ตอนที่ 36 โลกกลม
เฉียวเวยเหน็ดเหนื่อยมาทั้งคืน จากหมู่บ้านเดินทางเข้าเมือง จากตัวเมืองเดินทางมายังเมืองหลวง นางแทบจะหมดสิ้นเรี่ยวแรง อีกทั้งอาการตัวร้อนของเด็กๆ ก็ไม่มีวี่แววว่าจะทุเลาลง นางอดทนต่อแถวมาทั้งเช้าอย่างยากลำบาก สุดท้ายกลับถูกคนแซงแถวโดยไม่แม้แต่จะขอสักคำ เรื่องเช่นนี้ผู้ใดจะทนได้
สตรีคนนั้นจูงเด็กวัยเจ็ดขวบคนหนึ่งมาแล้วบอกหมอว่า “ลูกชายของข้าไอตอนกลางคืน ท่านตรวจให้ได้หรือไม่ว่าเขาเป็นอะไร”
หมอผู้นั้นทำราวกับว่ามองไม่เห็นเฉียวเวยที่ถูกดันไปข้างหลัง เอื้อมมือไปจับชีพจรของเด็กคนนั้น
แววตาของเฉียวเวยพลันเยือกเย็น ยื่นมือมาคว้าข้อมือของเขาไว้ “ข้ามาก่อน ต้องตรวจให้ข้าก่อน!”
หมอกระแอมและมองไปยังสตรีนางนั้น
สตรีนางนั้นเหลือบมองสภาพซอมซ่อของเฉียวเวยด้วยความรังเกียจ “ข้าจะจ่ายค่าตรวจให้เจ้า ตกลงหรือไม่”
เฉียวเวยอยากจะหัวเราะ ตอนอยู่ในโรงพยาบาลเมื่อชาติก่อน นางคิดว่าตัวเองเจอดีมาไม่น้อย แต่นางไม่เคยเจอคนไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน “ข้าไม่ต้องการค่าตรวจจากเจ้า หลีกไป”
สตรีนางนั้นแค่นเสียงหยัน “น้อยไปหรือ ข้าจ่ายค่ายาให้เจ้าด้วยก็แล้วกัน”
“ถอยไป” แววตาของเฉียวเวยเริ่มแข็งกร้าว
สตรีนางนั้นเอ่ยอย่างรำคาญ “นี่ เจ้า ตั้งใจหาเรื่องใช่หรือไม่”
เฉียวเวยจ้องนางนิ่งๆ พูดเน้นทีละคำ “ข้าจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ถอยไป”
สตรีนางนั้นถูกสายตาแข็งกร้าวจับจ้องจนรู้สึกขนหัวลุก “เจ้า…เจ้า…ข้าขอเตือนเจ้า! ถ้าเจ้ายังจะทำเช่นนี้ ข้าจะเรียกนายท่านของข้ามา!”
เฉียวเวยเงยหน้ามองนิ่งๆ “นายท่านของเจ้าเป็นผู้ใด เรียกเขามาสิ”
สตรีผู้นั้นเชิดคางขึ้น “นายท่านของข้าคือรองหัวหน้ากองกลางกรมขุนนาง!”
รองหัวหน้ากองกลางกรมขุนนางคือขุนนางครึ่งขั้นหก ในเมืองหลวงอันเป็นแหล่งรวมบุคคลร่ำรวยและผู้มีอำนาจไม่นับว่าใหญ่โต แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงชาวบ้านนางหนึ่ง ย่อมเป็นตัวตนเทียมเท่าสวรรค์
หากเป็นหญิงชาวบ้านทั่วไป เกรงว่าคงตกใจกลัวจนพูดไม่ออกแล้ว ทว่าเฉียวเวยกล้าล่วงเกินแม้กระทั่งบุตรีของจวนเอินปั๋ว แล้วไฉนต้องเกรงกลัวฮูหยินของรองหัวหน้ากองคนหนึ่ง
เฉียวเวยย้อนถามอย่างไม่สะทกสะท้าน “แล้วเจ้าเป็นผู้ใด เป็นฮูหยินของรองหัวหน้ากอง หรือว่าเป็น…อนุภรรยาเล่า”
เทศกาลวันตรุษแต่กล้าสวมเพียงชุดสีชมพู ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าไม่กล้าสวมใส่สีแดงแม้สักชิ้น ถ้าเป็นภรรยาเอกก็แปลกแล้ว
สตรีนางนั้นถึงกับสะอึก “ข้า…ลูกชายของข้าเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของรองหัวหน้ากอง!”
ยอมรับว่าตัวเองเป็นอนุภรรยาแล้ว ช่างน่าขัน สมัยนี้คนเป็นอนุเย่อหยิ่งถึงเพียงนี้เชียว ดูท่าว่ารองหัวหน้ากองคนนั้นคงไม่ใช่คนดีอะไรนัก
เฉียวเวยพูดเสียงเย็นชา “อย่าบังคับให้ข้าต้องลงมือ”
สตรีนางนั้นโกรธจัด “เจ้ากล้าหรือ”
คนที่อยู่บริเวณรอบๆ เริ่มกระซิบกระซาบกัน คนที่มาต่อแถวส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านธรรมดาและคนรับใช้ของตระกูลใหญ่ เนื่องจากคนทั่วไปไม่สามารถเชิญหมอไปตรวจรักษาที่บ้านได้ จึงต้องมาหาหมอที่ร้านยา ส่วนคนที่มาจากตระกูลใหญ่แม้จะเชิญหมอไปตรวจรักษาได้ แต่ก็ต้องมาซื้อยาที่ร้านยาอยู่ดี
นายท่านนายหญิงตัวจริงน้อยครั้งนักจะมาหาหมอที่นี่ด้วยตนเอง เมื่อนางเอาฐานะอนุภรรยาของรองหัวหน้ากองมาเบ่ง คนทั้งหลายที่กำลังจะช่วยทวงความเป็นธรรมให้เฉียวเวยจึงพากันหุบปาก
อันที่จริงสตรีนางนี้ไม่ได้ตั้งใจจะออกมาหาหมอ พี่น้องฝั่งบ้านเดิมของนางได้บุตรชาย นางจึงเพิ่งไปร่วมงานเลี้ยงฉลองมา พอเดินผ่านหอหลิงจือก็นึกขึ้นได้ว่าลูกชายไอสองสามครั้งเมื่อคืน จึงถือโอกาสแวะมาถามหมอสักหน่อยเท่านั้น
เดิมทีจะได้ตรวจหรือไม่ก็ไม่สำคัญ แต่ตอนนี้หัวเด็ดตีนขาดนางก็จะตรวจให้ได้และจะตรวจอย่างละเอียดถี่ถ้วนที่สุดด้วย! ให้หญิงชาวบ้านพูดไม่รู้ฟังคนนี้เห็นถึงความร้ายกาจของนาง!
ในห้องบัญชีบนชั้นสอง เฉียวอวี้ซีกำลังดีดลูกคิดอย่างเงียบๆ “ชั้นล่างเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงเอะอะโวยวายขนาดนี้”
ฝังมามาปิดหน้าต่างพลางตอบว่า “เหมือนมีหญิงชาวบ้านคนหนึ่งกำลังก่อเรื่องวิวาทเจ้าค่ะ นางหาเรื่องอนุภรรยาของรองหัวหน้ากองไม่ยอมเลิก”
“เตรียมบัวหิมะพร้อมแล้วหรือไม่” เฉียวอวี้ซีปรายตามอง
ฝังมามารีบตอบ “คุณหนูใหญ่วางใจได้เจ้าค่ะ ข้าเตรียมไว้พร้อมแล้ว! เป็นบัวหิมะที่คุณชายใหญ่นำกลับมาจากเขาเทียนซาน!”
จากนั้นก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเอ่ยบ่น “ต้องโทษคนขายขนมผู้นั้นที่มองไม่เห็นความหวังดี คุณหนูจะจ้างนางมาเป็นแม่ครัวด้วยเงินมากปานนั้น นางกลับไม่ไว้หน้าท่าน เทศกาลวันตรุษซื้อขนมที่เหล่าฮูหยินชอบไม่ได้ จึงได้แต่นำบัวหิมะไปเป็นของกำนัล”
เฉียวอวี้ซีแย้งอย่างไม่เห็นด้วย “เหล่าฮูหยินใช่คนตะกละเห็นแก่กินหรือไร ข้าต้องการแสดงความกตัญญูต่อนางด้วยใจจริง หวังเพียงว่านางไม่รังเกียจก็ดีมากแล้ว”
“เหล่าฮูหยินต้องชอบแน่เจ้าค่ะ! บัวหิมะจากเขาเทียนซานนี้มีเงินทองก็ใช่ว่าจะหาซื้อได้ วังหลวงก็ไม่แน่ว่าจะมี! หอหลิงจือเราเปิดกิจการมานานหลายปีเพิ่งได้มาเพียงสองต้น แต่น่าเสียดายที่ต้นแรกต้องสิ้นเปลืองไปกับคนต่ำช้าผู้นั้น” พูดมาถึงตอนท้าย ฝังมามาก็ถอนหายใจด้วยความขุ่นเคือง
เฉียวอวี้ซีที่กำลังดีดลูกคิดชะงัก “ข้าโตมาในอารามเต๋าตั้งแต่เล็ก ไม่เคยพบหน้าพี่สาวผู้นั้น ไม่ว่านางจะทำอะไรผิด นางก็ถูกขับออกจากตระกูลแล้ว อย่าไปลบหลู่เกียรติของนางอีกเลย”
ฝังมามาตกตะลึง นางคาดไม่ถึงว่าคุณหนูของตนจะกล่าวถ้อยคำเช่นนี้ แต่จากนั้นนางก็ได้สติ อ้าปากประจบทันที “คุณหนูใหญ่ช่างจิตใจงดงามดั่งพระโพธิสัตว์”
เฉียวอวี้ซียกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ “เจ้าลงไปดูหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น หอหลิงจือเป็นสถานที่รักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่สนยากดีมีจน ใครถูกใครผิดว่าไปตามกฎ จวนเอินปั๋วเราไม่ถึงขนาดต้องเกรงกลัวรองหัวหน้ากองตำแหน่งเล็กๆ คนหนึ่ง”
ฝังมามาถามอย่างเคลือบแคลง “คุณหนูใหญ่ ท่านลืมแล้วหรือเจ้าคะ น้องสาวของรองหัวหน้ากองกลางกรมขุนนางคือพระสนมอิงกุ้ยเหรินในวังหลวงผู้กำลังเป็นที่โปรดปราน”
เฉียวอวี้ซีแค่นเสียงเหอะในลำคอเบาๆ “ต่อให้อิงกุ้ยเหรินจะยิ่งใหญ่ แต่จะยิ่งใหญ่กว่าจวนอัครเสนาบดีหรือ ประเดี๋ยวใต้เท้าหมิงซิวจะมารับบัวหิมะด้วยตนเอง รีบไปจัดการ อย่าให้ใต้เท้ามาเห็นเรื่องน่าขายหน้า”
ฝังมามาพยักหน้า “คุณหนูโปรดวางใจ ข้าทราบแล้วว่าต้องทำเช่นไร”
ฝังมามาเดินลงบันไดพร้อมกับจิตใจอันเที่ยงธรรม นางเตรียมตัวจะตัดสินอย่างยุติธรรมแล้ว แต่เมื่อนางเห็นหญิงชาวบ้านที่กำลังก่อเรื่องวิวาทอยู่คนนั้น ตาชั่งแห่งความยุติธรรมพลันสั่นสะเทือน “ทำไมเป็นเจ้า”
เฉียวเวยหันศีรษะมา ดวงตาเบิกกว้าง จำได้ว่าอีกฝ่ายคือฝังมามา คนที่รั้นจะซื้อเพียงพอนของนางตอนอยู่ในตัวเมือง คนที่ตบแม่บุญธรรมของนางและสุดท้ายถูกนางจัดการจนหัวไหล่หลุด
จนบัดนี้แขนข้างนั้นของฝังมามาก็ยังไม่หายดี ไม่ต้องพูดว่านางจงเกลียดจงชังเฉียวเวยมากเท่าใด เพียงเห็นเฉียวเวยตัวเป็นๆ ยืนอยู่ต่อหน้านางตอนนี้ นางก็แทบรอไม่ไหวที่จะฉีกเฉียวเวยเป็นชิ้นๆ!
“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” นางขมวดคิ้ว “เจ้าเป็นคนก่อเรื่องหรือ”
เพียงไม่กี่คำก็ยัดเยียดให้เฉียวเวยเป็นคนผิด
สตรีนางนั้นเห็นหญิงสูงวัยผู้นี้อยู่ข้างตนก็รีบโยนความผิดทันที “ใช่ ใช่แล้ว นางนั่นแหละ! ข้าเห็นว่านางยากจนจึงหวังดีจะออกค่ารักษากับค่ายาให้นาง แต่นางกลับไม่รู้จักชั่วดี รั้งข้าไว้ไม่ยอมให้ลูกชายข้าตรวจ! ท่านว่านางคนนี้สติไม่ดีหรือไม่”
เฉียวเวยเกือบจะหัวเราะออกมาแล้ว แม้เคยเห็นคนไร้ยางอาย แต่ไม่เคยเห็นคนไร้ยางอายเท่านี้ พูดกลับดำเป็นขาวได้ถึงเพียงนี้ ทำไมไม่ไปเป็นนักเล่าเรื่องเสียเลยเล่า นางลืมแล้วหรือว่าตัวเองเป็นคนแซงแถว
ฝังมามาตบไหล่ผู้หญิงคนนั้น “ฮูหยินอย่าพึ่งร้อนใจไป ข้าจะจัดการอย่างยุติธรรม สตรีผู้นี้ ข้าเคยพบนางครั้งหนึ่งในชนบท ข้าแค่มองเพียงพอนของนางไม่กี่หน นางก็ทุบตีข้า เจ้าดูแขนของข้าสิ ถูกนางทำร้ายจนป่านนี้ยังไม่ดีขึ้นเลย!”
ขณะที่พูดนางก็เปิดให้เห็นข้อมือที่พันผ้าผันแผล เกิดเสียงฮือฮาในฝูงชน
เฉียวเวยมองออกแล้วว่าฝังมามาคนนี้ไม่ได้มาเพื่อคลี่คลายเรื่องขัดแย้ง แต่มาเพื่อคิดบัญชีแค้นส่วนตัว
นางได้ยินมานานแล้วว่าจวนเอินปั๋วเป็นตระกูลหมอ แต่นางไม่คิดว่าจะเกี่ยวข้องกับหอหลิงจือ ตอนนางได้ยินหลัวหย่งเหนียนบอกว่าหอหลิงจือช่วยรักษาคนเจ็บคนป่วยแม้แต่ในช่วงวันตรุษ นางเคยนึกชื่นชมความมีเมตตาของหอหลิงจือ แต่ดูจากตอนนี้ คงเป็นการทำเพื่อหวังชื่อเสียงเท่านั้น
“พวกเจ้าอย่ามาว่าท่านแม่ข้านะ ท่านแม่ข้าไม่เคยทำเรื่องไม่ดี…”
เสียงเสียงอ่อนระโหยดังมาจากด้านหลังของเฉียวเวย ฝูงชนเงียบเสียงในบัดดล
ความจริงแล้วจิ่งอวิ๋นตื่นอยู่ตลอดเวลา พอได้ยินมารดาถูกผู้อื่นใส่ร้ายเช่นนี้ เขาก็รู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก…
ใบหน้าของเขาแนบลงบนต้นคอของเฉียวเวย น้ำตาคลอเบ้า เขาพยายามอย่างยิ่งยวดไม่ให้น้ำตาไหลออกมา “จิ่งอวิ๋นไม่หาหมอแล้ว จิ่งอวิ๋นหายป่วยแล้ว กลับบ้านได้หรือไม่”
ท่ามกลางฝูงชน มีบางคนเบือนหน้าหนีอย่างทนไม่ได้ น้ำตาเปียกชุ่มดวงตา
เฉียวเวยกล้ำกลืนก้อนสะอื้น นางเงยหน้าบังคับน้ำตาที่ผุดออกมาให้ไหลย้อนกลับไป “แม่จะพาพวกลูกไปที่อื่น”
ฝังมามาพูดอย่างลำพอง “ช่วงวันตรุษเช่นนี้ นอกจากหอหลิงจือของเราแล้วก็ไม่มีร้านอื่นเปิด ถ้าเจ้าสำนึกผิดจากใจจริงก็จงคุกเข่าโขกศีรษะขอขมาข้ากับฮูหยินผู้นี้ ข้าจะใจกว้างยอมให้อภัยเจ้า มิเช่นนั้น ไม่ว่าเจ้าจะไปหอหลิงจือร้านใดก็ไม่มีหมอรักษาพวกเจ้า!”