั้งสองท่านเลยดีหรือไม่”
กู้เจียวมองเซียวลิ่วหลังแวบหนึ่ง
สีหน้าเซียวลิ่วหลังเย็นเยียบดุจคมดาบ
กู้เจียวบอกกับคนขับรถว่า “ไม่ต้องหรอก พวกเราไม่ได้ขาดถ่านเงิน และไม่ต้องใช้ผ้านวมผ้าฝ้ายและไหมเหล่านี้ เอากลับไปให้ผู้ดูแลบ้านเจ้าเถิด”
คนขับรถเอ่ยอย่างลำบากใจว่า “แต่ผู้ดูแลหลิวบอกว่า…”
“ไม่มีแต่ ให้เจ้าเอากลับไปก็เอากลับไปเสีย” กู้เจียวเอ่ยจบอย่างเรียบนิ่งแล้วก็เดินเข้าบ้านไปด้วยกันกับเซียวลิ่วหลัง แถมยังปิดประตูเรือนลงด้วย
สุดท้ายคนรับรถจึงต้องกลับไป
กู้เจียวมองไปยังเซียวลิ่วหลัง “เมื่อวานพวกเราเพิ่งจะย้ายมาที่นี่ มีแค่คนขับรถกับนายหน้าจางของจวนติ้งอันโหวที่รู้ว่าพวกเราพักอยู่ที่ไหน ผู้ดูแลหลิวคนนั้นข่าวคราวไวไม่น้อย”
เซียวลิ่วหลังเอ่ยเสียงนิ่งว่า “ไม่ต้องไปสนใจเขา”
พูดจบก็หันหลังไปห้องหนังสือเพื่อจัดเก็บหนังสือตำรา
กู้เจียวลูบคาง
คงไม่ได้ให้ใครมาคอยจับตาดูหรอกกระมัง
ใครมันจะใจกล้าขนาดที่บังอาจมาจับตาดูคนของนางเสียได้
คนขับรถขับรถม้าออกมาจากตรอกตรงไปยังมุมเลี้ยวอีกด้านหนึ่ง ผู้ดูแลหลิวรออยู่นานมากแล้ว
“เป็นอย่างไรบ้าง” ผู้ดูแลหลิวถาม
คนขับรถบอกว่า “ท่านชายไม่ยอมรับไว้ขอรับ”
ผู้ดูแลหลิวหัวเราะ “ท่านชายผู้นี้ดื้อดึงกว่าที่คิดเสียอีกนะนี่”
คนขับรถถามว่า “ให้บอกท่านโหวหรือไม่ขอรับ”
ผู้ดูแลหลิวแย้มยิ้มจาง “ไม่ต้องหรอก เรื่องเล็กแค่นี้ไม่ต้องไปรบกวนท่านโหวหรอก รอหน่อยแล้วกัน เพียงไม่นานเขาก็จะพบว่าบัณฑิตผู้ยากจนมาอยู่ที่เมืองหลวงมันยากลำบากเพียงใด รอให้วันนั้นมาถึงเขาก็จะกลับจวนมาเสียแต่โดยดีเอง”
พวกหญิงชราพอได้นอนก็นอนยาวมาถึงเที่ยงจริงๆ ยามที่กู้เจียวกับเซียวลิ่วหลังเข้าเรือนมาพวกกู้เหยี่ยนสามคนก็กำลังนั่งยองๆ อยู่ข้างบ่อน้ำอาบน้ำอาบท่ากันอย่างไร้ชีวิตชีวาอยู่
ละแวกตรอกมีบ่อน้ำสาธารณะอยู่ แต่ในตรอกก็มีบ่อน้ำอยู่บ่อหนึ่ง พวกเขาจะได้ไม่ต้องไปหาบน้ำมาจากด้านนอก
ข้าวต้มที่ห้องครัวต้มสุกแล้ว กู้เจียวอุ่นซาลาเปาให้ร้อนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วผัดหน่อไม้ฝอยใส่เห็ดหูหนูดำอีกจาน ถั่วงอกผัดผักอีกจาน รวมถึงกุยช่ายผัดไข่อีกชุดใหญ่
เสี่ยวจิ้งคงกินไข่ไม่ได้เหมือนกัน กู้เจียวจึงตุ๋นน้ำแกงถั่วเปื่อยให้เขาหม้อเล็กๆ
แม้ว่าอาหารของเสี่ยวจิ้งคงจะเรียกว่าเป็นมังสวิรัติ แต่การจัดจานและภาชนะอาหารประณีตเสียยิ่งกว่าอาหารอื่นๆ อีก เขาให้กู้เจียวทำเป็นแบบที่เขากินไม่ได้
เสี่ยวจิ้งคงอวดอาหารของตัวเองอย่างน่าหมั่นไส้เป็นพิเศษ อันที่จริงคนครึ่งโต๊ะก็ไม่ได้หิวโหย แต่ทุกคนกลับทำท่าทางอิจฉาเขากันทั้งโต๊ะ
หลังจากกินข้าวเรียบร้อยแล้ว เสี่ยวจิ้งคงก็ไปล้างชามน้อยๆ ของตัวเองอย่างลำพอง
นี่เป็นความเคยชินที่ฝึกฝนมาจากที่วัด ชามของตัวเองก็ต้องล้างเอง
คนอื่นๆ ก็ไม่ได้ว่างงาน หญิงชราไปเก็บข้าวโพด กู้เหยี่ยนมานั่งเก็บข้าวโพดด้วยกันกับนาง พวกเขาเป็นคนที่ใช้แรงงานกันได้น้อยที่สุดในบ้าน เพราะเคยเป็นคนที่ชีวิตอยู่ดีกินดีกันมาก่อน แต่ก็ยังคงแบ่งเบาภาระที่บ้านเท่าที่จะทำได้โดยไม่เหนือบ่ากว่าแรง
กู้เสี่ยวซุ่นไปผ่าฟืน
เซียวลิ่วหลังเก็บกวาดห้องครัว ส่วนกู้เจียวเก็บกวาดลานบ้านสองแห่งรอบหนึ่ง
นางเคยคิดไว้แล้วว่าลานหนึ่งใช้ปลูกผักและเลี้ยงลูกเจี๊ยบลูกหมา อีกลานหนึ่งใช้ทำกิจกรรมของคนภายในบ้าน ด้านหลังมีต้นกุ้ยอยู่ต้นหนึ่งพอดี เสี่ยวจิ้งคงสามารถปีนต้นไม้ฝึกวรยุทธ์ได้
กู้เจียวถือจอบไปพลิกหน้าดินตรงหน้าลานบ้าน
เสี่ยวจิ้งคงเดินนำลูกเจี๊ยบมาหา “เจียวเจียว ข้าพาลูกเจี๊ยบไปเดินเล่นนะ!”
“เอาสิ” กู้เจียวพยักหน้า “อย่าเดินไปไกลมากนะ”
“อื้อ!” เสี่ยวจิ้งคงรับคำ
เมื่อก่อนตอนอยู่ที่หมู่บ้านเสี่ยวจิ้งคงพาลูกเจี๊ยบไปเดินเล่นก็เดินตั้งแต่หน้าหมู่บ้านยันท้ายหมู่บ้าน พอมาที่นี่เขาตัดสินใจว่าจะเดินจากหน้าตรอกไปท้ายตรอก
ลูกหมาของกู้เหยี่ยนรู้สึกอิจฉามาก มันก็อยากออกไปเดินเล่นบ้างเหมือนกัน
จนใจที่เจ้าของมันเกียจคร้านจะตายชัก เก็บข้าวโพดเสร็จก็นอนบนเก้าอี้หวายเป็นศพเลย
ลูกหมาสะบัดตูดใส่ วิ่งดุ๊กดิ๊กออกไปกับเสี่ยวจิ้งคงแล้ว
เสี่ยวจิ้งคงพาลูกเจี๊ยบทั้งเจ็ดตัวกับลูกหมาน้อยอีกหนึ่งไปถึงหน้าตรอกเตรียมจะเลี้ยวกลับ ในขณะนั้นเอง ขอทานสองคนในละแวกนั้นก็จ้องหมาของเขาเขม็ง
ลูกหมาไม่ใช่หมาน้อยติดนมอยู่เดือนแล้ว มันโตจนอวบอ้วนขึ้น เนื้อตุ้ยนุ้ยจ้ำม่ำ ดูแล้วเนื้อน่าจะทั้งสดทั้งนุ่มมากทีเดียว
น้ำลายขอทานไหลย้อยติ๋งๆ ลงมา ทั้งสองคนส่งสายตาให้กัน หนึ่งในนั้นล้วงเอาซาลาเปาเนื้อออกมาจากอก บิดออกครึ่งหนึ่งแล้วโบกไปทางเจ้าหมาน้อย
หมาตัวนี้ค่อนข้างโง่เขลานัก มันตกหลุมพรางเข้าทันที!
มันวิ่งส่ายตูดดุ๊กดิ๊กมาหา ทันใดนั้นก็ถูกคนคลุมกระสอบโดยพลัน
“บ๊อก…” เจ้าหมาน้อยเห่าขึ้น
เสี่ยวจิ้งคงหันหน้ากลับมา “เอ๋ เสี่ยวปาล่ะ”
ถูกแล้ว เสี่ยวจิ้งคงตั้งชื่อให้หมาของกู้เหยี่ยนว่าเสี่ยวปา
ขอทานจับหมาเสร็จก็จ้องไก่ของเสี่ยวจิ้งคงต่อ
ไก่เจ็ดตัวเลยนะ!
กินไปได้หลายวันเลยล่ะ!
ขอทานใช้แผนการเดิมอีกครั้ง เอาซาลาเปาเนื้อมาล่อไก่ แต่ไก่ทั้งเจ็ดตัวกลับไม่ขยับ
ขอทานสองคนจึงเข้าไปจับมันเสียเลย เสี่ยวจิ้งคงที่เป็นเด็กน้อยวัยสามขวบคนหนึ่ง ไม่มีใครมาสนใจเขา และไม่มีใครสนใจไก่ที่ยังไม่โตเต็มวัยทั้งเจ็ดตัวด้วย!
ทว่าในชั่วขณะที่ทั้งสองคนโผเข้าไปนั้นเอง ลูกเจี๊ยบทั้งเจ็ดตัวพลันกระพือปีกพร้อมกับกระโดดบินขึ้นอย่างแรง
พวกมันไม่ใช่ลูกเจี๊ยบตัวน้อยที่แม้กระทั่งธรณีประตูก็กระโดดข้ามไม่ได้อีกต่อไปแล้ว พวกมันสามารถกระโดดตัวขึ้นสูงถึงครึ่งตัวคน และขอทานสองคนนั้นดันเตี้ยพอดี ลูกเจี๊ยบทั้งเจ็ดจึงกระโดดพรวดไปบนไหล่พวกเขา ก่อนจะเริ่มจิกศีรษะของพวกเขาระลอกหนึ่ง!
“อ้าก”
ขอทานสองคนส่งเสียงร้องโหยหวนขึ้น!
กระสอบที่ใส่เจ้าหมาน้อยอยู่ตกลงมาจากบนร่างของขอทานคนแรก
เสี่ยวจิ้งคงวิ่งตึงตังไปหา ก่อนจะเปิดกระสอบออก “เสี่ยวปา”
เสี่ยวปาถูกคนเอากระสอบคลุม เสี่ยวปาโมโหมาก เสี่ยวปาตัดสินใจโต้คืน!
เสี่ยวปาแยกเขี้ยวกว้าง งับลงไปคำหนึ่ง…
“เอ๋ง”
มันกัดหางของตัวเองเข้า
เสี่ยวจิ้งคงปิดตา เขาไม่อยากจะดูแล้ว
ขอทานสองคนถูกลูกเจี๊ยบทั้งเจ็ดจิกเสียจนล้มลงกับพื้น ก่อนจะสาวเท้าเผ่นแนบ
ลูกเจี๊ยบทั้งเจ็ดกระพือปีกพั่บๆ ตามพวกเขาสองคนไปจนถึงครึ่งถนน จนกระทั่งเสี่ยวจิ้งคงเรียกพวกมันจึงได้กลับมาอย่างองอาจ
ทว่าในชั่วขณะที่พวกมันกำลังวิ่งผ่านถนนนั้นเอง รถม้าคันหนึ่งก็ขับควบมา ลูกเจี๊ยบหกตัวข้างหน้าต่างหยุดชะงักกันหมด มีเพียงเสี่ยวชีที่เบรกไม่ทัน
“เสี่ยวชี…”
เสี่ยวจิ้งคงสาวเท้าสั้นๆ พุ่งไปหา
ลูกเจี๊ยบตัวหนึ่งคนขับรถไม่เห็น แต่เด็กคนหนึ่งนั้นเขายังพอจะเห็นได้อยู่บ้าง แต่ว่ารถม้ามาเร็วเกินไป ต่อให้ดึงบังเหียนแน่นก็ไม่ทันอยู่ดี
เมื่อเห็นว่าเด็กคนนั้นจะถูกเกือกม้าเหยียบท้องแตกแล้ว แส้ยาวเส้นหนึ่งสะบัดออกมาม้วนตัวเสี่ยวจิ้งคงไว้ แล้วดึงเขาออกมาโดยพลัน
เกือกม้าเหยียบอากาศ คนขับรถพรูลมหายใจเดินหน้าต่อไป
เสี่ยวจิ้งคงมึนงง พอได้สติขึ้นมาก็มานั่งในอ้อมอกกว้างและเย็นเยียบราวน้ำแข็งเสียแล้ว
เขามองพื้นดินแวบหนึ่ง “สูงมากเลย!”
บุรุษคนนั้นนั่งอยู่บนหลังม้าอาชาไนยตัวสูงใหญ่ สวมชุดไหมสีดำเหลือบแดงตลอดร่าง มือหนึ่งดึงบังเหียน อีกมือถือแส้ม้า มือที่ถือแส้นั้นกำลังงอแขนโอบเสี่ยวจิ้งคงไว้ในอ้อมอก
เสี่ยวจิ้งคงเบิกตาโตมองเขาตาปริบๆ “ขอบคุณขอรับ”
บุรุษคนนั้นมองลูกเจี๊ยบในอ้อมอกเสี่ยวจิ้งคงแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “แค่ไก่ตัวเดียวเท่านั้น ต่อไปอย่าได้ทำเช่นนี้อีก”
“มันชื่อเสี่ยวชี!” เสี่ยวจิ้งคงยื่นลูกเจี๊ยบไปตรงหน้าบุรุษคนนั้น
“พ่อแม่เจ้าล่ะ” บุรุษคนนั้นถาม
เสี่ยวจิ้งคงเป็นเด็กกำพร้า เขาอายุแค่ไม่กี่เดือนก็โดนเอามาทิ้งที่วัดแล้ว แต่เจียวเจียวมีพ่อแม่
เขาครุ่นคิด “พ่อแม่ข้าตายไปแล้ว”
“เป็นเด็กกำพร้ารึ” บุรุษคนนั้นขมวดคิ้ว
เสี่ยวจิ้งคงส่ายหน้าไปมาเหมือนกลองป๋องแป๋ง “ข้ามีเจียวเจียว!”
บุรุษคนนั้นเอ่ยว่า “บ้านเจ้าอยู่ไหนล่ะ”
เสี่ยวจิ้งคงโบกมือชี้ไป “ตรงนั้น!”
บุรุษคนนั้นมาส่งเสี่ยวจิ้งคงกลับถึงบ้าน
พวกกู้เหยี่ยนต่างอยู่ท้ายเรือน หน้าเรือนมีเพียงกู้เจียวคนเดียว นางเพิ่งจะพลิกหน้าดินเสร็จ กำลังใช้ฟืนที่กู้เสี่ยวซุ่นผ่าเมื่อครู่มาทำรั้ว
นางสวมเสื้อผ้าธรรมดาอย่างมากเหมือนตอนที่ทำงานในหมู่บ้าน
“เจียวเจียว! เมื่อครู่ข้าเกือบโดนรถม้าชนเข้าแหน่ะ พี่ชายคนนี้ช่วยข้าไว้!” เสี่ยวจิ้งคงจูงมือบุรุษคนนั้นเดินเข้าลานบ้านมา
กู้เจียววางฟืนในมือลง เงยหน้าชุ่มเหงื่อมองบุรุษคนนั้น
บุรุษคนนั้นรูปร่างสูงใหญ่และกำยำแข็งแรง หน้าตาเคร่งขรึมและแข็งกร้าว มีกลิ่นอายที่ไม่ให้คนอื่นเข้าใกล้
ทว่าไม่รู้ว่าตนรู้สึกไปเองหรืออย่างไร กู้เจียวเอาแต่รู้สึกว่าท่าทางของอีกฝ่ายค่อนข้างคุ้นตา ราวกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน