บทที่ 121 ข้อตกลงระหว่างพี่น้อง

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 121 ข้อตกลงระหว่างพี่น้อง

บทที่ 121 ข้อตกลงระหว่างพี่น้อง

เฉาซื่อร้อนรนกังวลใจ “เจ้าเด็กเหลือขอคนนี้ เจ้าต้องการจะฆ่าข้าหรืออย่างไร?” ครั้นเห็นกู้ถิงถิงกุลีกุจอใส่เสื้อผ้า จึงเอ่ยสาปแช่ง “ไม่ต้องใส่มันแล้ว รีบออกไปเรียกน้าชายของเจ้าเข้ามาเสีย!”

จากนั้นใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดผลักกู้ถิงถิงอย่างรุนแรง ทำให้เด็กหญิงที่ยังยืนไม่มั่นคงกระเด็นตกจากเตียงเข่ากระแทกพื้น

เดิมทีแล้วกู้ถิงถิงอยากจะร้องไห้กระจองอแง เฉาซื่อเคยทุบตีนางสักครั้งหรือไม่? เฉาซื่อไม่แม้แต่จะดุนางแม้แต่ประโยคเดียวด้วยซ้ำ ทว่าวันนี้นางกลับถูกผลักด้วยแรงมหาศาล

ครั้นเห็นท่าทางคลุ้มคลั่งและสายตาราวกับจะกินคนของเฉาซื่อ กู้ถิงถิงจึงทำได้เพียงกลั้นหยาดน้ำตาที่กำลังจะหลั่งไหล เสื้อเพิ่งจะสวมเสร็จ ยังไม่ทันจะได้ใส่กางเกง ท่อนล่างจึงมีเพียงกางเกงผ้าชั้นในตัวบางเท่านั้น แต่เฉาซื่อไม่แม้แต่จะรอให้กู้ถิงถิงสวมกางเกงให้เสร็จ หากเด็กเหลือขอหน้าบ้านเริ่มคลุ้มคลั่งขึ้นมา ช้าไปกว่านี้อีกสักนิดเจ้าเด็กคนนี้คงจะอาละวาดเป็นแน่ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็คงจะจบเห่แล้ว

“มัวแต่ยืนทำอันใดอยู่! รีบไปสิ รีบไปเสีย!” เฉาซื่อลนลานชี้นิ้วสั่งกู้ถิงถิงอย่างโกรธจัด กู้ถิงถิงกลัวว่ามือของเฉาซื่อจะฟาดลงอีก จึงไม่สวมกางเกงหรือแม้กระทั่งรองเท้า เท้าเปลือยเปล่าพาขาเรียวเล็กรุดขึ้นหน้าวิ่งไปเปิดประตู

ในตอนนี้เฉาซื่อไม่สนสิ่งใดทั้งนั้น นางเพียงต้องการพบเฉาฮุยโดยเร็วที่สุด หลังจากนั้นจะอุดปากเขาให้เลิกพูดถึงเรื่องไร้สาระเสียที

“เฉาซินเหลียน ท่านอย่า…” เฉาฮุยอ้าปากกำลังจะเอ่ยพูดบางอย่าง ประตูก็ส่งเสียงลั่นแอ๊ด กู้ถิงถิงยืนอยู่ท่ามกลางลมหนาวอย่างน่าสมเพช ตัวสั่นสะท้านราวกับถูกผีสิง “ท่านน้า…”

คำพูดที่กำลังจะเอ่ยถูกกลืนกลับเข้าไปอีกครั้ง เมื่อเห็นหลานสาวร่างผอมบางไม่สวมกางเกงหรือรองเท้า เขาก็ไม่ได้รู้สึกถึงสิ่งใด และสามารถพูดได้เต็มปากว่าไม่เคยเห็นกู้ถิงถิงอยู่ในสภาพเช่นนี้มาก่อน รู้แค่ว่าตนเองรออยู่ข้างนอกเนิ่นนาน จนปวดเมื่อยไปทั้งขา กระทั่งเฉาซินเหลียนยอมเปิดประตู แต่คนเปิดประตูกลับเป็นเด็กน้อย

เฉาฮุยร้องออกมาอย่างโกรธเคือง “แม่ของเจ้าเล่า…”

“ท่านแม่ ท่านแม่ของข้า อยู่ข้างใน…” กู้ถิงถิงรู้สึกหนาว นางสวมเพียงกางเกงชั้นใน เมื่อเปิดประตูสายลมหนาวเหน็บจึงพัดผ่านบาดเนื้อ ทำให้ร่างกายของกู้ถิงถิงสั่นสะท้าน หากแต่ไม่กล้าที่จะกลับเข้าไปคนเดียว

นางทำได้เพียงยืนตัวสั่นอยู่ท่ามกลางสายลม และรอให้เฉาฮุยก้าวทีละก้าวเดินเข้ามา จากนั้นจึงรีบปิดประตู กุลีกุจอวิ่งวิ่งกลับไปมุดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มและใช้เวลาสักพักในการอบอุ่นร่างกาย

เฉาฮุยเข้ามา เห็นเฉาซื่อยังคงนอนนิ่งเงียบอยู่บนเตียงราวกับนกปีกหักก็พ่นลมออกมาอย่างเย็นชา “ท่านพี่ ท่านกำลังทำสิ่งใดอยู่ ทำทุกอย่างเสร็จแล้วหรือถึงคิดเฉดหัวส่งเช่นนี้”

“เฉดหัวส่งอันใดกัน?” เมื่อเห็นว่าเฉาฮุยปรากฏตัว ในที่สุดเฉาซื่อก็ปิดปากเลิกส่งเสียงโวยวาย ในเมื่อเขาไม่ได้เอ่ยสิ่งที่ไม่ควรพูดในตอนนี้ นางจึงโล่งใจ “เจ้ายังไม่มาอีก มาดูสิว่าพี่สาวเจ้ามีสภาพเป็นเยี่ยงไร!”

เฉาฮุยสงสัยเมื่อเห็นว่าเฉาซื่อไม่มีเรี่ยวแรงแม้จะเปล่งเสียงออกมา เขารุดขึ้นหน้าสองก้าว เพียงเห็นใบหน้าที่ฟกช้ำและคราบเลือดที่มุมปากของเฉาซื่อ นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง ช่างน่าสมเพชเสียจริง เฉาฮุยผู้ไม่เคยแสดงความกังวลใดเอ่ยถาม “ท่านพี่ ท่านเป็นอะไร? ใครอะไรทำท่าน?”

“ไม่เป็นไร ข้าแค่บังเอิญล้ม” เฉาซื่อหลบตา เพราะนางไม่อยากบอกความจริง

“ท่านถูกพี่เขยทุบตีอย่างนั้นหรือ?” เฉาฮุยไม่รีรอให้เฉาซื่อพูด และเอ่ยถามอีกครั้ง เฉาฮุยรู้ดีว่าเฉาซื่อนั้นเป็นคนแบบไหน

อยู่ด้วยกันมานับสิบปี เฉาซื่อไม่ใช่คนที่จะยอมเสียเปรียบเช่นนี้

“ข้าว่านะ พี่เขยจะทำร้ายท่านได้อย่างไร! ท่านเป็นสมบัติล้ำค่าของพี่เขย” เฉาฮุยพ่นลมเย็นชาสองครั้งโดยไม่สนใจเฉาซื่ออีกต่อไป ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ข้างนางอย่างไม่แยแส ไขว้ขาและพูดกับเฉาซื่ออย่างโกรธจัด “ท่านพี่ ข้ายังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย รีบไปหาอะไรให้ข้ากินเถอะ!”

ทันทีที่เฉาฮุยเข้ามา ทั้งห้องก็อบอวลไปด้วยกลิ่นสุรา เป็นเพราะเขาดื่มมากเกินไป

ครั้นได้ยินประโยคนี้ เฉาซื่อก็ตวัดสายตามองดูน้องชายที่ไม่เห็นใจนางเลยแม้แต่น้อย และแทบจะกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง “พี่สาวของของเจ้ามีสภาพเช่นนี้ เจ้ายังกล้าชี้นิ้วสั่งอีกอย่างนั้นหรือ?”

“แล้วอย่างไรเล่า” เฉาฮุยกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “เพิ่งจะล้มหรือ รุนแรงหรือไม่ รีบลุกขึ้นหาอะไรให้ข้ากินเร็วเข้า ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว”

ครั้นเห็นเฉาซื่อนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนราวกับไม่อยากตื่นมาทำอาหารเช้า เฉาฮุยจึงเริ่มร้อนรน และเอ่ยประชดประชัน “ท่านมีชีวิตที่ดีเมื่อแต่งงานกับตระกูลกู้ ตอนนี้เลยไม่สนเรื่องความเป็นความตายของท่านพ่อท่านแม่รวมถึงข้าแล้วใช่หรือไม่”

“ข้าจะละเลยพวกเจ้าได้อย่างไร” เมื่อเห็นท่าทางอันธพาลของเฉาฮุย เฉาซื่อร้อนรนตะโกนออกมา “อย่าเข้าใจข้าผิดไป!”

“ข้าเข้าใจผิดเยี่ยงใด” เฉาฮุยบ่นอย่างเย็นชา “ปีก่อนท่านต้องกลับบ้านพ่อแม่ก่อนปีใหม่ เหตุใดปีนี้ถึงไม่ไปเล่า”

“ไม่ใช่ว่าข้าไม่ได้รับบาดเจ็บหรืออย่างไร ข้าอยากไป แต่ข้าไปไม่ได้” เฉาซื่ออธิบาย

“หึ? หาข้อแก้ตัว ท่านไปไม่ได้ เหตุใดท่านไม่บอกให้พี่เขยไป! ท่านคือสมบัติล้ำค่าของพี่เขย ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้” เฉาฮุยไม่เชื่อคำพูดของเฉาซื่อ

“พี่เขยของเจ้าไม่เชื่อฟังข้าแล้ว ข้าไม่สามารถสั่งเขาได้” เฉาซื่อบอกไม่ได้จริง ๆ ว่ากู้ฉวนโซ่วยังปฏิบัติต่อตนเองเหมือนสมบัติล้ำค่าอยู่อีกหรือไม่? ถึงจะให้ความกล้าหาญแก่เฉาซื่อสักหนึ่งร้อย เฉาซื่อเองก็ไม่กล้าเชื่อ

“เป็นไปได้อย่างไร?” เฉาฮุยไม่เชื่อคำพูดของพี่สาวอย่างสมบูรณ์

“ขึ้นอยู่กับเจ้าว่าจะเชื่อหรือไม่” เฉาซื่อพูดอย่างเย็นชาโดยไม่ต่อปากต่อคำกับเฉาฮุยอีกต่อไป

“เอาเงินมาให้ข้า!” เฉาฮุยยื่นมือออกไปตรงหน้าและบีบคอเฉาซื่อ หยุดมองใบหน้าที่สับสนของนางและพูดอย่างหมดความอดทน

“เหตุใดรีบร้อนเยี่ยงนี้” เมื่อเห็นเฉาฮุยเป็นเช่นนี้ เฉาซื่อก็ปวดใจราวกับโดนมีดกรีด “ถ้าเจ้ายังเห็นข้าเป็นพี่สาว เจ้าก็ควรใส่ใจมากกว่านี้” นางรู้สึกขมขื่นหากแต่ไม่อาจพูดออกมาได้ นางได้รับความรักจากกู้ฉวนโซ่วมาโดยตลอด ได้รับการดูแลจากตระกูลกู้อย่างดี นางไม่เคยได้รับการปฏิบัติที่ดีขนาดนี้มาก่อน แม้แต่ในบ้านของพ่อและแม่ของนาง

ตอนอยู่ที่บ้านพ่อแม่ ทั้งซักผ้า ทั้งทำอาหาร และเมื่อที่บ้านมีของอร่อยมักจะให้พี่ชายและน้องชายกินอยู่เสมอ เพราะท่านพ่อและท่านแม่ของนางให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาว เฉาซื่อเกิดมาก็เพื่อปูทางให้พี่ชายและน้องชายของตน

เมื่อพวกเขาต้องการแต่งงานและมีลูก พวกเขาก็ใช้เฉาซื่อเป็นเครื่องมือในการหาเงิน

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ครอบครัวเฉาก็คือเลวทั้งตระกูล ไม่แปลกเลยว่าทำไมถึงมีนิสัยแบบนั้นกัน

น้องถิงถิงเกิดมามีกรรมจริง ๆ ที่มีแม่แบบนี้

ไหหม่า(海馬)