บทที่ 148 ผู้พิทักษ์คือพระพุทธองค์

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 148 ผู้พิทักษ์คือพระพุทธองค์

บทที่ 148 ผู้พิทักษ์คือพระพุทธองค์

แน่นอนว่าลู่หยวนไม่ทราบเจตนารมณ์ของอวี๋ฉู่ เขาเพียงกังวลว่าหากตัวตนของตัวเองถูกเปิดเผยวันนี้ ตนจะรับมือสิ่งที่ตามมาในอนาคตยากขึ้น มีเพียงผู้ใช้วิถีเร้นลับเท่านั้นที่สามารถดูผังดวงชะตาได้ ดังนั้นมันจะมีข้อมูลใดจารึกอยู่บ้าง สุดที่บุตรศักดิ์สิทธิ์จะเตรียมการรับมือได้ทัน

ฉากนี้ราวกับมารร้ายจับจ้องพระพุทธองค์ด้วยจิตสังหาร

ส่วนอวี๋ฉู่เองก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำเช่นนี้ ตั้งแต่วันที่ลู่หยวนเกิดขึ้นมา ลู่เทียนเหอกับอู่หมิงเสวี่ยต่างคอยปกป้องลูกชายที่รักยิ่ง จนไม่มีใครตรวจสอบผังดวงชะตาของบุตรศักดิ์สิทธิ์อย่างมีนัยยะสำคัญ

หากเป็นตระกูลอื่น สมาชิกครอบครัวคงเริ่มตรวจสอบตั้งแต่วันแรกที่เกิดมา ไม่ว่าต้องลำบากเพียงใด ขอเพียงเป็นคนจากกองกำลังมีชื่อสักหน่อยก็สามารถแสวงหาและเชิญคนที่มีวิถีเร้นลับมาที่บ้าน เพื่อมาดูผังดวงชะตาของบุตรหลานเป็นแน่แท้

การสำรวจอย่างละเอียดคือสิ่งจำเป็น เพราะจะทำให้ล่วงรู้อนาคตของบุตร ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ที่จะได้รับ รวมถึงทิศทางที่ควรจะฝึกฝนในอนาคต

หรืออาจจะเป็นหายนะครั้งใหญ่ หากเป็นเช่นนั้น ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องมองหาบางสิ่งเพื่อมาป้องกัน…

แต่ตระกูลลู่กลับแตกต่างออกไปจนผิดสังเกต ในฐานะที่อวี๋ฉู่เป็นอดีตเจ้าสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ ทำให้เขามีความสัมพันธ์ชิดใกล้ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่ผู้อาวุโสของตระกูลลู่ จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ได้ตรวจสอบผังดวงชะตาของลู่หยวน

ไม่รู้ด้วยเหตุอันใด แต่คนในตระกูลลู่ราวกับลืมเรื่องนี้ไปเสียเฉย ๆ

ทว่าเหตุการณ์ในวันนี้มันแตกต่างออกไป สตรีผู้ไร้ชะตาปรากฏตัวแล้ว และเกรงว่าคงใช้เวลาไม่นานนักก่อนที่เรื่องของนางจะถูกเปิดเผยต่อผู้คน ถึงตอนนั้น ตระกูลลู่ย่อมได้รับข่าวและออกตามหานางเป็นแน่ คู่หมั้นของลู่หยวนผู้หายสาบสูญไปและเต็มไปด้วยปริศนา มีหรือที่ประมุขลู่จะหมางเมินไปได้

หากผังดวงชะตาของคู่หมั้นไม่สามารถสนับสนุนสตรีผู้นั้นได้แม้แต่นิดเดียว นางย่อมเข้าใกล้ความตายราวกับสวรรค์ทอดทิ้ง

ถึงตอนนั้น อวี๋ฉู่สามารถแจ้งเรื่องนี้กับตระกูลลู่โดยตรงได้ เพื่อขอให้ตระกูลลู่ยกเลิกการหมั้นหมาย

ทว่าหากลู่หยวนคือหนึ่งในหมื่นคนที่มีผังสวรรค์ลิขิตชะตา เช่นนั้นสตรีผู้ไร้ชะตาจะกลายเป็นวาสนาของชายหนุ่ม ให้ทั้งสองคอยเติมเต็มโชคชะตาซึ่งกันและกัน สำหรับคุณชาย นี่อาจเป็นโอกาสที่ดียิ่งก็ได้!

ทั่วทั้งตระกูลลู่สามารถได้รับอิทธิพลจากโชคชะตาของคู่ฟ้าชะตาลิขิตนี้ได้ และจะนำความรุ่งโรจน์มาให้ไม่รู้จบเช่นกัน!

ทว่าผู้ได้สมญาพระพุทธองค์เข้าใจท่าทีของสมาชิกตระกูลลู่เป็นอย่างดียิ่ง ต่อให้อวี๋ฉู่อธิบายข้อดีข้อเสียให้ฟัง พวกเขาก็คงตัดสินใจอย่างตื้นเขิน และไม่คิดมากที่จะขอให้ลู่หยวนกำหนดผังดวงชะตาของตัวเอง และยุติการหมั้นหมายทันทีด้วยความที่ตระกูลของนางสาบสูญไปแล้ว

หากบุตรศักดิ์สิทธิ์มีผังสวรรค์ลิขิตชะตาจริง ตระกูลลู่จะเสียโอกาสครั้งใหญ่เพราะเหตุนี้

คงจะดีกว่าหากตนตรวจสอบผังดวงชะตาของคุณชายก่อน หากไม่ใช่ผังสวรรค์ลิขิตชะตาจะได้แจ้งตระกูลลู่ทันที เพื่อร่วมกันหาทางออกที่ดีที่สุดตั้งแต่เนิ่น ๆ

แต่ถ้าเกิดใช่ขึ้นมา เช่นนั้นตระกูลลู่ก็จะติดหนี้บุญคุณเขาครั้งใหญ่ ทำให้สิ่งที่อดีตเจ้าสำนักผู้นี้ติดค้างตระกูลลู่ก็จะทบหายกันไปเช่นกัน!

อวี๋ฉู่หลุบตาลง พริบตานั้นเอง ผังดวงชะตาบนโต๊ะหินพลันเปลี่ยนไป ก่อนจะมีเพียงเสียง ‘แกรก ๆ’ ดังขึ้น

ทั่วทั้งโต๊ะหินอ่อนถึงกับพังทลาย!

ตูม!

โต๊ะหินอ่อนพลันสั่นสะเทือน ทั่วทั้งผังดวงชะตาแตกสลายไปพร้อมกับโต๊ะทันที

กระบวนการทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพียงพริบตา ไม่เพียงแค่อวี๋ฉู่ไม่ทันตอบสนองเท่านั้น แม้แต่ลู่หยวนก็เช่นเดียวกัน

มียันต์สองใบในแขนเสื้อของชายหนุ่ม สามารถอัญเชิญลู่เทียนเหอกับอู่หมิงเสวี่ยได้ในทันที

แต่ตอนนี้ดูท่าว่าจะไม่จำเป็นต้องใช้

ผังดวงชะตานี้พังทลายแล้ว!

อวี๋ฉู่มองซากผังดวงชะตา พร้อมสายตาประหลาดใจที่แปรเปลี่ยนเป็นความสับสน

เขาศึกษาวิถีเร้นลับมาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นผังดวงชะตาของใครบางคนแตกสลาย

นี่มันโชคชะตาแบบไหนกัน?!

ลู่หยวนสับสนเช่นกัน แต่ตอนนี้เสียงระบบพลันดังขึ้นในใจของเขา

[ระบบแจ้งเตือน มีพลังรุกล้ำโชคชะตาของท่าน ระบบจึงโจมตีอย่างแม่นยำ!]

คิ้วกระบี่ของชายหนุ่มขมวด “ระบบมีการทำงานนี้อยู่งั้นหรือ?!”

[ท่านพูดถูกแล้ว!]

[ระบบแจ้งเตือน ท่านได้ชิงค่าชะตาของบุตรแห่งโชคชะตาเป็นจำนวนมาก ตอนนี้จึงกลายเป็นผู้มีโชคชะตามหาศาล เป็นเส้นชีวิตที่ทวยเทพไม่ใช่ผู้กำหนดขึ้นมา! ไม่สามารถสำรวจได้!]

เมื่อได้ยินระบบกล่าวเช่นนั้น ลู่หยวนจึงรู้สึกโล่งอกขึ้นมา ผังดวงชะตานี้จะไม่สามารถเปิดเผยความลับของเขาได้อีกต่อไป

บุตรศักดิ์สิทธิ์เก็บยันต์เข้าที่ สายตามองอวี๋ฉู่ตรงหน้าที่ยังคงตกตะลึง พลางขมวดคิ้ว “ผู้อาวุโส ท่านลักไก่ไม่สำเร็จ กลับเสียข้าวไปหนึ่งกำ*[1] เสียแล้ว!”

“ข้าได้ยินมาว่า การสำรวจผังดวงชะตาของใครสักคน ต้องใช้การบ่มเพาะจำนวนมาก ถึงจะไม่รู้ว่าคนรุ่นก่อนเคยสำรวจข้าหรือไม่ แต่เมื่อครู่ท่านใช้การบ่มเพาะไปเท่าไหร่กัน?”

เปลือกตาของอวี๋ฉู่กระตุก เขาใช้การบ่มเพาะไปมากพอตัว เพราะคิดว่าจะได้ผลลัพธ์บางอย่าง แต่ตอนนี้รากฐานการบ่มเพาะเหล่านั้นกลับสูญเปล่าเสียแล้ว

“ผู้อาวุโส หากข้าบอกบรรพชนถึงสิ่งที่ท่านทำลงไปในวันนี้ ท่านคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น?”

ในน้ำเสียงของลู่หยวนเต็มไปด้วยการข่มขู่

อวี๋ฉู่อดที่จะยืดหลังตรงไม่ได้

หากชายชราจากตระกูลลู่ทราบว่าเขาฝืนค้นหาผังดวงชะตาของชายหนุ่ม มันก็ยังถือว่าไม่เป็นไร

แต่ถ้าเรื่องนี้ถูกส่งต่อโดยบุตรศักดิ์สิทธิ์ ใครเล่าจะล่วงรู้ว่าเด็กคนนี้จะใส่สีตีไข่อย่างไรบ้าง?!

หากมีบางส่วนที่กล่าวเกินจริง ยกตัวอย่างเช่น ลู่หยวนบอกว่าเขาใช้กำลังลักพาตัวขึ้นมาล่ะ

หรืออีกตัวอย่าง บอกว่าอยากได้เงินสำรองของบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ จึงต้องการฝืนอ่านผังดวงชะตาของชายหนุ่ม

อวี๋ฉู่รู้สึกถึงความเย็นยะเยือกไล่ไปตามแผ่นหลัง

ชายชราจากตระกูลลู่เหล่านั้นจะต้องมาตามฆ่าเหมือนสุนัขบ้าอย่างแน่นอน!

“แค่ก ๆๆ ข้าแค่เป็นห่วงเจ้า ทำไมเจ้าหนูถึงพูดแบบนี้ล่ะ?”

อวี๋ฉู่มองดวงตาที่ทอประกายของลู่หยวน เขารู้เจตนาของอีกฝ่ายทันที จึงเอ่ยถามว่า “บอกข้ามา เจ้าต้องการอะไรถึงจะไม่ยอมปากโป้งเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้?”

อวี๋ฉู่รินชาให้ตัวเองแล้วจิบเข้าไป

เจ้าหนูคนนี้ฉลาดยิ่งนัก ขอเพียงมอบผลประโยชน์บางอย่างให้ ก็สามารถสร้างความพึงพอใจให้ได้

ลู่หยวนยิ้ม “ไม่ต้องการอะไรหรอก ท่านไม่ได้เป็นเจ้าสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์อีกแล้ว อีกอย่างท่านก็แก่เกินไป คงไม่มีผลประโยชน์ให้ตักตวงหรอก”

ถึงแม้ชายหนุ่มจะเผยรอยยิ้มพลางกล่าวออกมา แต่ไม่ว่าใครก็รับรู้ได้ถึงความรังเกียจในน้ำเสียงนั้น

เมื่อกล่าวเช่นนี้ อวี๋ฉู่แทบจะสำลักชาออกมา

ไม่มีผลประโยชน์ให้ตักตวงหรือ?!

เขาเป็นถึงอดีตเจ้าสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์เชียวนะ!

ไม่ว่าสถานะนี้จะเป็นประโยชน์กับเขามากน้อยแค่ไหน แต่ขอเพียงติดต่อทั่วทั้งแผ่นดินหยวนหง ย่อมสามารถพึ่งพาได้สักหนึ่งถึงสองคน

ยิ่งกว่านั้น เขาเป็นคนที่น่าเคารพนับถือ แถมยังมีภูมิหลังอีกมากมาย ต่อให้เป็นอาวุธระดับจักรพรรดิ เขาก็สามารถนำมามอบให้หลายชิ้นได้ทันที

“เอาแบบนี้ดีหรือไม่ ตอนนี้ข้าอยู่ในสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ ยังไม่มีผู้พิทักษ์เลยสักคน พลังของจ้าวยุทธ์นับว่าไม่เลว ดังนั้นมาเป็นผู้พิทักษ์ให้กับข้าก่อนดีกว่า!”

[1] คิดแสวงหาผลประโยชน์จากผู้อื่น แต่เป็นฝ่ายเสียผลประโยชน์เสียเอง