บุรุษคนนั้นส่งเสี่ยวจิ้งคงกลับบ้านแล้วก็หันหลังจากไปทันที กู้เจียวไม่ทันจะได้ขอบคุณเขาด้วยซ้ำ
กู้เจียวถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเสี่ยวจิ้งคง ในตอนที่ได้รู้ว่าเขาไม่ห่วงความปลอดภัยตัวเองพุ่งตัวออกไปเพื่อช่วยลูกเจี๊ยบตัวหนึ่ง กู้เจียวก็รู้สึกว่าเขาไม่ควรทำเช่นนี้เหมือนกัน
แต่กู้เจียวไม่ได้รีบร้อนแสดงความเห็นออกไป
เสี่ยวจิ้งคงขมวดคิ้วมุ่นเอ่ยว่า “พี่ชายคนนั้นบอกว่าข้าไม่ควรทำแบบนี้ เจียวเจียวก็รู้สึกว่าข้าทำผิดไปหรือ”
กู้เจียวเอ่ยกับเขาว่า “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”
เสี่ยวจิ้งคงยืดอกน้อยๆ ของตัวเองขึ้นพลางเอ่ยว่า “ข้ารู้สึกว่าข้าทำได้ถูกต้องยิ่งนัก! หากคนที่ตกอยู่ในอันตรายคือข้า เจียวเจียวก็จะไปช่วยข้าโดยไม่คิดหน้าคิดหลังและไม่ห่วงความปลอดภัยของตัวเองเหมือนกัน!”
เอาละ กระทั่งสำบัดสำนวนก็โพล่งออกมาแล้ว
กู้เจียวเอ่ยว่า “แต่ว่า เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าถ้าเสี่ยวชีไม่ต้องการให้เจ้าช่วยล่ะ”
“หืม” เสี่ยวจิ้งคงไม่เข้าใจ
กู้เจียวอธิบายอย่างใจเย็นว่า “เสี่ยวชีปราดเปรียวมากนัก ซ้ำตัวก็เล็กจ้อย เกือกม้าเหยียบโดนมันได้ยากมาก แต่เกือกม้าเหยียบโดนเจ้ากลับง่ายดายนัก”
เสี่ยวจิ้งคงพลันกระจ่างแจ้งและตระหนักถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทันที เขาปราดเปรียวสู้เสี่ยวชีไม่ได้!
เสี่ยวจิ้งคงแอบสาบานว่า เขาจะขยันหมั่นเพียรพยายามฝึกยุทธ์ให้มากกว่าเดิม เขาจะกลายเป็นคนที่ปราดเปรียวว่องไว สามารถปกป้องไก่ของเขาได้!
หลายวันต่อมา ท่านโหวกู้กับคนทั้งคณะก็มาถึงเมืองหลวง
การเดินทางโคลงไปเคลงมาในรถม้าอันยากลำบากเดือนกว่าๆ ทำเอาทั้งสามคนโคลงเคลงจนย่ำแย่หมดแล้ว กู้จิ่นอวี้ไม่เคยนั่งรถม้าที่เปลืองแรงขนาดนี้มาก่อน ทั่วทั้งร่างเมื่อยล้าราวกับไม่ใช่ร่างของตัวเองแล้ว
แม่นางเหยากลับไม่ได้พร่ำบ่นอะไร นางรู้สึกโชคดีมากที่ตัวเองนั่งรถม้าคันนี้ มิฉะนั้นหากเป็นเจียวเจียวกับเหยี่ยนเอ๋อร์มาทนความลำบากนี้ละก็ นางคงเจ็บปวดใจมากทีเดียว
“ลำบากเจ้าแล้ว” แม่นางเหยาจูงมือกู้จิ่นอวี้พลางเอ่ยอย่างรู้สึกผิด
กู้จิ่นอวี้เอ่ยเสียงนุ่มว่า “ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ น้องร่างกายไม่แข็งแรง โคลงเคลงเช่นนี้เขาต้องทนไม่ไหวแน่ ข้ามีความสุขมากที่ท่านแม่เอารถม้าให้พี่สาวกับน้องชายนั่ง”
แม่นางเหยาตบหลังมือกู้จิ่นอวี้เบาๆ “ยังคงเป็นเจ้าที่รู้ความ”
ท่านโหวกู้พยุงแม่นางเหยาและกู้จิ่นอวี้ลงจากรถม้า
คนรับใช้ในจวนเห็นท่านโหวกับกู้จิ่นอวี้เข้าก็ต่างยินดีปรีดา พอเห็นแม่นางเหยาข้างกายท่านโหวกลับตกใจกันอย่างอดไม่ได้
แม่นางเหยาพักอยู่ที่หมู่บ้านหุบเขามาเป็นสิบปีแล้วโดยไม่ได้กลับจวนมาสักครั้งเลย พวกบ่าวรับใช้เฝ้ายามไม่รู้จักนางกันเลยสักคน
ท่านโหวกู้เอ่ยเสียงเย็นขึ้นว่า “มัวแต่นิ่งอึ้งกันทำไม ยังไม่รีบมาคำนับฮูหยินกันอีก”
พวกเขาต่างมองหน้าสบตากัน แล้วเดินเข้ามาคำนับให้อย่างมึนงง “คำนับฮูหยิน”
ฮูหยินอะไร
หรือว่าท่านโหวจะเลี้ยงสตรีไว้นอกเมืองหลวง
แม่นางเหยาเลยช่วงวัยที่จะมากระอักกระอ่วนด้วยเรื่องโดนล่วงเกินเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ไปตั้งนานแล้ว อีกทั้งหมู่นี้นางก็ได้ยาแก้อารมณ์ซึมเศร้าที่เจียวเจียวจ่ายให้มาตลอดครึ่งปีนี้ จิตใจและร่างกายล้วนดีมากนัก
ท่านโหวกู้พาแม่นางเหยากับกู้จิ่นอวี้เข้าจวนมา
พวกคนรับใช้ส่งข่าวไปที่เรือนซงเฮ่อของกู้เหล่าฮูหยินล่วงหน้าแล้ว
กู้เหล่าฮูหยินไม่ได้พบลูกชายมากว่าครึ่งปี ดวงใจเอาแต่พะวงหา จึงให้คนไปตามท่านโหวกู้มาที่เรือนซงเฮ่อทันที
ท่านโหวกู้เดิมทีกะจะพาแม่นางเหยาไปคารวะเหล่าฮูหยินวันพรุ่งนี้ แต่เหล่าฮูหยินมาเร่งเสียแล้ว เขาจึงจำต้องเลี้ยวไปทางเรือนซงเฮ่อระหว่างทาง
กู้เหล่าฮูหยินรอคอยที่จะพบหน้าลูกชายด้วยความปรีดาโดยไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย ผลสุดท้ายเห็นแม่นางเหยาที่อยู่ข้างกายลูกชายเข้า รอยยิ้มของกู้เหล่าฮูหยินพลันแข็งค้างทันที
“นางกลับมาได้อย่างไร” กู้เหล่าฮูหยินเอ่ยถามเรียบนิ่ง
กู้จิ่นอวี้กระอักกระอ่วนแทนมารดา
“ท่านแม่!” ท่านโหวกู้มองกู้เหล่าฮูหยินแวบหนึ่ง บ่งบอกว่านางอย่าได้หักหน้าแม่นางเหยาเช่นนี้
กู้เหล่าฮูหยินทำเป็นไม่เห็น
แม่นางเหยาคำนับให้อย่างถูกหลักถูกเกณฑ์ “คารวะท่านแม่”
กู้จิ่นอวี้ก็คำนับให้เช่นกัน “คารวะท่านย่า”
กู้เหล่าฮูหยินเดิมทียังพอเอ็นดูกู้จิ่นอวี้อยู่บ้าง ทว่ายามนี้พอแม่นางเหยามานางก็รังเกียจเดียดฉันท์กู้จิ่นอวี้ไปด้วยแล้ว
แม่นางเหยากับกู้เหยี่ยนพักอยู่ที่หมู่บ้านเวินเฉวียนซาน แต่ยามนี้แม่นางเหยากลับมาแล้ว ทว่าไร้ซึ่งเงาของกู้เหยี่ยน นึกไม่ถึงว่ากู้เหล่าฮูหยินก็ไม่คิดจะถามเช่นกัน
นายท่านโหวไกล่เกลี่ยว่า “ท่านแม่ ลูกเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า พรุ่งนี้จะมาคารวะท่านใหม่นะขอรับ”
เขาไม่บอกว่าแม่นางเหยากับกู้จิ่นอวี้เหนื่อยล้า บอกแต่ว่าตัวเองเหนื่อยแล้ว กู้เหล่าฮูหยินยังจะไม่ให้ลูกชายแท้ๆ ไปพักผ่อนได้หรือ
และด้วยสาเหตุที่กู้เหล่าฮูหยินเห็นแม่นางเหยาแล้วขวางหูขวางตา ไม่ใช่เพราะชาติกำเนิดของแม่นางเหยาไม่ดี ส่วนใหญ่นั้นหากแม่นางเหยาอยู่ที่นี่ ลูกชายนางก็จะเหมือนโดนปีศาจครอบงำ ไม่ว่าใครก็ไม่อยู่ในสายตาทั้งนั้น!
ท่านโหวกู้แสร้งทำเป็นดูไม่ออกว่ากู้เหล่าฮูหยินไม่สบอารมณ์ เขายิ้มตาหยีเอ่ยขึ้นว่า “ลูกขอตัวก่อน” แล้วพาแม่นางเหยากับกู้จิ่นอวี้ออกจากเรือนซงเฮ่อไป
ทั้งสามคนเพิ่งจะก้าวข้ามธรณีประตูมา ก็เจอกับสตรีออกเรือนนางหนึ่งในอาภรณ์หรูหราประดับด้วยเพชรพลอยระยิบระยับเข้าโดยบังเอิญ
สตรีออกเรือนนางนั้นมองทั้งสามคนแวบหนึ่ง ในแววตามีความตกใจวาบผ่าน ทว่าเพียงไม่นานก็ย่อกายคำนับอย่างรวดเร็ว “นายท่าน! ฮูหยิน! คุณหนู!”
ท่านโหวกู้ขมวดคิ้ว “อนุหลิง เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่ได้”
สตรีออกเรือนที่ถูกเรียกว่าอนุหลิงแย้มยิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้าเอาน้ำแกงโสมมาให้ท่านแม่เจ้าค่ะ”
เอาน้ำแกงโสมมาให้เหล่าฮูหยินต้องแต่งองค์ทรงเครื่องขนาดนี้เชียวรึ กู้จิ่นอวี้ยังมองออกเลยว่านางมาดักรอท่านโหวกู้ที่นี่
กู้เหล่าฮูหยินแซ่หลิง อดีตโหวฮูหยินคนก่อนเป็นหลานสาวสายตรงของกู้เหล่าฮูหยิน อนุหลิงเป็นน้องสาวสายรองของอดีตโหวฮูหยิน และเรียกได้ว่าเป็นหลานสาวของกู้เหล่าฮูหยิน
ตอนนั้นแม่นางเสี่ยวหลิงล้มป่วยเสียชีวิตไป ท่านโหวกู้ก็แต่งแม่นางเหยาเข้ามาในจวน กู้เหล่าฮูหยินเป็นห่วงว่าท่านโหวกู้ว่าจะได้ใหม่ลืมเก่า ไม่รักใคร่เอ็นดูลูกชายสามคนของอดีตภรรยา จึงได้เสนอให้รับอนุหลิงมาเป็นอนุเอก
ท่านโหวกู้กลับไม่ชอบอนุหลิง แต่กู้เหล่าฮูหยินคอยให้ท้ายอนุหลิง จึงเรียกได้ว่าอนุหลิงมีชีวิตความเป็นอยู่ในจวนที่ดีไม่น้อย
โดยเฉพาะหลังจากที่แม่นางเหยาพากู้เหยี่ยนย้ายไปที่หมู่บ้านนั้น อนุหลิงก็แทบจะกลายมาเป็นฮูหยินตัวจริงของจวนโหวในทันที
ผนวกกับที่นางเป็นน้าของคุณชายทั้งสาม คุณชายทั้งสามจึงสนิทกับนางมากกว่าแม่นางเหยามากนัก
“เช่นนั้นเจ้าเอาไปให้เถิด” ท่านโหวกู้เอ่ยเสียงเรียบพลางพยุงแม่นางเหยาจากไป
วันรุ่งขึ้น แม่นางเหยาอ้างว่าล้มป่วยจึงไม่ไปคารววะกู้เหล่าฮูหยิน
แม่นมฝางโน้มน้าวแม่นางเหยาว่า “เหตุใดฮูหยินต้องทำเช่นนี้ด้วยเจ้าคะ หากทำตามมารยาทธรรมเนียมจนครบถ้วนสมบูรณ์จะได้ไม่เป็นขี้ปากชาวบ้านเอานะเจ้าคะ”
แม่นางเหยายิ้มขื่น “ต่อให้ข้าทำอย่างครบถ้วนสมบูรณ์กว่านี้ก็มีคนมาจับผิดข้าอยู่ดี ข้าไม่ไปต่างหากที่จะทำให้เหล่าฮูหยินไม่รู้สึกขวางหูขวางตา”
ท่านโหวกู้กับกู้จิ่นอวี้มาถึงเรือนซงเฮ่อ
ได้ยินว่าแม่นางเหยาป่วย กู้เหล่าฮูหยินจึงแค่นเสียงเย็นชาว่า “นางไม่อยากมาเจอหน้าข้า!”
ท่านโหวกู้รีบเอ่ยขึ้นว่า “ดูท่านพูดเข้าสิ เหยาเอ๋อร์จะไม่อยากเจอท่านได้อย่างไรกัน ท่านดูสิ ของขวัญเหล่านี้ล้วนเป็นนางที่ตระเตรียมให้ท่านกับมือ! นางเคารพท่านอย่างมาก!”
ของขวัญนั้นแม่นางเหยาเป็นคนเลือกจริง และใช้ความคิดมากมายเสียด้วย แต่แม่นางเหยากลับหาได้ทำเพื่อตัวเอง แต่เพื่อที่กู้เหล่าฮูหยินจะได้ไม่ระบายอารมณ์ไปใส่กู้จิ่นอวี้
กู้เหล่าฮูหยินเบ้ปาก นางไม่ชอบแม่นางเหยา แม่นางเหยาไม่มาก็ดี นางจะได้ไม่รำคาญใจ
“แล้วเหยี่ยนเอ๋อร์ล่ะ” กู้เหล่าฮูหยินถามถึงกู้เหยี่ยนขึ้นมาในที่สุด “เหตุใดเขาจึงไม่มาด้วยกันกับพวกเจ้าล่ะ”
ท่านโหวกู้ไม่กล้าบอกว่ากู้เหยี่ยนมาเมืองหลวงตั้งนานแล้ว เขาแย้มยิ้มเอ่ยว่า “เหยี่ยนเอ๋อร์ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ข้าให้เขามาช้าหน่อย มีหมอติดตามคอยดูแลไว้”
“อืม” กู้เหล่าฮูหยินไม่ถามต่ออีก
ท่านโหวกู้เอ่ยว่า “อีกเดี๋ยวข้าจะพาจิ่นอวี้เข้าวังเสียหน่อย ไปถวายพระพรซูเฟย”
เอ่ยถึงซูเฟยขึ้นมา แววตาที่กู้เหล่าฮูหยินมองไปยังกู้จิ่นอวี้จึงสุภาพอ่อนโยนขึ้นมาไม่น้อย “ก็ดี ท่านอาเจ้าคิดถึงเจ้ามาตั้งนานนมแล้ว ให้คนมาถามที่จวนอยู่ตั้งหลายหน”
กู้จิ่นอวี้ยิ้มอย่างโล่งอก “จิ่นอวี้ก็คิดถึงท่านอาเช่นกันเจ้าค่ะ”
ระหว่างสนทนากัน มีคนรับใช้มารายงานว่าคุณชายรองกับคุณชายสามมาหา
สีหน้าของกู้เหล่าฮูหยินจึงมีความรักใคร่เอ็นดูที่ยากจะปิดบังไว้เผยออกมา
หากพูดถึงว่าใครคือคนที่กู้เหล่าฮูหยินเอ็นดูที่สุด ก็คงไม่พ้นหลานชายสุดที่รักสามคนนี้ ขนาดท่านโหวกู้ที่เป็นลูกชายแท้ๆ ยังไม่ได้รับความสำคัญในสายตานางเท่าบรรดาหลานชายทั้งสามเลย
กู้เฉิงเฟิงกับกู้เฉิงหลินเลิกม่านเดินเข้ามา
“ท่านย่า”
“ท่านพ่อ”
ทั้งสองคนประสานมือคำนับให้
กู้จิ่นอวี้ลุกขึ้นมาคำนับให้พี่ชายทั้งสองคน “พี่รอง พี่สาม”
กู้เฉิงหลินเหลือบมองนางอย่างเรียบเฉย
กู้เฉิงเฟิงเอ่ยว่า “ไม่ต้องมากพิธี”
เอ่ยคำพูดตามมารยาท ทว่าน้ำเสียงกลับห่างเหินมากนัก
กู้จิ่นอวี้ชินชาเสียแล้ว พวกพี่ชายไม่ได้มุ่งเป้าไปที่นาง แต่เป็นท่านแม่ พวกพี่ชายต่างไม่ชอบลูกของท่านแม่สักคน
“พี่ใหญ่ของพวกเจ้าล่ะ เหตุใดจึงไม่เห็นเขาเลย” กู้เหล่าฮูหยินถามขึ้น
กู้เฉิงเฟิงเอ่ยว่า “เมื่อคืนพี่ใหญ่กลับมาดึกมาก เช้าตรู่มาก็ไปค่ายทหารเสียแล้วขอรับ”
หลานชายคนโตแห่งจวนติ้งอันโหวไม่ได้เป็นกันง่ายๆ เขาเป็นผู้สืบทอดของจวนโหว บนบ่าของเขาแบกรับความเจริญรุ่งเรืองและเสื่อมโทรมของจวนโหวเอาไว้ ลำบากเสียยิ่งกว่าลูกคนอื่นๆ
กู้เหล่าฮูหยินรักหลานของตัวเองมาก แต่ก็ไม่อาจดึงเขากลับมาจากค่ายทหารได้เช่นกัน
ท่านโหวกู้เห็นว่าเวลาพอสมควรแล้ว ควรจะเข้าประเด็นเสียที เขาจึงกระแอมขึ้น เอ่ยกับกู้เหล่าฮูหยินว่า “ท่านแม่ ข้ามีเรื่องจะบอกกับท่าน”
“เรื่องอะไรรึ” กู้เหล่าฮูหยินหันมามองเขาอย่างฉงน
ท่านโหวกู้มองกู้จิ่นอวี้ที่อยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง สูดหายใจลึกหนึ่งเฮือก ก่อนเอ่ยอย่างจริงจังว่า “เกี่ยวกับชาติกำเนิดของลูกทั้งสองคนขอรับ”
……
กู้เจียวตกแต่งปรับปรุงบ้านอยู่หลายวัน ในที่สุดก็เรียกได้ว่าลานบ้านสองแห่งซ่อมแซมเรียบร้อยแล้ว นางปลูกหอมหัวใหญ่ กวางตุ้งและกะหล่ำในสวนผักเล็กๆ แล้วปลูกถั่วลันเตาตามที่เสี่ยวจิ้งคงเรียกร้องไว้ด้วย
ในสวนผักเล็กๆ นี้กินพื้นที่แค่ครึ่งลานฝั่งซ้ายเท่านั้น อีกครึ่งที่อยู่ฝั่งขวานั้นกู้เจียวกะว่าจะสร้างรางองุ่น ปลูกน้ำเต้า ฤดูใบไม้ผลิปีหน้าค่อยปลูกองุ่นกับบวบ
เซียวลิ่วหลังไปเอาป้ายห้อยเอวของกั๋วจื่อเจียนมาแล้ว แวะรายงานตัวให้เสี่ยวจิ้งคงด้วยพร้อมสรรพ
ชั้นเด็กเล็กของกั๋วจื่อเจียนก็ใช้ระบบแบ่งห้องตามผลการเรียนและอายุเช่นกัน แบ่งออกเป็นสี่ห้องคือ ฟ้า ดิน ดำ เหลือง นอกเหนือจากสี่ห้องนี้แล้วยังมีห้องพิเศษอีกหนึ่งห้องที่รวบรวมเด็กที่มีพรสวรรค์เหนือชั้นเอาไว้โดยเฉพาะ คล้ายๆ กับห้องเด็กกิฟต์ในชาติก่อนของกู้เจียว
ห้องประเภทนี้เพิ่งจะเปิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง ตอนเซียวลิ่วหลังเด็กๆ จึงไม่เคยได้อยู่
กู้เจียวชะงักการหั่นผักโดยพลัน “เอ๋ กั๋วจื่อเจียนปิดไปหลายปีแล้วมิใช่หรือ ชั้นเด็กเล็กไม่ได้ปิดด้วยหรือ”
เซียวลิ่วหลังเติมฟืนใส่เตา “ชั้นเด็กเล็กของกั๋วจื่อเจียนนั้นในความหมายที่จริงจังแล้วไม่ได้เป็นของกั๋วจื่อเจียนไปเสียทีเดียว ตอนนั้นที่ฝ่าบาทปิดกั๋วจื่อเจียนไม่ได้ตรัสถึงเรื่องชั้นเด็กเล็กแห่งนี้ ชั้นเด็กเล็กเลยสบช่อง เปิดทำการมาจนถึงตอนนี้”
เปิดมาหลายปีแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็นับว่ามีประสบการณ์การสอนเด็กที่มีพรสวรรค์เหล่านี้แล้วล่ะ
กู้เจียวเอ่ยว่า “การสอบเข้านั้นสอบอะไรบ้างหรือ”
เซียวลิ่วหลังเอ่ยว่า “ดูจากการสอบของปีที่แล้วๆ มา จะสอบพวกการอ่านออกเขียนได้ คัมภีร์และคำนวณ”
กู้เจียวส่งเสียงอ้อออกมา “พวกนี้เสี่ยวจิ้งคงไม่มีปัญหา”
“อืม” เซียวลิ่วหลังพยักหน้า
แต่เพื่อความปลอดภัย ทั้งสองคนยังคงใช้เงินไม่น้อยเพื่อซื้อข้อสอบของปีก่อนๆ กลับมาให้เสี่ยวจิ้งคงทำ เสี่ยวจิ้งคงตอบถูกเยอะมาก แต่ดันเขียนช้า ซ้ำยังไม่สวยด้วย น่าเกลียดอย่างมากเลยด้วย!
กิจวัตรประจำวันของเสี่ยวจิ้งคงจึงมีเพิ่มมาหนึ่งรายการคือ ฝึกเขียนพู่กัน
เสี่ยวจิ้งคงไม่เต็มใจยิ่ง เขาสงสัยว่าพี่เขยนิสัยไม่ดีกำลังช่วงชิงความสุขของเด็กน้อยอย่างเขาไป!
เซียวลิ่วหลังเอ่ยกับเขาว่า “เจียวเจียวก็ฝึกคัดอักษรทุกวันเช่นกัน พวกเจ้าฝึกด้วยกันไปเลย”
เสี่ยวจิ้งคงนึกไปถึงว่าจะได้อยู่ด้วยกันตามลำพังกับเจียวเจียวจึงตอบรับอย่างเบิกบานทันที
กู้เจียวไม่ได้ฝันมานานมากแล้ว
คราก่อนที่ฝันเป็นตอนก่อนที่เซียวลิ่วหลังจะไปสอบระดับมณฑล จนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปสี่เดือนแล้ว
นางเกือบลืมไปแล้วว่าตัวเองฝันได้
ทว่าคืนนี้ ตอนที่นางฝึกคัดอักษรกับเสี่ยวจิ้งคงแล้วกลับมาห้อง เพียงไม่นานก็เข้าสู่ห้วงฝันอันไม่คุ้นเคยไป
ที่ไม่คุ้นเคยนั้นเป็นเพราะคนที่ปรากฏในฝันไม่ใช่เซียวลิ่วหลังและไม่ใช่ตัวนางเอง
แต่เป็นชายที่นางเกือบลืมไปแล้วว่าเคยช่วยเสี่ยวจิ้งคงไว้
ชายที่สวมเกราะสีคราม คลุมด้วยผ้ากันลมสีดุจโลหิต นั่งอยู่บนม้าศึกอย่างองอาจกล้าหาญ
ตอนที่ผ่านตรอกเปลี่ยวเงียบสงัดแห่งหนึ่ง ชายคนนั้นโดนดักซุ่มเข้า พวกนักฆ่าต่างเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่พวกเขาก็ยังคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของบุรุษคนนั้นอยู่ดี
ในชั่วขณะที่บุรุษคนนั้นใกล้จะคว้าชัยชนะมาได้แล้วนั้นเอง หนึ่งในมือสังหารพลันโยนเด็กออกมาคนหนึ่ง แล้วใช้กระบี่แทงเด็กคนนั้นไป
บุรุษคนนั้นช่วยเด็กมา ถูกมือสังหารฟันแขนขวาเข้า
บนกระบี่ของมือสังหารอาบยาพิษ แม้บุรุษคนนั้นจะรักษาชีวิตไว้ได้ แต่แขนขวากลับใช้การไม่ได้ตั้งแต่นั้นมา
ภาพการลอบสังหารนี้จะว่ากันอย่างจริงจังเลยก็เกี่ยวข้องกับเสี่ยวจิ้งคงอยู่บ้าง
พวกมือสังหารจับตาดูบุรุษคนนั้นอยู่นานแล้ว ไม่กล้าลงมือเสียที เจอบุรุษคนนั้นช่วยเหลือเด็กที่ไร้ทางสู้คนหนึ่งเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ พวกเขาจึงตัดสินใจทำแบบเดิมอย่างนั้น จึงได้เกิดเหตุการณ์ส่วนท้ายขึ้นมา
กู้เจียวตื่นขึ้นมาสีหน้าค่อนข้างแปลกประหลาด
นางยิ่งไม่เข้าใจฝันของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ยามนี้เป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนางเลยอย่างสิ้นเชิงก็ยังโดนนางฝันถึงแล้วหรือ
แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็เคยช่วยเสี่ยวจิ้งคงไว้ ยิ่งไปกว่านั้นต้นเหตุของเหตุการณ์ลอบสังหารนี้ก็มาจากที่เขาช่วยเสี่ยวจิ้งคงเอาไว้
นางไม่อาจอยู่เฉยๆ โดยไม่สนใจได้
เวลาที่ลอบสังหารคือเย็นพรุ่งนี้ ส่วนสถานที่ นางจำได้ว่าระแวกที่บุรุษคนนั้นเจอมือสังหารใกล้ๆ กับโรงเตี๊ยมเสียงอวิ๋น