ตอนที่ 35 เข้าเมืองหลวง
แน่นอนว่านางไม่รู้ นางไม่ได้รับความทรงจำจากเจ้าของร่างเดิมมาเสียหน่อย
อาการป่วยของเด็กๆ ไม่อาจชักช้า ในเมื่อเมืองซีหนิวไม่มีหมอ เช่นนั้นก็ไปเมืองอื่น “ต้าเตา เจ้าพอจะรู้จักร้านยาในเมืองใกล้เคียงที่ยังเปิดอยู่หรือไม่”
เฉินต้าเตากล่าวว่า “ในตัวเมืองคงปิดหมดทุกร้านแน่ ถ้าฮูหยินต้องการรีบเร่งหาหมอจริงๆ ต้องไปเมืองหลวง ที่นั่นยังมีร้านที่เปิดอยู่ ลุงของข้าขาหักช่วงวันตรุษปีที่แล้ว เขาก็ไปหาหมอที่เมืองหลวง”
เฉียวเวยครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ที่นี่อยู่ห่างจากเมืองหลวงมากหรือไม่”
เฉินต้าเตาขบคิด “ราวๆ…สามสิบสี่สิบลี้เห็นจะได้”
เฉียวเวยขมวดคิ้วมุ่น “ไกลขนาดนั้นเชียวหรือ”
เฉินต้าเตากวาดตามองไปรอบๆ เมื่อไม่เห็นรถม้าของเฉียวเวย เขาก็เบิกตากว้าง “เมื่อครู่ท่านคงไม่ได้…เดินเท้ามากระมัง”
เฉียวเวยไม่ตอบอันใด
เฉินต้าเตาอึ้ง เดินเท้ามาจริงๆ หรือ สตรีนางหนึ่งหอบลูกน้อยมาด้วยสองคน ไม่เหนื่อยหมดแรงกลางทางช่างเป็นปาฏิหาริย์
อย่างไรก็ตามทางไปเมืองหลวงไกลมาก ฮูหยินหอบหิ้วลูกไปด้วยไม่มีทางไปถึงแน่นอน
เฉียวเวยก็ตระหนักถึงปัญหาข้อนี้เช่นกัน “ต้าเตา ร้านรถม้าในตัวเมืองยังพอจะเช่ารถม้าได้หรือไม่”
เฉินต้าเตาส่ายศีรษะ “ปิดร้านกันหมดแล้ว”
ถนนทั้งสายหยุดกิจการชั่วคราว มีเพียงอันธพาลที่ไม่มีบ้านให้กลับอย่างพวกเขาที่เดินเตร่ไปตามถนนกลางดึกกลางดื่นเช่นนี้
เฉินต้าเตาเหลือบมองเฉียวเวย ทำท่าทางอึกๆ อักๆ เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
นิ้วมือของเฉียวเวยเริ่มแข็งทื่อขึ้นทุกที “เจ้าช่วยหาน้ำร้อนให้ข้าสักหน่อยได้หรือไม่”
เรื่องเท่านี้สบายมาก เฉินต้าเตาพาเฉียวเวยไปยังที่พักของเขาและเหล่าพี่น้อง ที่นั่นเป็นเรือนหลังเล็กที่มีทางเข้าสองทาง ที่ผ่านมาไม่เคยมีสตรีเข้าไปทำความสะอาด มันจึงรกรุงรัง เฉินต้าเตายิ้มเจื่อน อย่างเขินอาย เขาสั่งให้พี่น้องทั้งหลายทำความสะอาด ขณะที่ตนไปต้มน้ำร้อนให้เฉียวเวย
เฉียวเวยดื่มน้ำก่อนถ้วยหนึ่ง เมื่อไม่พบสิ่งผิดปกติจึงป้อนน้ำให้จิ่งอวิ๋นและวั่งซูดื่มบ้าง
หลังจากดื่มน้ำเสร็จ เฉียวเวยก็ลุกขึ้นกล่าวลา
เฉินต้าเตาเห็นร่างแบบบางซูบผอมของนางอยู่ท่ามกลางสายลมหนาว ความรู้สึกทนไม่ได้ก็ผุดขึ้นในหัวใจ “ความจริง…ใช่ว่าจะไม่มีรถม้า”
ครึ่งเค่อ[1]ต่อมา เฉินต้าเตาก็ยืนอยู่หน้าคอกม้าที่ลานหลังเรือน ในพรรคมีพี่น้องที่สนิทสนมกับเขาอยู่คนหนึ่งนามว่า หู่จื่อ
หู่จื่อถลึงตาพูดขึ้นมาว่า “พี่ต้าเตาท่านบ้าไปแล้วหรือ อยู่ๆ ก็ไปยุ่งกับรถม้าของต้าจิน ถ้าต้าจินรู้เข้าคงถลกหนังของท่านแน่!”
เฉินต้าเตาจูงม้าออกมาอย่างระมัดระวัง แล้วใช้เชือกผูกเข้ากับตัวรถ “อย่าให้เขารู้ก็สิ้นเรื่องแล้วมิใช่หรือ เขายังอยู่ในคุก กว่าเขาจะถูกปล่อยตัว ฮูหยินก็กลับมาแล้ว เจ้าไม่พูด ข้าไม่พูด ใครจะรู้”
หู่จื่ออ้าปากจะพูด “แต่ว่า…”
เฉินต้าเตาตบไหล่เขา “ไม่ต้องแต่ว่าแล้ว ทำตามนี้ก็แล้วกัน”
เฉินต้าเตาเปิดประตูด้านหลังอย่างเงียบเชียบแล้วจูงรถม้าออกมา เมื่อเห็นเฉียวเวยที่รอเขาอยู่ในตรอกก็กระซิบเสียงเบา “ฮูหยิน ไปตามถนนต้าซิ่งจนสุดทางแล้วเลี้ยวขวาเข้าถนนหลวง มุ่งไปทางทิศเหนือก็จะมองเห็นเมืองหลวง ว่าแต่ฮูหยิน ท่านขับรถม้าเป็นหรือไม่”
คำถามนี้ทำเอาเฉียวเวยชะงัก ชาติที่แล้วแม้แต่ม้านางยังไม่เคยแตะต้อง แล้วนับประสาอะไรกับการขับรถม้า
“ในตัวเมืองนี้พอจะหาคนขับรถม้าได้หรือไม่” เฉียวเวยถาม
เฉินต้าเตาเกาศีรษะ “จะว่ามีก็พอมีอยู่บ้าง แต่นี่เป็นวันขึ้นปีใหม่ ทั้งยังต้องเริ่มงานกลางดึก ราคาก็จะ…”
เฉียวเวยพูดโดยไม่ลังเล “หนึ่งตำลึงต่อวัน ข้าจะดูแลเรื่องค่าที่กินที่พักให้ด้วย”
“ทำไมไม่จ้างข้าเล่า ข้าคิดเงินแค่ครึ่งตำลึง”
เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นมาจากด้านหลัง เฉียวเวยหันกลับไปก็เห็นหลัวหย่งเหนียน ไม่รู้ว่าเขาเข้ามาในตรอกตั้งแต่เมื่อใด แต่ตอนนี้เขากำลังยืนพิงกำแพงฝั่งหนึ่ง แขนสองข้างยกขึ้นกอดอก มองนางอย่างเอ้อระเหยลอยชาย
เฉียวเวยตกใจเล็กน้อย “หย่งเหนียน เจ้ามาได้อย่างไร”
หลัวหย่งเนียนฮึดฮัดอย่างไม่สบอารมณ์ “ถ้าข้าไม่มา ท่านตั้งใจจะไปเมืองหลวงคนเดียวใช่หรือไม่ เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ก็ไม่บอกพวกเรา พาเด็กออกไปไหนมาไหนตอนกลางดึกมันอันตรายมากนะ!”
หลัวหย่งเหนียนเดินเข้าไปหาแล้วแบมือออก ปรากฏว่าเป็นปิ่นหยกเล่มหนึ่ง “โชคดีที่ข้าไม่ได้หลับสนิทจึงได้ยินเสียงจากบ้านซวนจื่อ ตอนแรกข้าคิดว่าเป็นขโมย แต่พอวิ่งไปดูกลับเจอปิ่นปักผมของท่าน เป็นของท่านใช่หรือไม่”
เฉียวเวยแตะมวยผม แต่ไม่เจอปิ่นปักผมของตัวเอง “เป็นของข้าจริงๆ”
หลัวหย่งเหนียนเสียบปิ่นปักผมบนเรือนผมให้เฉียวเวย เฉียวเวยที่กำลังจะเอื้อมมือไปรับปิ่นปักผมคืนจึงคว้าได้เพียงความว่างเปล่า แล้วได้ยินเขาพูดต่อว่า “เดิมทีคิดจะคืนให้ท่านพรุ่งนี้ แต่ก็กลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับท่านจึงขึ้นเขาไปหา สุดท้ายถึงรู้ว่าพวกท่านไม่มีใครอยู่สักคน ข้าเลยตามเข้ามาในเมือง คราวหน้าห้ามทำเช่นนี้อีก ถ้ามีเรื่องอันใดต้องบอกพวกเรา ทั้งจิ่งอวิ๋นและวั่งซูต่างก็เป็นหลานของข้า พวกเขาไม่สบาย ข้าก็ร้อนใจมากเช่นกัน!”
ไม่ใช่ว่าเฉียวเวยจงใจไม่บอกพวกเขา เพียงแต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมานางใช้ชีวิตตัวคนเดียว แก้ปัญหาด้วยตัวเองจนชิน นางจึงไม่ต้องการและไม่กล้าพึ่งพาผู้อื่นมากเกินไป
เมื่อเห็นหลัวหย่งเหนียนท่าทางโกรธจัด เฉียวเวยก็ยิ้มบาง “ตกลง”
ทั้งสองกล่าวลาเฉินต้าเตา จากนั้นขึ้นรถม้ามุ่งหน้าไปยังเมืองหลวง รถม้าคันไม่ใหญ่นัก แต่มีตั่งตัวน้อยหน้าตาเรียบๆ ไว้ให้เด็กๆ นอนได้พอดี
ระหว่างที่ขับรถม้าหลัวหย่งเนียนก็ถามถึงเฉินต้าเตา “ท่านพี่ ท่านรู้จักคนของพรรคชิงหลงได้เช่นไร”
เฉียวเวยกางผ้าออกมาห่มให้เด็กๆ “เรื่องมันยาว เจ้ารู้จักพวกเขาหรือ”
“เราเคยทะเลาะกันมาก่อน”
“ใครชนะ”
“เป็นข้าอยู่แล้ว!”
“อ้อ” คนชนะต้องหนีไปเมืองหลวง ส่วนคนแพ้ได้ครอบครองเมือง เอาเป็นว่านางจะแสร้งทำเป็นเชื่อตรรกะที่เต็มไปด้วยช่องโหว่นี่ก็แล้วกัน
…
ปีที่แล้วเฉียวเวยตั้งใจไว้ว่าสักวันจะเดินทางไปเมืองหลวง เพื่อชื่นชมความงามสง่าของเมืองหลวงสมัยโบราณ พร้อมกับพาเด็กสองคนไปลิ้มลองรสชาติอาหารในเมืองหลวงด้วยกัน ทว่าแผนการตามไม่ทันการเปลี่ยนแปลง ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าพวกเขาได้มาเยือนก่อนที่ตั้งใจ แต่ใครเล่าจะมีอารมณ์ออกไปเดินเที่ยวเล่น
ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นทุกที ขอบฟ้าแลเหมือนผ้าโปร่งสีเทาอ่อนที่ค่อยๆ แง้มเปิดทีละน้อย เผยให้เห็นเมฆสีม่วงจากทิศบูรพาอันเป็นสัญญาณแห่งความโชคดี
ทั้งสองเดินทางเข้าเมืองอย่างราบรื่น
“ร้านยาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงคือหอหลิงจือ พวกเขามีสาขากระจายอยู่มากที่สุด มีร้านอยู่แทบทุกถนน แถวที่ข้าเรียนวิชาก็มีเช่นกัน แต่ที่นั่นไกลเกินไปหน่อย พวกเราจะไปหอหลิงจือบนถนนหนานซีเส้นที่หนึ่ง ทุกปีในช่วงวันตรุษ ร้านยาร้านอื่นต่างปิดกิจการ มีเฉพาะหอหลิงจือเท่านั้นที่เปิด”
เฉียวเวยเปิดม่านขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงวันตรุษ ร้านค้าที่ตั้งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบจึงค่อนข้างเงียบเชียบ ส่วนใหญ่ปิดกันหมด มีร้านที่เปิดอยู่เพียงหร็อมแหร็ม แต่เมื่อเทียบกับเมืองเล็กที่อ้างว้างปราศจากผู้คน ที่นี่ก็นับว่าคึกคักแล้ว
ไม่นานรถม้าก็มาถึงถนนหนานซีเส้นที่หนึ่ง แตกต่างจากความเงียบเชียบที่เคยเห็นก่อนหน้านี้ ที่นี่ผู้คนมากมายยุ่บยั่บ ทุกคนล้วนมาที่หอหลิงจือเพื่อหาหมอซื้อหยูกยา
คิดดูแล้วก็ไม่มีอะไรน่าแปลก ร้านยาส่วนใหญ่ปิดร้าน แต่ไม่ใช่ว่าโรคภัยไข้เจ็บจะไม่มาเยือนเพราะวันตรุษเสียหน่อย
เฉียวเวยอุ้มลูกๆ ไปต่อแถว ส่วนหลัวหย่งเหนียนไปซื้อซาลาเปาที่ร้านซาลาเปาใกล้ๆ
จิ่งอวิ๋นและวั่งซูตัวร้อนจัด ทันทีที่ทานเข้าไปก็อาเจียนออกมา
เฉียวเวยทุกข์ใจจนกินไม่ลง
“อย่างน้อยท่านก็กินบ้างเถิด” หลัวหย่งเหนียนโน้มน้าว
เฉียวเวยส่ายหน้า “ประเดี๋ยวหาหมอเสร็จแล้วข้าค่อยทาน เจ้าไปพักผ่อนรอที่รถม้าก่อนเถอะ”
ในสมัยโบราณไม่มีที่จอดรถ ไม่มีคนเฝ้ารถม้า ถูกลักขโมยกันได้ง่ายๆ ฐานะทางการเงินในปัจจุบันของนาง ไม่มีเงินพอชดใช้รถม้าคันหนึ่ง
หลัวหย่งเนียนจากไปอย่างเชื่อฟัง
เฉียวเวยต่อแถวต่อ ไม่รู้ว่าใช้เวลาต่อแถวไปนานเท่าใด นางต่อแถวจนตะวันสายโด่ง ในที่สุดก็ถึงตานาง
แต่นางยังไม่ทันได้นั่ง สตรีคนหนึ่งก็เข้ามาแซงแถว
[1] เค่อ หน่วยเวลาในสมัยโบราณ เท่ากับ 15 นาที